Wednesday, December 15, 2010

น้องแหล จิ...จิ...จิ...

ก็ในเมื่อเรามีน้องตอ เราก็ต้องมีน้องแหล เป็นเรื่องธรรมดา เมื่อเราเอ่ยถึงน้องตอไปแล้ว งั้นวันนี้ขอเอ่ยถึงน้องนิดหนึงก็แล้วกัน เดี๋ยวเค๊าจะเสียใจ จิ...จิ...จิ...

ณ กาลครั้งหนึ่ง น้องแหลของเราก็เป็นเพื่อนซี้ของน้องตอนี่แหละ แต่ด้วยความที่ว่า ตอกันไป แหลกันมา มันก็เลยเห็นไส้ เห็นพุงกันไปหมด น้องแหล ก็เลยขอแยกทางกับน้องตอเป็นการชั่วคราว แต่คิดว่า วัน เดือน ปี ผ่านไป ทั้งน้องตอ และน้องแหล ก็น่าที่นะกลับมาเป็นเพื่อนซี้กันอีกรอบ เพราะทั้งสองคนเป็นกิ้งก่าด้วยกันทั้งคู่ คือเปลี่ยนสีกันได้บ่อย แล้วแต่สถานการณ์ ถึงตอนนั้น เราก็น่าจะสร้างหนังไทยน้ำเน่า เรื่อง "น้องตอ และน้องแหล return" ถึงตอนนั้นเราก็น่าจะแจกยาฆ่ายุงกัน เพราะยุงมันคงจะชุมน่าดู

พรรบทมานาน เอาเป็นว่า เข้าเรื่องน้องแหลของเราดีกว่า เดี๋ยวเค๊าจะเสียใจ

น้องแหล ปกติแล้วก็เป็นคนที่ไม่ค่อยมีพิษมีภัยเท่าไหร่ ถ้าเปรียบเทียบกับน้องตอ เพราะน้องแหล ชีวิตของเธอก็ค่อนข้างจะเรื่อยเปื่อยอยู่แล้ว เธอก็แหลไป แหลมา ไม่ค่อยมีจุดหมายอะไรกับชาวบ้านเค๊าสักเท่าไหร่ แต่ละวันก็หายใจทิ้งไปวันๆ เพราะว่าชีวิตไม่มีอะไรที่ต้องเดือดร้อนสะเท่าไหร่

เอาเป็นว่าชีวิตน้องแหลหนะ ออกแนวชิวๆก็แล้วกัน เธอก็จะชิวไป แล้วก็ชิวมา หาสาระอะไรในชีวิตไม่ค่อยได้สักเท่าไหร่

น้องแหล เธอก็แหลสมชื่อ เธอก็จะสามารถลื่นไหลไปได้เรื่อยๆ ปลาไหลยังอาย เอางี้ดีกว่า น้องแหล สามารถเอาตัวรอดได้แทบทุกสถานการณ์ เพราะเธอหนะแหลได้สมชื่อจริงๆ คือชีวิตนี้เกิดมาเพื่อการแหลโดยตรง...oops!!!

วัน คืน ผ่านไป ถึงแม้ว่าอายุและวัยที่มันก็มากไปตามกาลเวลา น้องแหลก็ยังสามารถผดุงอุดมการณ์ในการแหลของเธอได้ไม่เคยเปลี่ยน เคยแหลยังไง กี่ปีผ่านไปความแหลก็ยังคงเดิม ไม่เคยเปลี่ยน โอ้ พระแม่เจ้า เธอช่างมีความสามารถพิเศษเฉพาะตัวจริงๆ เก่งแต่เรื่องแหลๆ ถ้าเก่งเรื่องอื่นๆด้วย อะไรหลายๆอย่างในชีวิตก็น่าจะดีกว่านี้

แต่ถึงยังไงเสีย น้องแหล ก็ยังดีกว่าน้องตอ อยู่บ้างเล็กน้อยที่เธอไม่ค่อยทำความเดือดร้อนให้ชาวบ้านสักเท่าไหร่ ชีวิตเธอก็สนุกไปวันๆ แหลไป แหลมา เก็บ เลี้ยง ไว้ดูเล่น ก็ดีเหมือนกัน

Wednesday, December 8, 2010

น้องตอ จุ๊.... จุ๊.... จุ๊....

วันนี้พี่ J มีนิทานจะเล่าให้ฟัง ฉะเอิ่งเอิงเอย

กาลครั้งยังไม่นานเท่าไหร่ มีน้องตอคนหนึ่ง เธอพูดจาอ่อนหวาน ก้นเปรี้ยวหรือเปล่าไม่รู้นะ ลองไปชิมกันเอาเองก็แล้วกัน รู้แล้วมาบอกพี่ J ด้วย

เอ๊า เข้าเรื่องของน้องตอกันต่อ นอกจากเธอจะพูดจาอ่อนหวานแล้ว เธอก็ยังแอ๊บแป๊ว ทำตัวเป็นเด็กไร้เดียงสา บางทีเราก็เดาไม่ออกว่า โง่จริง หรือแกล้งโง่ แต่อะไรก็ตามแต่ น้องตอเธอขอแอ๊บแป๊วไว้ก่อน เอาเป็นว่า น่ารัก ไร้เดียงสาไว้ก่อน บางทีเธอก็ลืมไปเลยว่า เธอหนะเกินวัยแอ๊บแป๊วไปนานแล้ว จุ๊.... จุ๊.... จุ๊...

ที่น่าสมเภทที่สุดก็คือ น้องตอ จะตอไปเรื่อยเปี่อย สร้างภาพไปเรื่อยว่าเธอ innocent แต่หารู้ไม่ว่า จริงๆแล้วเจนโลก และโชกโชนมาหลายรูปแบบ แบบใหนเหรอ จุ๊.... จุ๊.... ไม่บอก

พอคนเริ่มรู้ธาติแท้ของเธอ น้องตอก็หลบหน้าหายไปพักหนึง จู่ๆเธอก็โผล่เข้ามาในชีวิตอีกครั้ง ตอไปว่า อุ๊ย เดินผ่านมาทางนี้ เลยแวะมาหา เออ แปลกเน๊อ แล้วที่ผ่านๆมา มันไม่เคยเดินผ่านมาทางนี้เลยเหรอวะ คนแบบนี้ก็มีด้วย กรวดน้ำค่ำขัน เราพบกันชาติเดียวนะน้อง จุ๊.... จุ๊.... จุ๊....

