Tuesday, December 29, 2009

ท้ายที่สุดแล้ว เราก็ต้องพึ่งตัวเราเอง

เคยมีบ้างมั๊ยที่เราคาดหวังอะไรไว้กับใคร สุดทั้ายก็ต้องผิดหวัง เพราะตนที่เราคาดหวังอะไรบางอย่าง หวังจะพึ่งพาบางสิ่งบางอย่าง สุดท้ายแล้วเราก็ต้องเป็นคนลงมือเอง ให้ใครช่วยอะไรมากไม่ได้ งานของเรา สิ่งที่เราต้องการ สุดท้ายจริงๆแล้ว เรานั่นแหละทำเองดีที่สุด จริงๆพี่เจเองก็รู้นะว่า งานที่เราต้องการหรืองานที่เราอยากได้หนะ เราทำเองดีที่สุด เพราะยังไงเสียคนอื่นทำก็ไม่ถูกใจอยู่ดี แต่บางทีเรามีงานบางชิ้น เราก็อยากจะแบ่งปันให้น้องๆทำ จริงๆเราทำเองก็ได้ แต่อยากให้น้องเค๊ามีรายได้มากกว่า ก็เลยให้เค๊าทำ สุดท้ายก็ต้องผิดหวังครับ เพราะงานบางชิ้นนะ พี่เจทำเองได้ 3 วันเสร็จ ค่อยๆทำไปด้วย ไม่เร่งรีบ แต่บางทีเราเอางานให้น้องๆทำ เวลาก็ผ่านไป วันแล้ววันเล่า งานชิ้นนั้นก็ไม่เสร็จสะที ทำได้แค่วันละนิดวันละหน่อย ไม่ใช่ว่าน้องๆไม่มีเวลานะ แต่น้องๆบริหารเวลาไม่เป็นต่างหากหละ เวลาหมดไปกับการปาร์ตี้ เล่นป๊อกเด้ง กิน เที่ยว ไร้สาระ สรุปครับ พี่เจก็คงต้องลงมือเองแล้วหละ

ประสบการณ์ครั้งนี้ก็ทำให้เรารู้ว่า ท้ายที่สุดแล้ว เรานั่นแหละทำงานของเราดีที่สุด บางทีเราอยากจะช่วยเด็กๆ ช่วยน้องๆ เค๊ามองไม่เห็นกันหรอก เพราะเค๊ามัวร่าเริงอยู่กับงานปาร์ตี้ต่างๆของเค๊า

Monday, December 28, 2009

ทำธุรกิจ ทุกอย่างต้องมีสัญญา

มีน้องหลายคนสนใจที่จะทำธุรกิจที่ออสเตรเลีย พี่เจก็ขอแนะนำว่า จะทำอะไรก็ตามแต่ ทุกอย่างต้องมีสัญญา หรือ contract อย่าทำอะไรกันปากเปล่าเพราะว่ารู้จักกัน หรือเชื่อใจกัน เพราะเวลามีปัญหาหรือทะเลาะอะไรกันขึ้นมา มันก็จะยุ่งเหยิงและยุ่งยากกันไปหมด โดยเฉพาะใครก็ตามแต่จะทำธุระกิจร่วมกับคนอื่น หรือทำเป็นหุ้นส่วน ก็ต้อง make sure ว่า เงินที่เอาลงกันมาเป็นเงินมาลงทุน ไม่ใช่ยืมมา อะไรทำนองเนี๊ยะ ทุกอย่างต้อง make it clear เป็นสัญญาหรือ contract เป็นเรื่องเป็นราว เพราะเวลาเกิดปัญหาอะไรกันขึ้นมา ก็ให้ refer ถึงสัญญาที่เซ็นกันเอาไว้

ที่ออสเตรเลีย จะทำอะไรก็ต้องมีการเซ็นสัญญา เอกสารทุกอย่างถือว่าเป็น legal document ซึ่งมีผลผูกมัดทางด้านกฏหมาย และทนายความดีที่นี่ก็มีเยอะ อยากแนะนำว่าจะทำอะไรให้ทนายความเป็นคนร่างหนังสือสัญญาให้ จะดีที่สุด ให้จำไว้เสมอว่า "เสียน้อย เสียยาก เสียมาก เสียง่าย"

Sunday, December 27, 2009

การเลือกคบเพื่อน

น้องๆหลายคนเคยสังเกตุหรือไม่ว่า คนที่นิสัยคล้ายกันก็จะมักที่จะอยู่ในกลุ่มๆเดียวกัน น้อยนักที่เราจะเห็นคนนิสัยตรงกันข้ามกัน ไปด้วยกัน หรือคบกันเป็นเพื่อน ถ้าเป็นเพื่อนก็คงแค่แบบว่าเพื่อนธรรมดา อาจจะไม่ได้สนิทมาก หรือเพื่อนบางคนที่ดูผิวเผินภายนอกนิสัยแตกต่างกัน แต่ลึกๆ ถ้าศึกษาให้ดี พวกเค๊าเหล่านั้นจะมีบางสิ่งบางอย่างที่คล้ายกัน ถึงจะคบกันเป็นเพื่อนได้

ดังนั้นการที่เราจะเลือกคบเพื่อนสักคนเนี๊ยะ สำคัญนะ เพื่อนจะจูงมือกันทำให้ชีวิตเจริญ อย่างเช่น กัลยาณมิตร หรือเพื่อนจะคอยแต่ดึงเราให้ต่ำลง ซึ่งแบบนี้ก็มีเยอะ พี่เจแนะนำว่า ถ้าเราไม่ชอบเพื่อนคนใหน หรือนิสัยไปด้วยกันไม่ได้ ไม่ต้องฝืนคบครับ คบไปก็เสียเวลา มันไม่ได้ทำอะไรให้มันดีขึ้นมา พี่ว่านะ เพื่อนเนี๊ยะ เค๊าดูกันที่ quality ไม่ใช่ quantity เพื่อนคนใหนนิสัยไปกันไม่ได้ แนะนำถอยห่าง แล้วชีวิตเราจะเบา โล่ง สบายอย่างบอกไม่ถูก นี่เขียนจากประสบการณ์จริง :)

คนเราถ้าชีวิตมันเดิมๆ คบเพื่อนกลุ่มเดิมๆ เรียนอยู่แบบเดิมๆ ชีวิตมันก็จะเดิมๆอยู่กับที่แบบนี้แหละ

บางคนก็เรียนมากี่ปีกี่ปีก็ไม่จบสักที หันไปทางขวา อ้าว!!! เพื่อนคนนี้ก็เหมือนกับเราเลย เรียนกี่ปีกี่ปีก็ยังไม่จบ หันไปทางซ้าย ก็ อ้าว!!! เพื่อนคนนี้ก็เหมือนกับเราเลย เรียนกี่ปีกี่ปีก็ยังไม่จบ สรุปดีใจกันใหญ่เลย เพราะมีเพื่อนที่เป็นแบบเดียวกัน ถ้าเป็นแบบนี้นะครับ พี่เจแนะนำให้เลือกหาเพื่อนกลุ่มใหม่ ที่เค๊าชวนกันเรียน ช่วยกันเรียน มันจะได้มีแรงจูงใจ มีแรงบันดาลใจให้เราได้รีบๆเรียน รีบๆจบ ไม่ใช่ เรียน 1 เทอม ก็ drop 1 เทอม แบบนี้ไม่ดี แบบนี้อีกนานกว่าจะเรียนจบ กว่าจะทำอะไรสำเร็จ คนอื่นเค๊าไปถึงเส้นชัยกันหมดแล้ว เรามาพักนั่งยก ขอกินเหล้ากับเพื่อนกลุ่มเดิมๆอยู่ข้างสนาม แบบนี้ เราก็คงไม่ถึงเส้นชัยกับเค๊าสะที

เลือกคบเพื่อน ก็เหมือนเลือกคู่ครองชีวิตแหละ เลือกกันให้ดีๆนะ คู่ครองชีวิตหนะ เปลี่ยนบ่อยไม่ดี แต่เพื่อนหนะ ถ้าไม่ดี เราเปลียนได้นะ ชีวิตเรามีสิทธิ์ที่จะเลือกเอาแต่สิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิต เพื่อนก็เหมือนกัน... เราเลือกได้

Saturday, December 5, 2009

วันพ่อ

วันนี้วันที่ 5 ธันวาคม เป็นวันสำคํญสำหรับคนไทยทั่วโลก เพราะเป็นวันคล้ายวันประสูติของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในขณะเดียวกันวันนี้ก็ถือว่าเป็นวันพ่อแห่งชาติสำหรับคนไทยด้วย

น้องๆหลายคนก็จะถือเอาวันนี้เป็นวันพิเศษเพื่อทำความดี และแสดงออกถึงความรักที่มีต่อคุณพ่อ ทำโน่นทำนี่ให้คุณพ่อมั่ง ซื้อของให้คุณพ่อมั่ง แต่จริงๆแล้ววันพ่อไม่ใช่วันนี้แค่วันเดียว ทุกๆวันของเราคือวันพ่อ ทุกๆวันของเราคือวันแม่ พี่อยากจะแนะนำให้น้องๆทุกคน ให้ทำความดีให้คุณพ่อและคุณแม่ตลอด ไม่ต้องรอให้ถึงวันพ่อ หรือวันแม่ ซึ่งปีหนึ่ง ถึงจะวนมาทีหนึ่ง สู้เราทำความดีกับท่านทุกวันดีกว่า หากเมือ่ใดที่ท่านเหล่านั้นไม่อยู่ เราจะได้ไม่มานั่งเสียใจภายหลังว่า ยังไม่ได้ทดแทนบุญคุณคุณพ่อคุณแม่เลย หากใครยังไม่ได้เริ่ม จะด้วยเหตุผลประการใดก็ตามแต่ พี่เจแนะนำให้เริ่มเสียแต่วันนี้ เริ่มสะ เริ่มเสียแต่วันนี้ เพราะถ้าวันหนึ่งที่ท่านไม่อยู่ เราก็จะไม่มีโอกาสได้เริ่มเลย วันนี้ยังไม่สายเกินไปที่เริ่มทำความดีให้กับคุณพ่อและคุณแม่ หรือใครสักคน เริ่มเสียแต่วันนี้ ยังไม่สายเกินไป

ชีวิตที่เรียบง่าย

วันนี้พี่เจ ก็อยากจะมาเขียนอะไรที่พี่เจ คิดว่าสำคัญและหลายๆคนมองข้าม คือการใช้ชีวิตที่เรียบง่าย back to basic

รู้มั๊ยว่าวันๆหนึ่ง เราเปิดทีวีดูกันวันละกี่ชั่วโมง หรือเล่นคอมพิวเตอร์เพื่อฆ่าเวลา แต่ถ้าใช้คอมพิวเตอร์ทำงาน หรือทำการบ้าน ก็ไม่เป็นไรนะ เพราะมันเป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องทำต้องใช้เหมือนกัน อยากแนะนำให้น้องๆลองปิดทีวี และหนีห่างจากคอมพิวเตอร์สักระยะหนึ่ง ลองทำดู 2-3 วัน ก่อนก็ได้ แล้วจะรู้ว่า เออเราเอาเวลาเหล่านั้นมาใช้ทำกิจกรรมอย่างอื่นอีกได้เยอะแยะเลยกับเพื่อนๆ กับคนรอบข้าง กับคนที่เรารัก เป็นความสุขง่ายๆที่สามารถสร้างมันขึ้นมาเองได้ เพียงแค่หันเหเวลาที่เราใช้ไปกับการดูทีวี เล่นคอมพิวเตอร์ ท่อง Internet ไปเรื่อยเปื่อย มันเป็นการใช้ชีวิตที่เลื่อนลอยและไม่คุ้มค่ากับเวลาที่มี

อีกเรื่องหนึ่งคือการขับรถ โดยเฉพาะตัวพี่เจเอง ไปใหนมาใหน ก็ต้องขับรถตลอด เพราะงานเยอะ ทำโน่นทำนี่แข่งกับเวลา แต่ตอนนี้ก็จะเริ่มปล่อยวางในบางส่วนไปแล้วหละ งานบางอย่างที่สามารถให้คนอื่นทำได้ พี่เจก็เริ่มจะวางมือ ให้คนอื่นทำ เอาเวลาเหล่านั้นไปทำงานอย่างอื่นที่สามารถทำได้ที่บ้าน working from home แบบสบายๆ จะซื้ออะไรใน super market แถวนี้ ก็จะเดินไปซื้อเอา เพราะชีวิตไม่ได้เร่งรีบอะไรเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไป งานบางอย่างที่ทำ ก็จะเจอลูกค้าเฉพาะคนที่นัดเอาไว้เท่านั้น มีนัดถึงจะขับรถออกไป ถ้าไม่มีนัดก็จะนั่งทำงาน ทำเอกสารอยู่ที่บ้าน ช่วงเปิดเทอมในขณะที่เรียนอยู่ก็จะนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่บ้าน

การที่เราไม่ใช้รถนี่ก็ดีเหมือนกัน เพราะเดินไปโน่นมานี่ เราก็รู้จักเพื่อนบ้านข้างเราเยอะ ถ้ามัวแต่ขับรถก็คงจะไม่รู้จักใคร

เทอมหน้าก็กะว่าจะเลิกขับรถไปมหาลัย เพราะว่าที่นี่ก็มีรถบัสฟรี จากหน้าบ้านไปมหาลัย หรือจากหน้าบ้านเข้าไปในเมือง ให้นั่งรถบัสเข้าเมืองหนะคงไม่ทำ เพราะถ้าเข้าเมืองคือต้องไปทำงาน ยังไงก็คงต้องขับรถเพื่อความสะดวกและรวดเร็ว แต่วันใหนที่มีเรียนเทอมหน้า คงจะนั่งรถบัสไปเรียน เรียนเสร็จก็จะนั่งรถบัสกลับบ้าน คงจะไม่ขับรถไปที่ร้านเหมือนแต่ก่อน คิดว่าเริ่มปล่อยวางเรื่องร้านได้ในบางส่วนแล้ว ก็คงเข้าทำงานที่ร้านเฉพาะช่วงเย็น

ชีวิตคนเรา เราเลือกและออกแบบเองได้นะ จริงๆ ไม่เชื่อก็ลองดู

Tuesday, November 24, 2009

ปากเธอเหม็น รู้มั๊ย

มีหลายคนคิดว่า วันหนึ่งแปรงฟัน 2 ครั้งก็พอ ตอนเช้าที และก็ก่อนนอนที จริงๆแล้ว แปรงฟันวันละ 2 ครั้ง หนะ พอจริงเหรอ พี่เจ ว่าไม่พอนะ

เนื่องด้วยว่าพี่เจทำงานกับคนมาเยอะ เจอะเจอคนมาเยอะ เวลาพูดใกล้ๆใครเนี๊ยะ เราต้องมั่นใจว่าเราไม่มีกลิ่นที่ไม่ต้องประสงค์ เพราะว่าตัวพี่เจเอง เจอมาบ่อยที่ต้องพูดกับคนใกล้ๆ แล้วเค๊ากลิ่นปากแรง อะไรประมาณเนี๊ยะ บางคนหนาตาดี สวย แต่พอพูดออกมา เราอยากจะเดินหนีมากเลยหนะ เพราะมีกลิ่นปาก

พี่เจก็เลยอยากจะเขียนบอกกับทุกคน ณ ที่นี้ว่า เรื่องของกลิ่นปากหนะ สำคัญนะ มันสื่อถึงอะไรต่างๆ เกี่ยวกับตัวเรามากมาย image สำคัญนะ

ปกติพี่เจตื่นเช้ามาก็จะแปรงวันแบบรีบๆ เพียงเพื่อให้ตัวเองสดชื่นหรือตื่นจากพวัง ก็แค่นั้นเอง หลังจากนั้นก็จะดื่มกาแฟ แต่ทุกครั้งที่จะออกจากบ้านก็จะแปรงฟันอีกรอบหนึ่ง เพราะรู้ตัวว่า ตอนเช้าที่แปรงไปครั้งแรกหนะ แปรงแบบลวกๆจริงๆ พอแปรงฟันก่อนออกจากบ้าน เราก็มั่นใจมีอีกเยอะเลยแหละ