เอ๊ะ แล้วคนที่อ่านอยู่ตอนเนี๊ยะ หนูชื่อน้องตอหรือเปล่าเนี๊ยะ... จุ๊.... จุ๊.... จุ๊....

Monday, December 6, 2010

ชินชา

เคยรู้สึกเบื่อบ้างมั๊ย เคยรู้สึกเซ็งบ้างมั๊ย มีอะไรหลายอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต แล้วมันทำให้เรารู้สึก numb และชินชา บ้างมั๊ย ถ้าใครที่มีความรู้สึกอย่างนั้นหละก็ Welcome to my world เพราะว่าตอนนี้ มีความรู้สึกอย่างนี้อยู่ อย่างแรง

หลายอย่างที่เป็นอยู่ หลายอย่างที่ผ่านเข้ามา มันทำให้เรารู้สึกชินชา กับสิ่งที่เป็นอยู่ มันทำให้เราเบื่อ หน่าย และเซ็ง หลายๆสิ่งหลายๆอย่างที่บางทีเราทำไป พร่ำพูดไป มีหลายๆอย่างที่เราต้องการทำ ต้องการปรับปรุง ต้องการ improve แต่ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา เพราะถ้าเราเป็นคนบอก เป็นคนพร่ำพูด เป็นคนเสนอ แต่ไม่มีคนสนอง หรือคน ที่บางทีก็สนองแค่ผิวๆเผินๆ อีกไม่นาน ทุกอย่างก็จะกลับมาเหมือนเดิม

ชีวิตมันก็เลยเริ่มที่จะชินชา และตายด้านไปความรู้สึกเหล่านี้ 

แต่ถ้าจะมองในอีกมุมมองหนึ่ง มันก็ดีเหมือนกัน มันเริ่มทำให้เราปลง มันเริ่มทำให้เราเลิกที่จะสนใจคนอื่น มันเริ่มที่จะทำให้เราหันมาใส่ใจตัวเองมากขึ้น มามองเข้าไปข้างในของตัวเราเองว่า เราต้องการอะไรในชีวิต มันทำให้เราหันกลับมาดูแล และเอาใจใส่ตัวเราเองมากขึ้น 

ก็ถือสะว่า เราเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสก็แล้วกัน

Sunday, September 26, 2010

สำหรับคนขี้เหงา

เคยรู้สึกหนาวๆ เศร้าๆ เหงาๆ บ้างมั๊ย ไม่ต้องตกใจ ไม่ต้องแปลกใจ เพราะของบางอย่าง หรือใครบางคน บางทีก็งดงามเกิน ไม่มีใครเอื้อมถึง ก็เลยต้องหนาว ทนเหงาไปพลางๆก่อน

ของที่ดี ของที่มีค่า จะได้ใครมาเป็นเพื่อนคู่ใจ ก็ต้องเลือกกันนิดหนึ่ง จับๆมาสุ่มสี่สุ่มห้า ก็คงไม่ไหว แต่ถ้ามันหาใครเลย ไม่ได้จริงๆ พี่ J ว่าอยู่คนเดียวอย่างมีคุณค่าหนะดีที่สุดแล้ว

ของดี ของมีค่า ก็ต้องเลือกกันนิดหนึ่ง อาการเหงา อาการเศร้า มันเป็นอารมณ์แค่ชั่ววูบ เหมือนลมแผ่ว ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป

ของแบบนี้ไม้ต้องรีบนะ เด็กๆ


Saturday, September 11, 2010

พึงพอใจในสิ่งที่เรามี

เราเคยกันมั่งมั๊ยเอ่ย ที่มองไม่เห็นค่ากับหลายๆสิ่งที่อยู่รอบๆตัวเรา
หลายๆคน คิดว่าทุกอย่างได้มาง่ายๆ ของบางอย่าง เราเห็นอยู่ทุกวัน อยู่ข้างๆรอบตัวเรา เราจะไม่มองเห็นค่าเท่าไหร่นัก

พี่ J ตอนนี้นั่งเขียน blog อยู่ที่ เมืองรอบนอกของ Queensland แบบว่า Internet ที่นี่ช้ามาก สัญญาญโทรศัพท์มือถือ ก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ กะขับรถไปเที่ยวชมวิวสะหน่อย ปรากฏว่าสัญญาญโทรศัพท์ก็ไม่มี ที่ใหนที่ไม่มีสัญญาญโทรศัพท์เราก็ไม่อยากไป เพราะกลัวว่าถ้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมา แล้วติดต่อใครไม่ได้ เราก็ไม่อยากเสี่ยง

การมาครั้งนี้ พี่ J ก็เลยต้องพก SIM card โทรศัพท์มือถือของบริษัทที่สัญญาญเค๊าดีๆมาด้วย กันเหนียว ว่างั้นเถอะ

ส่วน mobile broadband Internet 3G ที่เคยใช้อยู่ที่บ้าน ที่เสียบปุ๊บ ก็วิ่งปึ๊ดวิ่งปึ๊ดเนี๊ยะ มาอยู่ที่นี่ กลายเป็นแค่ 2G เอง เราก็คิดในใจว่า เออ คนแถวนี้เค๊าอยู่กันยังไงนะ เป็นเรานะ Internet ต้องเร็วปึ๊ด มือถือต้องเช็ค email ได้ อะไรประมาณเนี๊ยะ มันก็เลยทำให้เรารู้ว่า เออ ชีวิตเรา และสิ่งที่เรามีอยู่ในชีวิตประจำวันเนี๊ยะ มันดีกว่าคนแถวๆนี้เยอะเลยนะ

Australia ต่อให้ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วก็เถอะ แต่เมืองรอบนอก หรือ regional areas ก็ล้าหลังกว่าเมืองใหญ่ๆเยอะเลยแหละ ดังนั้นพวกเราที่อยู่ที่ Wollongong หรือหัวเมืองใหญ่ ก็ควรที่จะพึงพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีสะ

Saturday, September 4, 2010

ก็เพราะปัญหามีไว้ให้เราแก้

เคยเหนื่อย เคยท้อกับปัญหาต่างๆที่มันผ่านเข้ามาในชีวิตประจำวันบ้างมั๊ย
หลายอย่างๆ ไม่ว่าเรื่องการงาน หรือการดำเนินชีวิตทั่วๆไป บางครั้ง หรือหลายๆครั้ง ที่มันไม่ได้เป็นไปตามที่เราวางแผน หรือคาดหวังเอาไว้