ถ้าพี่เจทำอะไรอยู่ข้างนอก ทำงาน หรือทานข้าวมาจากข้างนอก ถ้าได้มีโอกาสกลับบ้าน ก็จะแปรงฟันก่อนออกจากบ้านเสมอ สรุปคือ ก่อนก้าวเท้าออกจากบ้านเนี๊ยะ ถ้าดื่มหรือทานอะไร พี่เจก็จะแปรงฟันก่อนที่ออกไปข้างนอกอีกเสมอ

ส่วนเรื่องแปรงฟันก่อนนอน ก็เป็นอะไรที่ต้องทำอยู่แล้วหละ งั้นไม่ขอเขียนถึงจุดนี้ก็แล้วกัน

ทุกครั้งที่พี่เจ กลับไปเมืองไทย ก็ต้องไปขูดหินปูน และตรวจฟันเป็นประจำเลย หมอฟันจะบอกว่า ฟันแข็งแรง ไม่ผุ ตลอดเลย นี่คือผลพลอยได้

ก็อยากจะบอกว่าน้องๆ รักษาและระวังเรื่องกลิ่นปากให้ดีๆ สงสารคนที่เค๊าคุยด้วยหน่อยเถอะ บางทีคุยกับเพื่อน เพื่อนก็ไม่กล้าบอก ไม่กล้าเตือน เพราะเกรงใจ และก็กลัวเราเสียหน้าด้วย อะไรทำนองเนี๊ยะ ให้แปรงฟันวันหนึ่งบ่อยๆ อย่าขี้เกียจ อย่าคิดว่าตัวเองไม่มีกลิ่นปาก ตัวเราเองหนะ ไม่ได้กลิ่นปากตัวเองหรอก จะเป็นคนอื่นสะมากกว่า คนข้างเคียงหรือคนที่เราคุยด้วย

Thursday, November 19, 2009

ชีวิตเด็กนักเรียน ที่น่าสงสาร

ช่วงนี้ พี่ J ได้มีโอกาสไปฝึกสอนที่โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง แถวๆ Wollongong โรงเรียนที่ไปเป็นโรงเรียนที่ตั้งอยู่ในระแวกและย่านชุมชนที่ ครอบครัวส่วนใหญ่ มีรายได้น้อย ติดยา ติดเหล้า หรือไม่มีงานทำ พี่เจก็ไปสอน Maths และ Comp (Computing) ที่โรงเรียนแห่งนี้ พี่เจต้องฝึกสอนทั้งหมด 30 วัน ตอนนี้ก็ฝึกสอนมาได้ 5 อาทิตย์แล้ว

ที่ได้ฝึกสอนที่นี่ ได้เรียนรู้ ได้เห็น อะไรหลายๆอย่าง โรงเรียนที่นี่เป็นโรงเรียนรัฐบาล บรรยากาศและสิ่งแวดล้อม ก็จะแตกต่างจากโรงเรียนเอกเชน หรือโรงเรียนที่อยู่ในตัวเมือง Wollongong เอง พี่เจเองก็เขียน blog เก็บเรื่องราวและรายละเอียดต่างๆ เป็นอีก blog หนึ่ง แต่คงให้ทุกคนอ่านไม่ได้ เพราะข้อมูลหลายๆอย่าง sensitive มาก เดี๋ยวโดน sue ได้ ซวยเลย

เด็กนักเรียนที่นี่มีชีวิตหลากหลาย คละเคล้ากันไป พี่เจก็ได้มีโอกาสสอนทั้ง top class และ lower class. Top class ก็จะเป็นเด็กเรียน ส่วน lower class ก็จะเป็นเด็กมีปัญหานิดหนึ่ง ทั้งเรื่องการเรียน และ behaviour problems

ทุกครั้งที่สอน top class, พี่เจจะไม่ค่อยมีปัญหาอะไรเลย ทุกอย่างขับเคลื่อนไปได้ดีมาก เพราะเด็กๆตั้งใจเรียนดีมาก ครู Asianได้มีโอกาสสอนเด็กฝรั่งหัวทอง ก็ได้อารมณ์แปลกๆไปอีกแบบหนึ่ง

แต่พอได้มีโอกาสสอนเด็ก lower class แล้ว รู้สึกสงสารมากเลย คิดอยู่ในใจว่า ทำใมนะ ชีวิตคนเรา มันช่างไม่แฟร์เลยจริงๆ เพราะเด็กใน lower class แบบว่าสอนอะไรไป เค๊าก็ไม่ค่อยจะเข้าใจกัน เค๊าจะทำ จะคิด อะไรแบบช้าๆ พี่เจมีความรู้สึกว่า ชั่วโมงสอน 50 นาที บางทีไม่ค่อยพอด้วยซ้ำสำหรับเด็ก lower class เพราะนักเรียนเหล่านี้ ต้องสอนและอธิบายไปอย่างช้าๆ

พี่เจก็อดคิดไม่ได้ว่า อยากจะนั่งยาว 2-3 ชั่วโมง นั่งอธิบาย ทำแบบฝึกหัด ให้พวกเค๊าได้เข้าใจไปเลย แต่มันก็ทำไม่ได้ เพราะพอ the bell ring ทุกคนก็ต้องไปเรียนวิชาอื่น พอเลิกเรียนทุกคนก็กลับบ้าน มันไม่มีการติวเข้ม หลังเลิกเรียน อะไรแบบนั้น เหมือนที่เมืองไทย เห็นแล้วก็อดที่จะหดหู่ไม่ได้ นักเรียนที่อยู่ top class หนะ พี่เจไม่ห่วงหรอก พวกนั้นเรียนเก่งอยู่แล้ว แต่พวก lower class นี่สิ กลับบ้านไป พวกเค๊าเหล่านั้นจะได้มีเวลาหรือโอกาสทบทวนบทเรียนหรือเปล่า พี่เจก็ไม่รู้ เพราะสะภาพที่บ้านอาจไม่เอื้ออำนวย พี่เจอยากช่วย แต่ก็คงช่วยได้เท่าที่เวลาเอื้ออำนวย บางทีก็เรียกเด็กให้เข้ามาพบช่วง recess แต่ก็ทำได้ไม่บ่อยนัก เพราะจะบอกเด็กทีไร เวลามันก็ผ่านไปเร็ว the bell ก็ ring แบบไม่ทันตั้งตัวตลอดเลย

น้องๆหลายคนที่มาเรียนเมืองนอกที่นี่ พี่เจก็อยากจะให้นึกถึงเด็กที่เค๊าด้อยโอกาสบ้าง พวกเรามีโอกาสดี ได้มาเรียนเมืองนอก เรียนในสถาบันที่มีคุณภาพ อย่างมหาลัย Wollongong พี่เจก็อยากจะให้ทุกคนตั้งใจเรียน เรียนให้จบ ให้ได้คะแนนดีๆ ให้พ่อแม่และครอบครัวที่เค๊าอุตห์ส่าส่งเสียเรามาเรียน ได้มีความภาคภูมิใจ เพราะค่าเรียน ค่าครองชีพ และทุกๆอย่างที่นี่ ไม่ได้ถูกเหมือนเมืองไทยเลย อยากให้น้องๆทุกคนใช้ชีวิตให้เป็น ใช้เวลาให้คุ้มค่า ใช้โอกาสที่ได้มาให้เป็นประโยชน์ ชีวิตพวกเราดีกว่าเด็กนักเรียนหลายๆคนที่พี่เจไปฝึกสอนมา ดีกว่าเยอะเลยทีเดียวแหละ

รู้มั๊ยว่าพวกเราหนะโชคดีขนาดใหน

Monday, October 26, 2009

ว่าด้วยเรื่องของบัว

คงแปลกใจหละสิ ว่า "บัว" คืออะไร วันนี้เรามาคุยเรื่องของบัวกันดีกว่า

อันว่า "บัว" นั้น มีหลายประเภท บางประเภทก็มุดติดอยู่ใต้โคลนตม บางประเภทก็โผล่จากตมแล้ว บางประเภทก็โผล่ปลิ่มๆ เหนือน้ำ ปางประเภทก็โผล่ขึ้นเหนือน้ำแล้ว

เปรียบแล้ว ก็เหมือนกับคนเราเลย คนเราก็มีหลายประเภทเช่นเดียวกัน บางประเภทก็กระโหลกหนา บอกอะไร สอนอะไร อธิบายอะไร ก็ไม่ค่อย get เท่าไหร่ บางคนบอกอะไร ก็ get เข้าใจง่าย บอกครั้งเดียว คุยครั้งเดียว รู้เรื่อง

บางประเภทก็มีแปลกๆ จะหนา ก็ไม่เชิงหนาสะทีเดียว จะบางก็ไม่บางสะทีเดียว ชอบคิดเอง ออเอง คิดว่าทำอย่างนี้ถูก คิดว่าทำอย่างนั้นถูก แต่ไม่ได้หันไปดูคนรอบข้างว่าเค๊าคิดกันยังไง ความเกรงใจเป็นยังไง

นี่แหละหนา มนุษย์
Whey you gonna learn???
When you gonna learn???

Wednesday, October 21, 2009

ปัญหาทุกอย่างมีทางแก้ หาใครสักคนมาช่วยคิด

วันนี้ พี่เจ... มาแปลก
วันนี้ อยากจะบอกทุกคนว่า "ปัญหาทุกอย่างมีทางแก้" ไม่ว่าจะหนักหนาสาหัสขนาดใหน ให้ระลึกไว้เสมอว่า
ไม่ว่าปัญหาจะน้อยใหญ่ขนาดใหน ปัญหาทุกอย่างมีทางแก้ อย่าด่วนตัดสินใจทำอะไรโดยที่ไม่คิดไตร่ตรอง อย่าย้ำคิดย้ำทำคนเดียว หาใครสักคน เพื่อนที่รู้ใจ เพื่อนที่อยู่ใกล้ๆ ใครก็ได้ สักคน มานั่งคุยด้วย มาปรึกษาด้วย

ปัญหาอะไรก็ตามแต่ ถ้าค่อยๆแก้ไปทีละเปราะ พี่เจ... คิดว่าปัญหามันก็จะค่อยๆคลี่คลายไปเอง คงไม่มีปัญหาอะไรที่แก้ไม่ได้หรอก เพียงแต่ว่าบางที เราคิดคนเดียว ทำคนเดียว ปัญหาเล็กๆมันอาจจะดูใหญ่เกินตัวเราคนเดียวที่จะรับมือกับมันได้ แต่ถ้าลองได้ใครสักคนสิ มาช่วยคิด มาช่วยหาวิธีแก้ปัญหากัน ปัญหาต่างๆก็คงจะไม่หนักหนาเกินกำลัง

ปัญหาทุกอย่าง มีทางแก้ อย่าทำร้ายตัวเอง
เพราะบางทีการที่เราทำร้ายตัวเราเอง คนที่เจ็บมากที่สุดอาจจะไม่ใช่เราก็ได้ อาจจะเป็นคนรอบๆข้างเราที่เค๊ารักเราก็ได้ สงสาร และเห็นใจคนรอบข้างด้วยนะ เพราะการที่เราทำร้ายตัวเองหรือลงโทษตัวเอง มันอาจจะเป็นการทำร้ายคนรอบข้างเราเสียมากกว่า

คิดให้ดี ก่อนที่จะทำอะไรลงไป คิดช้า คิดนานๆ ไตร่และตรอง

Wednesday, October 14, 2009

ไว้หน้าแฟนเสมอ

วันนี้ จะเขียนเกี่ยวกับการทะเลาะกันกับแฟนต่อหน้าคนอื่นนะครับ ไม่เกี่ยวอะไรกับการนอกใจ หรือไม่นอกใจ เพราะอันนั้นคงเกินกำลังของพี่เจ... ที่จะไปพร่ำบอกได้

สาเหตุที่อยากเขียนเรื่องนี้ เพราะเห็นหลายคู่ที่ทะเลาะหรืองอนกันต่อหน้าเพื่อนๆเนี๊ยะ ไม่ค่อยเก็บอารมณ์ สีหน้าสีตาเนี๊ยะออกมาหมดเลย อันนี้ไม่ดี เป็นการหักหน้าอีกฝ่ายหนึ่งอย่างแรง ปกติคนเป็นแฟนกัน ทะเลาะกันหรืองอนกัน แป๊บเดียวเดี๋ยวก็หาย ก็เคลียร์กันได้ แต่ที่จะให้ดีที่สุดคือ ให้ไปทะเลาะกันที่บ้าน หรือ สองต่อสอง ไม่ใช่ต่อหน้าเพื่อนๆ จะโกรธ หรือความคิดเห็นไม่ตรงกันอะไรก็แล้วแต่ ให้เก็บเอาไว้ก่อน กลับถึงบ้านแล้วค่อยคุยกัน เพราะการที่เราแสดงออกบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ควรแสดงออกไปหนะ คนที่เสียก็คือตัวเราเอง และแฟนก็รู้สึกเสียหน้า เสียความรู้สึกไปด้วย ไม่มีใครอยากโดนหักหน้านะ จริงป๊ะ??

จะทะเลาะอะไรกัน ก็อย่าทะเลาะให้ที่สาธารณะก็แล้วกัน
หรือถ้ามันเลี่ยงไม่ได้ วิธีที่ดีที่สุด คือ ...เงียบ... ไม่ต้องต่อความยาว สาวความยืด อารมณ์ดีเมื่อไหร่ หรือกลับถึงบ้านเมื่อไหร่ แล้วค่อยไปเคลียร์กันเอง

นะจ๊ะ

Sunday, October 11, 2009

คนดีชอบแก้ไข คนจัญไรชอบแก้ตัว

เมื่อหลายปีก่อน พี่เจ...รู้จักพี่คนไทยที่นี่คนหนึ่ง คำหนึ่งที่ฮิตติดมากแกเมื่อหลายปีก่อนคือ "คนดีชอบแก้ไข คนจัญไรชอบแก้ตัว"

2-3 วันที่ผ่านมา เป็นอะไรก็ไม่รู้ ขับๆรถอยู่ คำคำนี้ก็แว๊ปขึ้นมาในสมอง เราก็เลยเอามาใตร่ตรองดู แล้วมันก็เออ จริงอย่างที่พี่เค๊าพูดไว้จริงๆนะ แต่ก่อนเราก็ไม่เคยได้ใส่ใจกับคำพวกนี้เลย มาถึงวันนี้ สงสัยเราเริ่มแก่ตัวแล้วมั๊ง ได้มีเวลามาพิจารณาคำคมต่างๆของพี่เค๊า

คำคมของพี่คนนี้ก็ชัดเจนดี ตรงไปตรงมา ไม่ต้องตีความหมายอะไรมากมาย จริงแล้วคนดี เวลามีอะไร หรือทำอะไรผิดพลาดเนี๊ยะ เค๊าก็คิดไตร่ตรองที่จะแก้ไข ทำทุกอย่างให้มันดีขึ้น จะได้ไม่เกิดความผิดพลาดเดิมๆอีก

แต่ก็มีน้องหลายๆคน ใกล้ตัวพี่เจ...ด้วยหละ เอาเป็นว่าเคยใกล้ตัวก็แล้วกัน เพราะ ณ วันนี้ ความสนิทสนมมันเริ่มห่างไปแล้วหละ รู้สึกว่าเค๊าจะอยู่ในประเภทหลัง คือชอบแก้ตัว จะคิดจะทำอะไร เค๊าจะรีบออกตัวไว้ก่อน แก้ตัวไว้ก่อนเลย เพราะเค๊ากลัวสายตาคนอื่นจะมองว่าเค๊าผิด ทุกสิ่งทุกอย่างที่เค๊าทำ เค๊าจะต้องถูกเสมอ โดยที่สามัญสำนึกของคนเราทั่วไปปกติ ที่ยังมีสามัญสำนึกอยู่ ก็มองออก ก็ดูรู้ว่ามันผิดนะ อะไรประมาณเนี๊ยะ นอกจากจะชอบแก้ตัวแล้ว ยังชอบที่จะหลอกตัวเองอีกต่างหาก อันนี้ก็เกี่ยวโยงไปถึงเนื้อหาที่เคยเขียนไปแล้ว