เหนื่อยได้ แต่อย่าเพิ่งท้อนะ

มีบ่อยครั้งเหลือเกินที่งานของพี่ J ประดังสุมเข้ามาทีเดียวพร้อมกันหลายๆงาน ปัญหาและรูปแบบของงาน และ case ต่างๆที่ทำให้ลูกค้า แตกต่างกันออกไป บอกได้เลยว่าเหนื่อย เพราะเราก็มีธุรกิจและการงานหลายอย่างที่ต้องรับผิดชอบ

ปัญหาและการงานที่มันสุมๆเข้ามาทีเดียวพร้อมกัน ก็เล่นเอาเราเหนื่อยได้เหมือนกัน แต่ถ้าได้นั่งทำงานไป ทีละ case ทีละ case สุดท้ายแล้วมันก็ทำได้สำเร็จ พอผลงานออกมา เป็นที่น่าภาคภูมิใจ เราดีใจ เรา happy ลูกค้า happy เราก็พอใจแล้ว

เหนื่อยมากๆ นั่งหลับตาสักพัก เหยียดขายาวๆที่โซฟา เดี๋ยวก็หายเหนื่อย เหนื่อยหนะ เหนื่อยนะ แต่เราไม่เคยท้อ เพราะงานที่เลือกทำ ทุกงาน ทุกชิ้น เป็นงานที่เราเลือกเอง เป็นงานที่เราอยากทำ ไม่มีงานใหนเลยที่เราฝืนๆทำ เพราะถ้าเราไม่ชอบ เราก็คงไม่ทำ อะนะ ปรัชญาง่ายๆ เพราะงานที่ทำอยู่ทุกวันนี้ ไม่มีใครมาบังคับให้เราอยู่แล้ว เราเลือกที่จะทำเอง

วันนี้ใครเหนื่อย หยุดพัก เมื่อหายเหนื่อยแล้ว ก็จงเดินหน้าสู้กันต่อไป
Stop, Revise, Survive.... นะคร๊าบบบบบบ

Friday, August 6, 2010

ก็เพราะชีวิตมันคือการแข่งขัน

เคยเหนื่อยมั๊ย เคยท้อบ้างมั๊ย

พี่ J เคยมีความรู้สึกแบบนี้ เป็นช่วงๆ แว๊บๆเข้ามาในหัวสมองบ้างเป็นบางครั้ง แต่สุดท้ายแล้วเราก็ต้องแหงนหน้าขึ้นฟ้า แล้วก็สู้ชีวิตกันต่อไป จะทำอะไรในชิวิตนี้รู้สึกว่ามันจะมีการแข่งขันกันเยอะแยะมากมายเต็มไปหมด โลกใบนี้ทำไมมันถึงเต็มไปด้วยการแก่งแย่ง แข่งขัน กันยังเลยนะ มีความรู้สึกเลยว่า เนี๊ยะมัน part of the game, part of life เลยจริงๆ

ถ้าคิดจะหลีกเลี่ยงการแข่งขัน การแก่งแย่ง ชิงดีชิงเด่น ก็คงโน่นแหละ หนีไปอยู่ป่า ไปอยู่เขา ซึ่งหวังว่าสักวันเราคงได้มีโอกาสหลบหนีความวุ่นวาย ไปใช้ชิวิตแบบนั้นมั่ง แต่ไปอยู่แบบกระเป๋าแห้งๆ เราก็คงไม่ไปหรอก งั้นตอนนี้ขออยู่เพื่อต่อสู้ชิวิต และอยู่ในวงจักรของการดำเนินชิวิต ทำธุรกิจ และแข่งขันกันต่อไป

ชีวิต และธุรกิจคือการแข่งขัน แข่งขันกับใครเรามั่นใจว่าแข่งได้ แต่ไอ้การที่ต้องมาทำการแข่งขันกับคนที่เรารู้จักมักจี่กันเนี๊ยะ บอกได้เลยว่าแสลงใจ เกิดมาในชิวิต เราจะคิด จะทำอะไร เกรงใจคนรอบข้างเสมอ (มิน่าหละ ถึงมีแต่คนเค๊าเอารัดเอาเปรียบ) ไม่เคยคิดที่จะไปแข่งขัน หรือชิงดีชิงเด่น หรือสร้างความหมางใจกับคนที่เรารู้จักเลย ไอ้คนที่เราไม่รู้จัก เราก็จะบอกว่า "ช่างแมร่ง" แต่คนที่เรารู้จักเนี๊ยะ รับรองเราไม่ไปทำเค๊าแน่นอน

แต่ทำไมนะคนๆอื่นไม่คิดแบบเรามั่ง ทุกคนก็จะบอกว่าธุรกิจก็คือธุรกิจ ความเป็นเพื่อนก็อยู่ส่วนความเป็นเพื่อน จริงๆมันก็ใช่หนะนะ แต่ถ้าต้องมาทำธุรกิจแข่งขันกันเองแล้ว คิดเหรอว่าความสัมพันธ์จะยังคงเหมือนเดิม มันต้องมีอะไรที่ corner of หัวใจมั่งแหละ บอกว่า เฮ้ย ไม่ใช่หละ เราคงจะมาทำตัวเหมือนเดิมก็คงลำบาก ทำหนะทำได้ แต่ก็คงต้องแค่ผิวเผิน จะอะไรลึกซึ้งมากไปกว่านั้น คงไม่ใช่แล้วหละ

ไม่เชื่อหรอกว่า Coles จะรัก Woolworths ได้ และก็ไม่ใช่เชื่อว่า Caltex จะรัก Shell ได้ และก็ไม่เชื่อหรอกว่า Pepsi จะมารัก Coke ได้ลงคอ ถ้าจะรักกัน ก็คงฝืดๆ เฝื่อน ลองเอา Pepsi ผสม Coke ดูสิ

ขนาดจะมีชิวิตอยู่บนโลกใบนี้ ก็ยังต้องไปแย่งอากาศคนอื่นหายใจเลย จะเอาอะไรมากมายกับโลกใบนี้