ยังไม่สายนะครับ กลับตัว กลับใจ เริ่มต้นใหม่ ทำตัวใหม่ สิ่งใหม่ๆ ดีๆ จะได้เข้ากับชีวิตเราได้ ไม่ต้องไปวิงวอนขอพรเทวา เริ่มจากตัวเรานี่แหละ เริ่มตั้งแต่วันนี้ ยังไม่สาย

แล้วคุณหละ เป็นแบบใหน ชอบแก้ไข หรือชอบแก้ตัว
หรือชอบแก้อย่างอื่น ถ้าชอบแก้อย่างอื่นด้วย ก็ตัวใครตัวมันก็แล้วนะ งานเนี๊ยะ ขอตัว :)

Saturday, October 10, 2009

วันนี้คุณบอกรักคนข้างๆคุณหรือยัง

อยากจะบอกทุกคนว่า ชีวิตคนเรานั้นมันสั้นนัก ณ ตอนนี้เรามีชีวติอยู่ แต่อีก 5 นาที หรือ 10 นาที ข้างหน้า เราไม่รู้ เราไม่รู้เลยว่า เราจะมีชีวิตต่ออีกถึงพรุ่งนี้หรือเปล่า

ณ วันนี้
ณ ตอนนี้

คนบอกคนข้างๆคุณหรือยังว่าคุณรักเค๊า ได้โทรหาพ่อหรือแม่ ที่เมืองไทยหรือยัง บอกดังๆชัดๆว่ารัก บอกรักกับคนที่เรารักไปเถอะ ไม่ต้องเขินอาย เพราะตอนนี้เรายังโอกาสบอกได้ เพราะพรุ่งนี้เราไม่รู้ว่าเราจะได้มีโอกาสมั๊ย

บางคนบอกว่า รักหนะก็รักนะ แต่ไม่เห็นต้องแสดงออก ไม่เห็นต้องบอกเลย มองตาก็พอ ก็รู้ใจแล้ว

อืม..... ก็มีส่วนที่่เป็นจริงนะ แต่ถ้าเราได้พูดออกมา เหมือนมันเป็นการตอกย้ำ เป็นการ confirm ถึงความรู้สึกของเราที่เรามีต่อเค๊า มันอาจจะทำให้โลกทั้งใบหรืออีกฝ่ายหนึ่ง มีชีวิตชีวา ขึ้นมาอีกเลยทีเดียวก็ได้

การที่เราบอกรักคนข้างๆเรา ไม่ว่าแฟน พ่อ หรือแม่ก็ตาม ไม่ได้แปลว่าเราเป็นคนหวาน ขี้ออเซอะ หรือว่า อ้อล้อ หน่อมแหน๊ม พี่เจ...ว่า มันตรงกันข้ามอีกต่างหากหละ พี่คิดว่ามันทำให้โลกทั้งใบมีชีวิตมีชีวา ขึ้นมาทันที

อะ ไม่เชื่อก็ลองทำดูนะ

Friday, October 9, 2009

นัดแล้วต้องรักษานัด

นัดแล้วต้องรักษานัด

อันนี้สำคัญ ไม่ใช่เฉพาะน้องๆเท่านั้น อันนี้พี่เจ...แนะนำทุกคน ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ บางทีผู้ใหญ่นี่แหละตัวดีเลยเชียว

คนเรานะถ้านัดแล้ว ไม่มาตามนัด ก็ทำตัวเองไม่น่าเชื่อถือ ทำอะไรก็จะประสบความสำเร็จยากนะ เพราะคงไม่มีใครอยากจะมีส่วนร่วมในกิจกรรม หรือธุรกิจที่เค๊าทำ เพราะการที่เรานัดใครแล้วเราไม่มาตามนัดเนี๊ยะ พรึงระลึกไว้เสมอว่า อีกฝ่ายหนึ่งเค๊าต้องเสียเวลา และเรื่องของการบริหารเวลา เราก็เคยเขียนถึงมาแล้วครั้งหนึ่งว่า ทุกคนมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่าๆกัน ขึ้นอยู่กับว่าเราจะบริหารมันยังไง

การที่นัดแล้วไม่มาตามนัด นอกจากจะทำให้อีกฝ่ายเสียเวลาแล้ว มันทำให้อีกฝ่าย เสียความรู้สึกไปด้วย เพราะถ้านัดแล้วไม่มามันก็เหมือนอีกฝ่ายไม่มีความสำคัญ เหมือนเอารองเท้ามาตบหน้า ยังไงยังงั้น (แรงดีมั๊ย) ถ้าจะไม่มาตามนัด ก็อย่าคิดอะไรง่ายๆแค่ฝ่ายเดียว ว่า เออ คงไม่เป็นไร เพราะจริงๆแล้วหนะ มันเป็นนะ ไม่มากก็น้อย

จะคิดจะทำอะไร ให้เอาใจเค๊ามาใส่ใจเรานิดหนึ่ง สมองมีเอาไว้ให้คิดในสิ่งดีๆ สิ่งสร้างสรรค์ บริหารสมองนิดหนึ่งนะ ใช้ชิวิตให้เป็น ให้มีประโยชน์ไม่งั้นก็เกิดมาสูญเปล่า คิดดี ทำดี และสิ่งดีๆก็จะตามมาเอง

Sunday, September 27, 2009

อย่าหลอกตัวเอง

อย่าหลอกตัวเองเลย เพราะว่าหลอกคนอื่นได้ หลอกตัวเองไม่ได้หรอก

มีน้องบางคนที่นี่ ที่เพิ่งได้มีโอกาสมาอยู่เมืองนอกเป็นครั้งแรกในชีวิต ตลอดชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยห่างไกลพ่อแม่เลย จะทำอะไรก็จะอยู่ในสายตาของพ่อแม่ และครอบครัวมาโดยตลอด แต่พอได้มาเรียนต่อเมืองนอก ได้มาอยู่เมืองนอก ได้ห่างไกลจากสายตาของพ่อแม่และที่บ้าน ลวดลายต่างๆก็ไม่เคยออก มันก็จะเริ่มเล็ดลอดออกมา

ชีวิตในต่างแดนที่เต็มไปด้วยความสิระ จะกลับบ้าน จะเที่ยวยังไง ที่บ้านก็ไม่เคยรู้ เพราะตอนอยู่ที่เมืองไทย ไม่ค่อยออกเที่ยวเลย เด็กดีมาโดยตลอด ที่บ้านโทรมา จะตอบจะพูดไปยังไงก็ได้ เพราะที่บ้านไม่เห็น ไม่ได้รับรู้ เรียนไม่จบ ก็ไม่เป็นไร ก็บอกที่บ้านว่าที่นี่มันเรียนยาก ก็เท่านั้นเอง

จากภาพลักษณ์ที่เป็นคุณน้องหนู คุณลูกสุดที่รักของคุณพ่อ คุณแม่ คุณตา คุณยาย คุณปู่ และคุณย่า ก็ได้สลัดทิ้งไปหมดแล้ว ขอใช้ชีวิตให้สุดคุ้ม เที่ยวให้สุดเหวี่ยง พอที่บ้านที่เมืองไทยมาเยี่ยมที ก็สร้างภาพตบตา สร้างฉากแสดงละคร ว่าน้องหนูหนะ ยังเป็นน้องหนูที่หวานแหววและเรียบร้อยเหมือนผ้าที่พับไว้เหมือนเดิม (แต่ข้างในยับมาก) พ่อแม่และที่บ้านจะได้อุ่นใจ ส่งตังค์มาให้ใช้ต่ออีกเรื่อยๆ

เมือไหร่นะ น้องหนูปลอมๆพวกเนี๊ยะ จะเลิกหลอกตัวเอง และหลอกคนอื่นเสียที สงสารคนที่อยู่ทางบ้านที่เมืองไทยหนะ ส่วนพวกเราพี่ๆ เพื่อนๆ และน้องๆที่อยู่ที่นี่ ก็เห็นไส้เห็นพุงหมดแล้วแหละ สร้างภาพลักษณ์ไปก็เท่านั้นแหละ ขอบอกว่า "ไม่ work" แล้วหละ หลอกตัวเองไปวันๆ ก็เท่านั้นแหละ ไม่ต้องหลอกตัวเองออก เปิดเผยมาเลยดีกว่า ว่าตอนนี้หนะ "ดีแตก"

Wednesday, September 9, 2009

มันเป็นเรื่องของเวลาหนะ

มีน้องๆหลายคนบ่นว่า ไม่ค่อยมีเวลา ทำโน่นไม่ทัน ทำนี่ไม่ทัน จะทำยังไงดี วันนี้พี่จอห์นก็ขอเขียนถึงเรื่องการบริหารเวลากันนิดหนึ่ง เพราะตัวพี่เจ...เองก็ทำอะไรหลายๆอย่าง ทำงาน ทำธุรกิจ เรียนหนังสือ(2 มหาลัยควบภายในเวลาเดียวกัน) ดูแลครอบครัว แต่ก็ยังมีเวลา enjoy life ไปว่ายน้ำ ไปตีแบตที่มหาลัย และทำงานกิจกรรมชมรมที่มหาลัยอีกด้วย แถมเป็นประธานชมรมอีกต่างหาก

ก็อยากจะบอกน้องๆว่า ทุกคนมีเลาเท่าเทียมกันครับ ทุกคนมี 24 ชั่วโมงภายใน 1 วันเท่าๆกัน ขึ้นอยู่กับว่า เราจะบริหาร 24 ชั่วโมงนี้อย่างไร เวลาว่างเราจะทำอะไรให้กับตัวเอง

มีหลายคนเอาเวลาว่างไปนั่งเล่นคอมพิวเตอร์เกมส์ ที่ยิ่งเล่น ก็ยิ่งติด และเวลาก็จะผ่านไปเร็วมาก บางคนนั่งเล่นเกมส์กันทั้งคืน จะรู้ตัวอีกที ก็เช้าแล้ว อะไรประมาณเนี๊ยะ เลยไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่นเลย

และก็หลายคนที่ชอบสังสรรค์ เฮฮาปาร์ตี้ มีปาร์ตี้กันทุกอาทิตย์เลย แบบนี้ก็ไม่ไหว ปาร์ตี้หนะดีนะ เป็นการเข้าสังคมอีกอย่างหนึ่ง ทำให้เราได้เพื่อนเยอะ สนุก และผ่อนคลาย แต่มีปาร์ตี้ทุกอาทิตย์ก็แย่เหมือนกัน เพราะปาร์ตี้แต่ละทีก็ถึงเช้ากันเหมือนกัน นานๆครั้งหนะไม่เป็นไรหรอก เอาเวลาปาร์ตี้เหล่านี้ มานั่งอ่านหนังสือ ทำการบ้าน น่าจะดีกว่า จะได้เรียนให้จบๆ กลับบ้าน ไปเมืองไทย ให้พ่อแม่ภูมิใจกับใบปริญญาเมืองนอกที่ได้มา

นอกจากจะปาร์ตี้แล้ว ก็มีหลายคนที่ติดการพนัน ชอบไปเล่นตู้ slot machine ที่คลับ เด็กนักเรียนไทยไปกันเยอะมาก อาจจะเป็นเพราะเก็บกด ที่เมืองไทยไม่มีเล่น พอที่นี่มีให้เล่น ก็เล่นกันใหญ่เลย เฉพาะเด็กอายุเกิน 18 ปีนะ เล่นกันทีก็หลายชั่วโมง ยิ่งเล่น ยิ่งเพลิน ยิ่งอยู่นาน บางคลับก็ปิดกันเกือบถึงเช้า ปิดตี 5 ที่ผ่านๆมา ก็ยังไม่เคยเห็นมีใครรวยหรือได้กำไรจากการเล่นตู้ slot machine สักที บางคนก็บอกว่าคืนนี้เล่นได้ ได้กำไรมาหลายตังค์ แต่เชื่อมั๊ยว่า พรุ่งนี้เค๊าก็จะกลับไปเล่นอีก และก็จะเสียเงินที่ได้มา คืนไปให้คลับ พี่เจ...เห็นมาเยอะแล้วแบบเนี๊ยะ ไอ้ตอนที่ได้กำไรหนะ คุยซะใหญ่โตเลยนะ แต่พอเสียมาหละก็ เงียบเชียว ไม่กล้าบอกใคร เพราะกลัวเสียหน้า ก็อยากจะบอกน้องๆว่า เอาเวลาส่วนเนี๊ยะ ไปทำอย่างอื่นที่มันมีประโยชน์มากกว่านี้น่าจะดีกว่า ทำการบ้าน อ่านหนังสือ ดูหนัง ฟังเพลงก็ว่าไป

นอกจากนี้ ที่นี่ก็จะมีพวกผีเสื้อราตรี ตกดึกปุ๊บ ต้องออกเที่ยวทันที โดยเฉพาะคืนศุกร์ เสาร์ เนี๊ยะ เตรียมตัวกันหละ เที่ยวกันจังเลย dance กันจังเลย drink กันจังเลย นานๆครั้งหนะไม่เป็นไรนะ แต่ถ้าทุกอาทิตย์เนี๊ยะ ก็แย่หละ สูญเสียเวลาไปกับเรื่องพวกเนี๊ยะไม่เห็นว่ามันจะมีประโยชน์อะไรเลย จริงๆพี่เจ...ก็ออกเที่ยวนะ แต่จะนานๆครั้ง

น้องๆก็ลองคิดทวบทวนดูเอาเองนะ ถ้าเอาเวลาพวกเหล่าเนี๊ยะ มาทำอย่างอื่นที่มันเป็นประโยชน์มากกว่าเนี๊ยะ รับรองน้องๆจะไม่มานั่งบ่นว่า ไม่มีเวลา เวลาไม่พอ ทำการบ้านไม่ทัน อ่านหนังสือไม่ทันแน่นอน น้องๆที่มาเรียนที่นี่ก็โตๆกันแล้วน๊อ ห่างไกลพ่อแม่ที่เมืองไทย มีอิสระในการทำอะไรก็จริง แต่ต้องบริหารเวลาให้เป็น ถ้าทำได้อย่างเนี๊ยะ เรียนจบตามที่เวลาที่ทางมหาลัยกำหนดแน่นอน

Sunday, August 16, 2009

ว่าด้วยความงก และความโลภ

"Greed" won't do you any good... ความโลภ ไม่ได้ทำอะไรให้มันดีขึ้นมาเลย

วันนี้เรามาคุยถึงเรื่อง ความโลภ ความอยากของมนุษย์กันดีกว่า
ความอยากเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ ที่ทุกคนมีความอยาก มีความต้องการ ถ้ามีความต้องการที่อยู่ในขอบเขต มีขีดจำกัด ก็ดี แต่ถ้าต้องการมากกว่าที่จำเป็น หรือต้องการ ก็จะกลายเป็นความโลภ ความโลภนั้นอันตรายมาก สามารถทำให้ชีวิตเราถอยหลังได้ ความโลภจะทำให้เราตาบอดไปชั่วขณะหนึ่ง อาจทำให้เรารีบเร่งในการตัดสินใจ ตัดสินลงทุนด้วยความรีบเร่ง ไม่ทำการคิดใตร่ตรองดีๆ หรือสำรวจตลาดก่อน อาจทำให้เราตัดสินในการลงทุนหรือทำธุรกิจผิดพลาด เซ็นสัญญาเช่านานๆ ขายของไม่ได้ มานั่งจ่ายค่าเช่า กระเป๋าแห้ง ก็แย่เหมือนกัน จะคิดลงทุนหรือทำธุรกิจอะไรก็ตามแต่ พี่เจ...ก็ขอแนะนำให้น้อง ค่อยๆคิดๆ ค่อยๆทำ อย่าเร่งรีบมากเกินไป คิด และทำการบ้าน นั่งบวก ลบ คูณ หาร และเขียนแพลนลงกระดาษ เป็นเรื่องเป็นราว อย่าคิดแต่ว่า ทำอะไรแล้วจะได้ จะสำเร็จไปทุกอย่าง อย่าโลภ