Saturday, July 17, 2010

ความรวย กับ ความสุข

หลายๆคนคิดว่า ความรวยจะมาคู่กับความสุข แต่ถ้าได้มีเวลานั่งพิจารณาดูแล้ว ก็รู้ว่า จริงๆแล้วความสุขนี้มันอยู่ที่ใจของเราจริงๆ อยู่ที่ตัวเราว่าเราจะทำตัวให้เรามีความสุขได้อย่างไร ความสุขนั้นอยู่ไม่ไกล เพียงแต่เราต้องมองหาให้เจอ เพราะความสุขจริงๆนั้นอยู่รอบๆข้างเรานี่แหละ ไม่ต้องมองหาไปใหนไกล ความสุขในชีวิตนั้นสามารถสร้างขึ้นเองได้ไม่ยาก

ความรวยไม่ได้มาคู่กับความสุขเสมอไป ความรวยหมายถึงการมีเงินทองเยอะๆ อยากซื้ออะไรก็สามารถซื้อได้ เงินก็สามารถสนองตัญหาได้แค่ชั่วครู่ แต่ยืนยาวมั๊ย พี่ J คิดว่าไม่นะ มองดูหลายๆคนที่อยู่รอบข้างเราสิ คนที่มีตังค์เยอะ เค๊ามีความสุขที่แท้จริงหรือเปล่า หลายๆคนดิ้นรนหาเพิ่ม หาเพิ่ม เพราะไม่รู้จักพอ หลายคน die young ไม่มีโอกาสได้ใช้เงินที่ตัวเองหามาตลอดชีวิต ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับคนใกล้ตัวเรา แล้วเราก็จะรู้สึกถึง impact ต่างๆ อย่างแท้จริง บางคน ยังไม่เคยเจอเหตุการณ์อะไรแบบนี้ หรือบางคนก็เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้กับคนรอบข้าง แต่ไม่เคยสังเกตุ ไม่เคย reflect ก็คงมองไม่เห็น คิดไม่เป็น คิดไม่ออก ว่าจริงๆแล้ว ความสุขคือการมีชิตอยู่วันนี้ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพราะเราไม่รู้ว่า พรุ่งนี้จะมาถึงมั๊ย เงินทองมีแค่พอใช้ และไม่เป็นหนี้ ก็ถือว่ารวยแล้วหละ ไม่ขัดสนมาก ก็ถือว่าโอเคแล้ว

แต่ก็ไม่ได้ความว่าพี่ J แนะนำให้เรางอมือ งอเท้า ไม่ทำมาหากินนะ เพราะถ้าทุกคนรู้จักพี่ J จะรู้ว่าพี่ J ไม่ใช่คนแบบนั้นแน่นอน พี่ J เองทำงานเยอะ แต่ก็รุ็จักพอ รู้จักพักผ่อน และ enjoy life ให้จำไว้เสมอว่า work life balance นั้นสำคัญ ถ้าเรา balance ชีวิตเราได้ ก็ถือว่า ชีวิตมีความสุขแล้วหละ

พี่ J ก็หวังว่าให้น้องๆทุกคน รู้จักคำว่า "พอ" แต่ไม่ขี้เกียจ หาได้พอกินพอใช้ มีเหลือก็เก็บสะสมไว้ใช้ภายภาคหน้า มีเหลือก็เผื่อแผ่กับคนรอบข้าง แบ่งปันให้ผู้มีอุปการคุณ พ่อ แม่ และพี่น้อง แค่นี้ ถ้าทำได้แค่นี้ น้องๆก็ถือว่า "รวย" แล้วหละ ให้จำไว้เสมอว่า เรามาแต่ตัว เราก็ไปแต่ตัวนะ ตอนตายไปหนะ เอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง อย่าสร้างหนี้ให้คนข้างหลังเค๊าลำบากก็พอแล้ว

Thursday, July 15, 2010

รู้หน้า ไม่รู้ใจ

ช่วงนี้เป็นอะไรไม่รู้ รู้สึกว่า inspiration ในการเขียนจะออกมาในแนวแปลกๆ เพราะสังคมที่เราอยู่กันทุกวันนี้ มันเป็นสังคมแปลกๆ สังคมแคบๆ โดยเฉพาะคนไทยที่อยู่แถวๆ Wollongong เดินไปเดินมา ก็ชนกันแล้วหละ คนไทย เรื่องของคนนั้น เรื่องของคนนี้ ก็จะรู้จักกันทั่วไปหมดเลย ดังนั้น ใครพูดอะไรออกไป ให้ระวังไว้ให้ดีเหลือเกิน อยู่กับปัจจุบัน อยู่กับตัวเอง สบายใจที่สุด

ล่าสุด พี่ J ก็ได้มีโอกาสไปเจอ พี่คนไทย/ลาว คนหนึ่ง ที่เคยรู้สึกกันมานาน เกือบๆ 10 ปี ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันอยู่ แต่ด้วยความที่ว่า โลกนี้มันคงแคบจริงๆ จู่ๆเราก็มาเจอกันอีก หลังจากที่ห่างหายกันไปหลายปี ก็เคยได้ยินแต่ข่าวแปลกๆของแก พอมาเจอกันคราวนี้ แกก็มีข่าวคราวมาเล่าให้ฟัง โดยที่ทั้งๆที่เราไม่อยากฟัง เพราะเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ด้วยมารยาทอันงดงามที่ติดตัวพี่ J มาตั้งแต่เกิด (ขอหยอดนิดหนึ่ง) เราก็เลยทนๆนั่งฟังแกไป ยิ่งแกพูดออกมามากๆ เราก็ยิ่งรู้ว่าแกเป็นคนยังไง

คนเรานะตอนที่เค๊ารัก ชอบ พอ อยู่กับใครหละก็ ทุกอย่างดูดีไปหมด เหมือนพี่คนนี้ที่สนิทกับใครคนหนึ่ง และก็ทำงานด้วยกันกับใครคนนั้น เอาเป็นว่าใครนั้นเป็นนายจ้างก็แล้วกัน ตอนที่รักกัน สนิทกัน ทุกอย่างดูดี สวยงาม หวานแหวว กล่าวถึงกันแต่ละครั้ง ฟังดูดีไปหมด แต่มาวันนี้ทุกอย่างดูเปลี่ยนไป เพราะพี่คนนี้ตอนนี้จะมาเปิดทำธุรกิจตัวเดียวกัน เหมือนกับคนคนนั้น และอยู่ใกล้กันด้วย ตอนนี้พอเวลาเค๊าพูดถึงอีกฝ่ายหนึ่งเหรอ จากแต่ก่อนที่มีแต่สิ่งดี หวานๆ ตอนนี้ กลายเป็นเทสาดเทเสียกันไปหมด ฟังดูแล้ว ก็เหม็นๆ เน่าๆ ยังไงไม่รู้ เราฟังแบบก็ได้แต่ทำเป็นหูทวนลม

เนื่องด้วยว่าเราไม่รู้เรื่องอะไรเลย เพราะขาดการติดต่อกันมาหลายปี พอมาได้ยิน ได้เจอ แบบนี้ ก็รู้สึกว่า เออ คนเราก็แปลกนะ เปลี่ยนกันไปได้ขนาดนี้ จากที่เคยรักกัน ตอนนี้กลายเป็นอื่นเสียแล้ว จริงๆก็ไม่เกี่ยวกับเราหรอกนะ เพราะเราก็ไม่เคยไปยุ่งเกี่ยวกับใครอยู่แล้ว แต่มาเจอคนประเภทนี้ที่ชอบเทสาดเทเสียใส่คนอื่น จะจริงหรือไม่จริง เราไม่รู้ และก็ไม่อยากรู้ด้วย แต่พอมาได้พบได้เจอ แล้วก็อนาจใจแทน

คนเราเนี๊ยะ มันรู้หน้า ไม่รู้ใจจริงๆ
อันตรายครับอันตราย คนแบบนี้ขอห่างไกล ดีที่สุด

Thursday, July 8, 2010

สุดท้ายแล้ว คนที่สำคํญที่สุดในชิวิตเราคือใคร

หลายๆคนเคยถามคำถามเหล่านี้กับตัวเองบ้างมั๊ยว่า "สุดท้ายแล้ว คนที่สำคัญที่สุดในชีวิตเราคือใคร"

น้องหลายๆคน อาจยังอยู่ในวัยระเริง คงยังไม่ได้เคยถามคำถามแบบนี้กับตัวเอง เพราะตอนนี้กำลังสนุกสนานกับชิวิต และเพื่อนๆ

แต่สำหรับตัวพี่ J เองแล้ว ประสบการณ์หลายๆอย่างในชิวิตมันสอนให้เรารู้ว่า สุดท้ายแล้ว ก็คนที่อยู่ใกล้ตัวเรานี่แหละ สำคัญที่สุด คือทุกคนในครอบครัวครับ อันนี้ก็แล้วแต่ definition ของใครของมันว่า คำว่า "ครอบครัว" นั้น ขอบเขตอยู่ตรงใหน

ส่วนเพื่อนที่สนิทๆ 5-6 คนที่เมืองไทย ก็ถือว่าเป็นเพื่อนรัก มีแค่นี้ก็พอใจแล้ว มีมากปวดหัวมาก แต่ตอนนี้ทุกคนก็ต่างคนต่างมีครอบครัวกันไปหมด เพื่อนที่อยู่ที่ Australia และเพื่อนๆ international รอบโลก ก็มีเยอะแยะ มากมายเหมือนฝูงลิง เพื่อนๆ inter เจอกัน เรียนด้วยกัน และก็แยกย้ายกันไป ติดต่อบ้าง ไม่ติดต่อบ้าง แต่คิดว่าจะเดินทางไปประเทศใหนรับรองมีเพื่อนฝูงมากมายอยู่แล้ว

ส่วนเพื่อนๆที่อยู่ที่นี่ ที่ Australia ก็มีหลายรูปแบบ ส่วนมากจะเป็นรูปแบบที่ว่า เวลาเค๊ามีความสุข เค๊า happy เค๊าก็จะอยู่ของเค๊าดีๆนั่นแหละ ไม่ได้โทรหา หรือถามข่าวคราวอะไรมากมาย แต่เมื่อไหร่ที่เห็นเบอร์โทรเข้ามือถือ นี่คือรู้ได้เลยว่า เค๊าต้องการความช่วยเหลือ ไม่เรื่องนั้น ก็เรื่องนี้หละ ชินชาสะแล้วหละ ซึ่งส่วนมากก็จะเห็นเราเป็นที่ปลดทุกข์น๊อ แต่ เออ ก็ดี เราก็พอทำตัวให้เป็นประโยชน์กับคนนั้นที คนนี้ทีได้บ้าง ดังนั้น ทุกวันนี้ เห็นเบอร์ใครโทรมาก็เฉยๆแล้วหละ รับทันก็รับ ถ้ารับไม่ทันก็เฉยๆ ซึ่งถ้าเป็นสมัยก่อน เมื่อยังละอ่อนอยู่หละก็ ใครโทรมา รับหมดครับ ดึกดื่น เที่ยงคืน คือชอบแก้ปัญหาให้กับชาวบ้านว่างั้นเถอะ อีกแนวหนึ่งคือ หาเหาใส่หัว

ทุกวันนี้ ชิวิต เรียบๆง่ายๆ เลิกหาเหาใส่หัวแล้วจ้า
มีความสุขไปวันๆกับคนที่เรารัก ก็พอแล้ว ชิวิตไม่ต้องการอะไรมากมาย ขอแค่วันนี้มีความสุข และทำวันนี้ให้ดีที่สุดก็พอใจแล้ว เพราะเราก็ไม่แน่ว่า พรุ่งนี้จะมาถึงหรือเปล่า

Wednesday, July 7, 2010

สิ่งเล็กๆน้อยๆที่คนมองข้ามกัน

พี่ J ห่างหายไปจากการเขียน blog ไปพักหนึ่ง เพราะปลีกตัวไปเรียน และงานประจำก็รัดตัว
ตอนเนี้เสร็จการเรียนที่ busy ไปแล้วยกหนึ่ง ก็คงจะกลับมา contribute ให้กับ blog นี้เหมือนเดิม ก็แวะเวียนเข้ามาอ่านได้เรื่อยๆนะครับ