ส่วนคนใหนที่เป็น landlord คือเจ้าของที่ เจ้าของตึก (ถ้าตอนนี้ยังไม่ใช่ ก็บอกเผื่อเอาไว้ในอนาคต) ก็อย่าโลภเหมือนกัน อย่าเก็บค่าเช่าแพงมากเกินจริง เพราะถ้าโลภมาก สุดท้ายก็ไม่มีคนมาเช่าตึก เช่าที่ ตึกก็ว่างเปล่าๆ ไม่มีคนเช่า สู้ที่จะได้ค่าเช่าน้อยๆ แต่ได้นานๆจะดีกว่า


โลภมาก ลาภหาย ก็ยังเป็นสุภาษิต ที่ยังเป็นอัมตะ และยังใช้ได้ตลอดกาล

Friday, July 17, 2009

หนาวจัง ไม่อยากตื่น

อาทิตย์นี้ที่ Wollongong ต้องบอกได้เลยว่า อากาศเย็นมาก หนาวกว่าทุกๆปีที่ผ่านมา และก็หนาวกว่าเดือนที่แล้วด้วย ช่วง 3-4 วันที่ผ่านมา ท้องฟ้าจะมืด อึมครึมตลอดเวลาเลย ทำให้เรามีความรู้สึกว่า ไม่อยากที่จะทำอะไร ไม่อยากตื่นนอน ไม่อยากไปทำงาน อยากจะนอนขดกับผ้าห่มให้อุ่นๆ มีความสุขไปตลอดทั้งวัน พี่เจ...มีความคิดแบบนี้อยู่ 1-2 วัน คือไม่อยากตื่นจากที่นอนเลยจริงๆ ไม่อยากที่จะต้องออกไปทำงานเลยจริงๆ อากาศแบบนี้ มันช่างน่านอน มีความสุขอยู่บ้านสะจริงๆ โดยปกติแล้ว พี่เจ...เป็นคนชอบหน้าหนาวมาก เพราะหงื่อไม่ค่อยออก ไม่เหม็น สกปรกเหมือนหน้าร้อน แต่ต้องขอบอกว่า อาทิตย์อากาศช่างแสนโหดร้ายสะเหลือเกิน ดูข่าวพยากรณ์อากาศ เค๊าบอกว่าประมาณ 6 องศา อะไรประมาณนั้น

แต่แล้วเราก็ต้องเอาชนะมารให้ได้ เอาชนะความขี้เกลียด เอาชนะความหนาวให้ได้ จริงๆแล้วคนเราจะเอาชนะความหนาว ก็ไม่ยากนัก ก็ใส่เสื้อผ้าเยอะๆหนาๆ หรือเปิดเครื่องทำความร้อน ก็แค่นั้นเอง แต่บรรยากาศอึมครึมนี่สิ ที่เราให้เราไม่อยากตื่น ไม่อยากลุกจากที่นอน ไม่อยากไปทำงาน ช่างหาวิธีจัการกับมันยากเหลือเกิน

หลังจากที่มีความคิดแบบเอื่อยๆอยู่ประมาณ 1 วัน เราก็เลยคิดว่า เออ จริงๆแล้ว เราก็ยังดีกว่าหลายๆคนนะ ที่เค๊าต้องทนหนาว ตื่นแต่เช้าเพื่อนั่งรถไปหรือเดินทางเข้าไปทำงานในซิดนีย์ หรือ เออ เรายังดีกว่าคนอื่นที่เค๊าอาศัยอยู่บางเมืองที่ล้อมรอบไปด้วยภูเขา อากาศคงต้องหนาว และเย็นมากกว่าที่เราเจอแน่ๆเลย เราก็คิดไปของเราว่า เออ เรายังดีกว่าอีกหลายๆคนนะ เพราะเราไม่ต้องตื่นสะแบบว่าเช้าตรู่ เพื่อนั่งรถไฟเข้าไปทำงานในซิดนีย์ เราก็ถือว่าเราโชคดีแล้วในระดับหนึ่ง ดังนั้นจะมาโอดครวญว่าหนาว ก็คงไม่ใช่เรื่อง พอคิดได้อย่างนั้น ก็เลยทำให้เราเลิกบ่นเรื่องอากาศหนาว เลิกคิดที่ไม่อยากไปทำงาน พอถึงเวลาไปทำงาน เราก็ไปทำงานอย่างมีความสุข ไม่บ่นเรื่องอากาศหนาวอีก ออกจากบ้านก็ใส่เสื้อผ้าเยอะๆ ก็แค่นั้นเอง

ถ้าน้องๆคนใหนช่วงนี้มีความคิด หรือรู้สึกว่าอากาศหนาวช่วงนี้ช่างเป็นอุปสรรคในการดำเนินชีวิตเหลือเกิน พี่เจ...ก็ขอแนะให้แบบที่พี่เจ...คิดข้างบนก็แล้วกันนะ รับรองเอาชนะความหนาวของเดือนนี้ได้จนถึงสิ้นเดือนแน่ เดี๋ยวเดินหน้าอากาศก็น่าจะเริ่มอุ่นขึ้น

พี่เจ...มีเพื่อนเป็นคนญี่ปุ่น เค๊าบอกว่าหน้าหนาวที่โตเกียวจะประมาณ -10 องศา ติดลบครับ เค๊าอยู่กันได้ไง ถ้าเพื่อนๆเค๊าใช้ชิวิตช่วงหน้าหนาวของเค๊า กับอากาศ -10 องศา เราก็แค่ 6 องศาเองจะเป็นอะไรไป เน๊อ....

Wednesday, June 17, 2009

ประหยัด แต่ ไม่ขี้เหนียว

ประหยัด แต่ ไม่ขี้เหนียว

มีหลายคนที่ไม่เข้าใจ และไม่รู้ความแตกต่างระหว่าง การประหยัด กับความขี้เหนียว

ประหยัดก็คือมีการใช้จ่ายบ้าง แต่ใช้จ่ายเฉพาะเท่าที่จำเป็น ไม่ฟุ่มเฟือย หรือไม่ใช้สอยโดยไม่จำเป็น คนเราเกิดมา ดำรงชีวิตอยู่ในสังคม ก็ต้องมีการใช้สอย เป็นเรื่องปกติ นอกเสียจากว่าจะหนีออกไปอยู่ตามป่าตามภูเขา นั่นก็อีกเรือ่งหนึ่ง ชีวิตประจำวันของเรามีค่าใช้จ่ายอยู่แล้ว ถ้าค่าใช้จ่ายพวกนี้จ่ายไปแล้ว มันทำให้ชีวิตเราสะดวกขึ้น สบายขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่า ต้องหรูหราฟู่ฟ่านะ ก็จ่ายๆไปเถอะ ซื้อไปเถอะ เราจะได้ดำเนินชีวิตเราอยู่ได้ ถ้าหิว ก็ต้องกินต้องดื่ม เป็นเรื่องธรรมดา สมการง่ายๆ ไม่ต้องคิดให้ปวดหัว เพียงแต่ว่า จะกินอะไร ดื่มอะไร และกินยังไง ถ้าถูก และ ประหยัดสุด ก็ต้องทำกินเองที่บ้าน แต่ถ้าต้องออกมาข้างนอก ซึ่งก็อาจจะมีบ้างเป็นครั้งคราว ก็ต้องดูว่า จะกินอะไร ที่ใหน ราคาเท่าไหร่ เกินงบประมาณเรามั๊ย จะกิน จะซื้ออะไร ก็เอาแต่พอดี พองาม สมน้ำสมเนื้อ อย่าให้เกินตัว แต่ก็อย่าให้เบียดเบียนตัวเองมากเกินไป เดี๋ยวจะเข้ากับสังคม และเพื่อนๆไม่ได้