วันนี้ก็ขอเขียนอะไรที่หลายๆคนมองข้ามกัน เพราะคิดกันว่าเป็นสิ่งง่ายๆ เล็กๆน้อยๆ ไม่สำคัญ
นั่นก็คือขับรถผ่าเส้นทึบห้ามเลี้ยว ปกติแล้วถนนที่หน้าบ้านพี่ J จะเป็นเส้นทึบห้ามเลี้ยวขวา คือออกมาจากถนนหน้าบ้าน ก็ต้องเลี้ยวซ้ายอย่างเดียว แต่ปกติทุกคนที่อยู่แถวๆนั้นก็พากันขับรถเลี้ยวขวากันทุกคน เพราะนั่นเป็นทางเข้าเมือง จะไม่มีใคนขับออกซ้ายเพื่อไปกลับรถกลับมากัน เพราะขี้เกียจ และเสียเวลา หรือเอาง่ายๆก็คือมักง่ายกันนั่นแหละ

จนมีอยู่มาวันหนึ่ง พี่ J ขับรถไปส่งลูกที่โรงเรียน และ ลูกก็เริ่มโตแล้ว ลูกก็บอกว่า "Daddy drive illegally" เป็นไงหละครับท่าน อึ้งไปเลย เราเป็นผู้ใหญ่ซึ่งควรจะต้องทำตัวให้เป็นตัวอย่าง เป็น role model ให้กับลูก หลังจากนั้นมานะ พี่ J ก็จะขับรถตามกฏจราจรมากขึ้น อาจไม่ตลอด แต่ถ้าวันใหนมีลูกนั่งข้างหลังมาด้วย ต่อให้เราต้องวนรถ เราก็ต้องทำ เคารพกฏจราจ และทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ลูกๆ แต่ตอนนี้ก็เริ่มแล้วหละ เริ่มติดนิสัยดีๆแล้วหละ วนรถนิดหนึ่งก็ไม่เป็นไร สบายใจและปลอดภัยกว่ากันเยอะเลย ไม่ต้องคอยระวังตำรวจด้วย :)

Sunday, May 9, 2010

ถ้าไม่โกหก ก็ไม่จำเป็นต้องจำว่าพูดอะไรไปบ้าง

คนเรานะ ถ้าไม่เคยโกหก ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปจดจำว่า พูดอะไร กับใคร ไว้ว่ายังไง เพราะอะไรที่เป็นความจริง เราก็จำได้อยู่แล้ว ไม่ต้องไปสิ้นเปลืองเซลล์สมองในการจดจำเรื่องโกหก และเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องด้วย

ก็มีแต่คนที่มีชิวิตที่น่าสงสารเท่านั้นแหละ ที่ต้องโกหก อยู่ในโลกของความหลอกลวง และไม่เป็นจริง

วันนี้เราตื่นแล้ว แล้วท่านหละตื่นหรือยัง

พลัดวันประกันพรุ่ง ดินพอกหางหมู

เคยได้คำๆนี้มาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ละอ่อน วัยขบเผาะ สมัยเรียนประถม/มัธยม และมันก็ดันมาเกิดขึ้นกับเราจริงๆด้วยนะ

เรื่องมีอยู่ว่า พี่ J ตั้งใจเอาไว้ว่าจะเขียน blog เกี่ยวกับเรื่องๆหนึ่ง ก็เลยขึ้นหัวข้อ และก็ save draft เอาไว้ แต่ปรากฏว่า วันนี้จะมาเขียนต่อ มันจำไม่ค่อยได้แล้วว่า จะเขียนอะไรมั่ง รู้แต่ว่าหัวข้อคืออะไร แต่มัน build อารมณ์ไม่ได้แล้วหละ นึกได้ ก็เออ ดี สมน้ำหน้าตัวเอง นี่แหละน๊า เรา ไม่น่าจะผลัดวันประกันพรุ่งเลย

ต่อไปนะ นึกอะไรได้ จะเขียน blog นี้ ทันที เพราะบางทีเราก็มีอะไรเด็ดๆที่อยากจะเขียน อยากจะเล่าสู่กันฟัง แต่ปัญหาคือ มันชอบนึกอะไรได้ตอนที่ขับรถ หรือทำงานนี่แหละ!!!

เหตุการณ์ครั้งนี้ สอนให้รู้ว่า อย่าทำตัวเป็นดินพอกหางหมู และทำอะไรพลัดวันประกันพรุ่งนะจ๊ะเด็กๆ

พี่ J.... sign off นะครับ (for now)

Monday, May 3, 2010

ชีวิตมี ขึ้น ลง

ชิวีตคนเรานั้น ไม่แน่นอน มีขึ้นมีลงอยู่ตลอดเวลา จงอยู่ในความไม่ประมาท ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเนี๊ยะแหละ ไม่ใช่ฟ้าลิขิต ให้จำไว้เสมอว่า ดี ชั่ว อยู่ที่ตัวทำ

เคยเห็นมั๊ย คนที่เคยมีฐานะ ทำธุรกิจประสบผลสำเร็จ และก็คิดเอาง่ายๆว่า ความสำเร็จได้มาง่ายๆ ง่ายนิดเดียว ไม่ต้องทำอะไรมาก เกิดความชล่าใจ ใช้ชิวิตอยู่ด้วยความประมาท ปล่อยปละละเลยหน้าที่การงานและธุรกิจ เมื่อธุรกิจขาดการดูแลเอาใจใส่จากเจ้าของธุรกิจ ก็เปรียบได้เหมือนต้นไม้ที่เจ้าของไม่ค่อยรดน้ำพรวนดิน ต้นไม้ก็ค่อยๆแห้งเหี่ยวเฉาลง ฉันใดก็ฉันนั้น ธุระกิจก็ค่อยๆเริ่มซบถอยลง พนักงานที่ทำงานด้วยก็หมดกำลังใจ แล้วทุกอย่างก็ค่อยร่วงโรย เหมือนใบไม้แห้งที่หล่นลงจากต้น

คนเรานะ ทำอะไร อย่าได้ชะล่าใจ อย่าประมาท ทำทุกสิ่งอย่าง ต้องเสมอต้นเสมอปลาย ทำๆขาดๆหายๆ ไม่ต่อเนื่อง ชีวิตก็จะไม่ต่อเนื่อง จะมีขึ้นๆลงๆ ล่ำๆดอนๆ ตุ๊บๆต่อมๆ ไปอย่างนั้น ถ้าใครตอนนี้ ชีวิตอยู่ช่วงขาขึ้น ชีวิตหน้าที่การงานไปได้ด้วยดี ก็ต้องรักษาระดับ keep momentum นั้นไว้ อย่าให้ชีวิต หรือความสำเร็จลดลง ถ้าสังเกตุเห็นอะไรที่เริ่มคล้อยลงต่ำ หรืออยู่ในช่วงขาลง แนะนำก็รีบจัดแจงเปลี่ยน หรือแก้ไขวิถีการดำเนินชีวิต ปรับปรุงและปรับเปลี่ยนให้ไปในทางที่ดีขั้น

ส่วนใครที่พลาดไปแล้ว หลง ลืมตัว ไปแล้ว ก็ให้คิดใหม่สะ คิดใหม่ ทำใหม่ แก้ตัวใหม่ ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ ก็ยังไม่สายเกินไป

เอ๊า..... ก็แล้วแต่ใครจะคิดได้ก็แล้วกัน ตามมีตามเกิดก็แล้วกันหละงานเนี๊ยะ

Tuesday, April 13, 2010

ดีใจเพราะยังต้องทำงานตอนแก่เนี๊ยะนะ???

ห่างหายจากการเขียน blog ไปพักหนึ่งเพราะรู้สึกว่า plat from ที่ใช้ในการเขียน blog มีปัญหา หรือว่า คอมเราเริ่มช้าก็ไม่รู้นะ

เอาหละเข้าเรื่องของเราเลยก็แล้วกัน

เมื่อเช้าเดินผ่านร้านอาหารเวียดนามแห่งหนึ่ง ไปยืนอ่าน article ที่เค๊าลงหนังสือพิมพ์ เจ้าของร้านอายุ 56 บอกว่าดีใจมากเลยที่ได้เปิดร้านอาหารอีกครั้งหลังที่จากเปิดๆปิดๆมาหลายทีแล้ว พี่ J ก็เกิดคำถามขึ้นในใจว่า อายุ 56 เนี๊ยะนะ บอกว่าดีใจที่ได้เปิดร้านอาหารอีกครั้ง 56 เนี๊ยะ มันน่าจะเตรียมตัว retire และทำอะไรต่อมิอะไรให้กับชีวิตมากกว่า ไม่ใช่มานั่งทำงานแบบนี้

ถ้าเป็นพี่ J, 50 ก็ขอ enjoy life แล้วหละ มานั่งทำงานงกๆอยู่อย่างนั้น คงไม่ใช่ quality of life ที่เราต้องการ สุดท้ายแล้ว มันก็ขึ้นอยู่กับการวางแผนการดำเนินชีวิตของเรานี่เอง ว่าเราต้องการอะไรในชีวิต มีบางคนที่ต้องทำงานตลอดชีวิต ไม่มีเวลาได้ใช้จ่ายเงินที่หามาได้เลย หรือบางคนกะว่า เออ เดี๋ยวทำงานจนอายุ 60 แล้วค่อย retire แต่เคยคิดบ้างมั๊ยว่า ถ้าตายตอนอายุ 59 หละ แสดงว่าชีวิตทั้งชีวิต ก็ทำงานเหนื่อยเปล่าๆ ไม่ได้พักผ่อน ไม่ได่ enjoy life เลย

สำหรับน้องๆทุกคน ได้คาดหวัง หรือวางแผนอะไรกับชีวิตไว้หรือยัง อย่าคิดว่าอนาคตยังอีกไกล plan เมื่อไหร่ก็ได้ บางคนก็คิดไปแบบนี้เรื่อยๆ มารู้ตัวอีกที ก็สายเสียแล้ว แก่สะหละ หรือไม่ก็ตายก่อนที่ไจะด้ พักผ่อน

จะ retire ยังไง จะใช้ชีวิตยังไง plan กันไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ

อย่างพี่ J เอง ทุกวันนี้ก็ดำเนินชีวิต ไปตามที่ plan เอาไว้ toward my retirement แต่จะทำได้มากน้อยขนาดใหน ค่อยว่ากันอีกที อย่างน้อยเราก็มี plan แหละ ไม่ได้ปล่อยชีวิตเคว้งคว้างไปวันๆ

retirement ในมุมมองของพี่ J ไม่ได้หมายความว่า เลิกทำงานไปเลยสะทีเดียว แต่หมายความว่า ทำในสิ่งที่เราชอบ โดยที่ไม่ต้องมานั่งกังวลเรื่องปากท้อง ว่าจะมีกินหรือเปล่า เพราะชีวิตตอนนั้นน่าจะ sustain ตัวเองได้ในระดับหนึ่ง ถ้าทำไม่ได้ ก็ถือว่าชีวิตล้มเหลวแล้วหละ

ชีวิตบั้นปลาย ไม่ต้องมั่งมีมาก เพราะตายไปก็เอาไปไม่ได้ จะหาไว้ให้ลูกให้หลานเหรอ ก็ให้เค๊าหาเองสิ จะไปลำบากตัวเองทำไมเนี๊ยะ หาให้ตัวเอง ทำให้ตัวเองมีความสุขก็พอ มีเหลือ ก็แบ่งปัน แค่นี้ก็พอแล้ว ไม่ต้องทำเผื่อคนอื่นมากมาย ทำเผื่อคนอื่นมาก ก็เป็นการเบียดเบียนตัวเองโดยใช่เหตุ เบียดเบียนตัวเองก็เป็นบาปอีกแบบหนึ่ง (คือว่า คิดเอง เออ เองหนะ) คนอื่นอาจจะมองว่าเป็นการเห็นแก่ตัว ถ้าไม่เห็นแก่ตัว แล้วจะไปเห็นอะไร เผื่อใครหละ อยากรู้บ้างว่า มีใครในโลกนี้ที่ไม่เห็นแก่ตัวเลย อยากรู้ อยากรู้

ที่เขียนไป ไม่ได้เขียนหรือพูดพล่อยๆ หรือคิดเรื่อยเปลื่อยนะ เรา reference ได้ ทุกอย่างมีหลักการ และเป็น academic แน่นอน และก็คิดอ่าน แบบผู้มีปัญญาแล้ว แล้วคุณ ท่านผู้อ่านหละ มีปัญญา แล้วหรือยัง