ส่วนความขี้เหนียว นี้ก็คือ การที่ไม่อยากหยิบจ่ายใช้สอยอะไรเลย บาทหนึง เหรียญหนึงก็ไม่ให้กระเด็น อะไรประมาณเนี๊ยะ ถ้าเป็นแบบนี้ ก็แย่แล้วหละ เพราะถ้าขี้เหนียวแบบนี้ ก็คงเป็นการเบียดเบียนตัวเองมากเกินไปแล้วหละ จะทำอะไร จะกินอะไร จะซื้ออะไร ก็คงจะคำนวณและคิดแต่เรื่องเงินอยู่ตลอดเวลา แบบนี้ก็ทำให้เรา มีชีวิตที่ไม่เป็นสุขได้ ไปเที่ยวหรือไปกินข้าวกับเพื่อนก็คงไม่สนุก เพื่อนๆก็อาจจะเริ่มเซ็งและตีตัวออกห่าง สุดท้ายก็ต้องเป็นหัวเดียวกระเทียมรีบ แล้วชีวิตอย่างนี้ จะมีความสุขได้ยังไง มีเงินเยอะแยะมากมาย แต่ใช้สอยไม่ได้ เพราะความขี้เหนียวของตัวเอง ก็ไม่รู้จะมีไปทำใม กะว่าจะเก็บไว้ใช้สอยตอนแก่เหรอ แล้วจะรู้ได้ไงว่า พรุ่งนี้ตัวเองยังจะมีชีวิตอยู่หรือเปล่า เรื่องตอนแก ชีวิตปั้นปลายหนะ อย่าเพิ่งพูดถึงเลย เอาแค่วันนี้หรือพรุ่งนี้ก็พอ เตรียมการได้ วางแผนได้ แต่อย่าให้ไกลเกินตัว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า มีเงินเท่าไหร่ ก็เทออกมาใช้วันนี้ให้หมดเลยนะ (เพราะไม่รู้ว่าชีวิตจะอยู่ถึงพรุ่งนี้หรือเปล่า) ถ้าคิดแบบนั้น ก็คงแย่แล้วหละ แนะนำให้หาหมอจิตแพทย์นะครับ หรือแนะนำให้เข้ามาปรึกษาปัญหาชีวิตอย่างด่วนเลย แสดงว่าเป็นเอามาก!!!

บางคนขี้เหนียวมาก ไม่ยอมใช้จ่ายอะไรเลย แต่เวลาทำบุญ หรือบริจาคเงินให้วัด รีบบริจาคเลย เพราะอยากได้บุญ อยากมีเงินใช้สอยชาติหน้า แต่ขอย้อนถามหน่อยเถอะว่า เบียดเบียนตัวเอง เพื่อที่จะเอาเงินมาทำบุญหนะ จะได้บุญใหม???

Saturday, May 9, 2009

ขอ... อย่ายอมแพ้

ขอ... อย่ายอมแพ้ อย่าอ่อนแอ แม้จะร้องไห้... จงลุกขึ้นสู้ไป จุดหมายไม่ไกลเกินจริง...

คงมีหลายครั้งที่เราท้อ รู้สึกผิดหวัง และก็คิดว่า ทำไมนะ เราต้องมาเป็นโดนแบบนี้ด้วย ทำไมนะมันต้องมาเป็นแบบนี้ด้วย ทำไมนะถึงต้องเป็นเรา อ้าว...เราอีกแล้วเหรอ อะไรประมาณเนี๊ยะ

ไม่ว่าใครจะเจอะเจอหรือโดนอะไรมาก็ตามแต่ ขอให้อย่าได้ท้อ ให้มองไปรอบๆข้างเรา ยังมีอีกหลายคนที่เค๊าแย่กว่าเรา ยังมีอีกหลายร้อยล้านคนที่เค๊าโดนหนักกว่าเรา แย่กว่าเรา ให้คิดและระลึกไว้เสมอว่า เราหนะโชคดีกว่าอีกหลายร้อยล้านคนนัก ที่เค๊าไม่ได้มีโอกาสอย่างเรา ถ้าเราคิดได้แบบนี้ เราก็จะไม่ท้อ เราก็จะไม่เหนื่อย เราก็จะมีกำลังสู้ต่อไป ทำงานที่รับผิดชอบต่อไป ทำหน้าที่ที่เราทำอยู่ต่อไป

ชีวิตคนเรา เกิดมาแล้ว ก็ต้องเดินหน้า จะมาโอดครวญกับเรื่องราวต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตก็คงไม่ได้ วันเวลาผ่านไป ก็คงไม่เกิดประโยชน์ ทั้งต่อตัวเราเองและคนรอบข้าง

ถ้าเธอเหนื่อยนัก หยุดพักเสียก่อน แต่.... ไม่หยุดเลิก หรือยอมแพ้นะ หายเหนื่อยแล้ว ก็ต้องลุกสู้กับชีวิต และปัญหาที่เข้ามา ถ้าปัญหามันเยอะ ให้แบ่งออกเป็นซอยย่อยๆ แล้วค่อยๆจัดการกับปัญหาแต่ละอย่าง ค่อยๆจัดการไป และแล้วปัญหาต่างๆก็จะคลี่คลายลงไป เพียงแต่ขอให้ตั้งสติให้ดีเท่านั้นเอง คนเรานะถ้าทำอะไรด้วยการมีสติแล้วหละก็ ประสบความสำเร็จไปกว่าครึ่งหนึ่งแล้วหละ

Monday, April 13, 2009

ที่มาที่ไป

ที่มาที่ไปของ blog "พี่สอนน้อง" ก็มีอยู่ว่า พี่เจ...ได้เจอะเจอการดำเนินชีวิตของคนมาหลากหลายแบบ และที่ผ่านมาพี่เจ...ก็พร่ำสอนคนนั้นบ้าง คนนี้บ้าง ไม่ได้หมายความว่าพี่เจ...มีการดำเนินชีวิตที่แตกต่างไปจากคนอื่น ไม่ใช่ เพียงแต่ดูแล้ว รู้สึกว่าเรามีความสุข กับสิ่งที่เราทำอยู่ ปัญหาก็มีมากระทบบ้าง แต่ก็สามารถควบคุมสถาณ์การต่างๆไปได้ด้วยดี

และในขณะเดียวกัน พี่เจ...ก็เห็นน้องๆหลายคน ที่ดูๆแล้ว เราอยากช่วยเหลือ ช่วยสอนในเรื่องของการดำรงชีวิต อยู่กับความเป็นจริง เป็นปัจจุบัน ไม่วิ่งเต้นไปตามสิ่งต่างๆที่ดูๆแล้วกันเป็นภาพลวงตา เป็นความสุขแค่ชั่ววูบ เป็นความสุขแค่ภายนอก แค่หลอกๆ พี่จอห์นก็เลยอยากจะบอกๆสอนๆน้องๆก็แค่นั้นเอง

ที่ผ่านมามีคนเข้ามาขอคำปรึกษาเรื่องปัญหาต่างๆในชีวิตก็เยอะ พี่เจ...ก็เลยคิดว่า จะเฉียดเวลาอันน้อยนิดมานั่งเขียน blog อันนี้ขึ้นมา เพื่อว่าจะได้เป็นประโยชน์กับคนอื่นบ้าง ไม่มากก็น้อย หรือถ้าไม่มีใครอ่านเลย อย่างน้อยพี่เจ...ก็มีความสุขที่ได้เขียนหละ นี่ไงหละความสุขในชีวิต :)

เนื่องด้วยพี่เจ...อยู่ที่ เมืองวูลลองกอง ประเทศออสเตรเลีย(Wollongong, Australia)เนื้อหาและ setting ก็จะได้กลิ่นไอเมืองนอกนิดหนึ่ง ใครอ่านแล้วก็ประยุกต์ให้เข้ากับชีวิตของแต่ละคนก็แล้วกัน