ชีวิตบั้นปลาย ขอไปปลูกผัก รีดนมไก่ เก็บไข่วัว ก็แล้วกัน ...... จะเอิ๊ก จะเอิ๊ก

Thursday, February 18, 2010

กาลเวลาเปลี่ยน คนก็เปลี่ยน

ในชีวิตคนเราเนี๊ยะ มันไม่มีอะไรที่จีรังยั่งยืนจริงๆนะ คนที่เราคิดว่าสนิท เกรงใจ และผูกพันอะไรอีกหลายๆอย่าง กับคนบางคน คนบางกลุ่ม มันไม่ได้มีความหมายอะไรเลยจริงๆ อยู่นานๆไป อะไรหลายๆอย่างมันทำให้เรารู้ว่า แท้ที่จริงแล้ว มันก็คือภาพลวงตาเราดีนี่เอง ที่ผ่านมามันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย

คนที่เกรงใจกันนะ คนที่สนิทกันนะ พอเอาเข้าจริงๆ เค๊าก็คิดถึงตัวเค๊าก่อนแหละ สมมุติว่าเราทำธุรกิจอย่างหนึ่ง แล้วคนที่เรารู้จัก สนิท และ คุ้นเคย อยู่มาวันหนึ่งมาทำธุรกิจเดียวกันกับเรา เปิดธุรกิจข้างๆ หรือตรงกันข้ามกับเรา เค๊าเคยคิดบ้างมั๊ยนะว่า เค๊าหนะหักหารน้ำใจเราเหรอเกิน เราเข้าใจนะว่าธุรกิจคือการแข่งขัน แต่เราขอแข่งขันกับคนที่เราไม่รู้จักได้มั๊ยหละ น้ำใจคนเรามันก็แค่นี้จริงๆเน๊อ ไม่ได้มีความหมายอะไรเลย เงินนี่มันมาก่อนอะไรทุกอย่างจริงๆเหรอ ถ้าตายไปเมื่อไหร่ ก็อย่าลืมหอบไปให้หมดก็แล้วกัน เงินทองที่หามาได้จากการหักหารน้ำใจคนที่รู้จักกันหนะ

สรุปแล้ว กาลเวลาเปลี่ยน คนเรามันก็เปลี่ยนจริงเลย นี่แหละน๊ามนุษย์ ความจริงใจมีอยู่ที่ใหนกันเนี๊ยะ อยากรู้

Sunday, February 14, 2010

เมื่อผู้ใหญ่ ทำตัวแย่

เคยมีบ้างมั๊ย ที่ผู้ใหญ่ที่เรานับถือ หรือเคารพ จริงๆแล้วเค๊าไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด อย่างที่เราคาดหวัง พอรู้จักกันไปนานๆ ลายเริ่มออก หางเริ่มโพล่ ถ้าเจอผู้ใหญ่หรือคนที่เราเคารพนับถือแบบนี้ ความเคารพ ความนับถือมันก็หายหมดไปแล้วหละ แนะนำเหลือเกินว่าให้หลีกห่างจากบุคคลพวกนี้ เพราะคบหรือรู้จักกันมันก็ไม่ทำให้เกิดประโยชน์อะไรในชีวิตขึ้นมา มีแต่จะฉุดลงต่ำ เพราะผู้ใหญ่บางคนทำตัวได้แย่ และทำตัว หอ สระ เอีย ไม้ตรี ก็เยอะ ยกมือไหว้ ก็เสียดายมือหวะ ขอคืนก็แล้วกันความเคารพความนับถือที่มีให้ และก็ขอกรวดน้ำคว่ำขัน เราพบกันชาติเดียว

ส่วนตัวพี่ J เองก็ไม่ได้ดีอะไรมากมาย ดังนั้นใครๆที่ยกมือไหว้อยู่ทุกวัน หรือรัก เคารพ พี่ J ก็เผื่อใจไว้นิด เผื่อวันใหนดีแตกขึ้นมาก จะได้ไม่เซ็งเป็ด

ที่เอาเรื่องผู้ใหญ่บางคนที่เรานับถือมาเขียน ก็เพราะว่า เคยมีผู้ใหญ่อยู่ 2-3 คนที่เรานับถือ บางคนก็เรียกได้ว่าเป็น idol ของเรามาก่อน (เคยเป็น idol, แต่ตอนนี้ไม่ใช่) เพราะท่านผู้นี้ก็แก่มากแล้ว 60 กว่าๆ เราเจอกันที่วัดแห่งหนึ่ง พี่ J ไปปฏิบัตธรรมที่นั่น 7 วัน เผอิญว่าผู้ใหญ่ท่านนี้ก็ไปทำบุญที่วัดพอดี และวิทยากรที่วัดก็เลยเชิญให้มาพูดคุยกับคนที่มาปฏิบัติธรรม เรารู้สึกว่าเรามี connection กับท่านก็เลยขอเบอร์โทร ก็โทรติดต่อกันเรื่อยมา แต่พอได้รู้จักกันมากขึ้น ได้เจอสมาชิกครอบครัวที่เต็มไปแต่เรื่องวุ่นวาย ครอบครัวที่แตกแยก มองหาความรักความอบอุ่นไม่มี มีแต่ความอิจฉาริษยา ใส่ร้ายกันไปใส่ร้ายกันมา ยิ่งเจาะลึกยิ่งรู้อะไรแปลกๆใหม่ๆ สิ่งที่เราเคยเห็น 30 นาทีตอนที่เค๊ามาที่วัด กับชีวิตจริงๆที่เค๊าเป็น มันช่างแตกต่างกันเหรือเกิน สรุปผู้ใหญ่ท่านนี้เค๊าเป็นอะไรกันแน่ จะเป็นอะไรก็ตามแต่ เราขอปลีกตัวออกห่างก่อนหละ เพราะรู้ได้เลยว่าเรานั้นมันคนละแนว

นอกเหนือจากนี้นะ ยังมีผู้ใหญ่อีกหลายคน ที่ชีวิตเค๊าหาความจริงใจกันไม่ค่อยจะมี วันๆไม่ทำอะไรหรอก นินทาคนโน้นที คนนี้ที พวกนี้ เราก็ขอปลีกตัวออกห่าง อย่าให้คนพวกนี้มาดึงฉุดเราให้ชีวิตต่ำลงอย่างที่พวกเค๊าเป็นอยู่

บางคนเหรอ ก็เห็นแต่แก่ได้ ความจริงใจและความเกรงใจไม่มี ทำอะไรก็จะคิดถึงแต่ตัวเองก่อนเสมอ นี่แหละน๊ามนุษย์เรา ถ้าคนเรารักกันจริง สนิทกันจริง จะคิดจะทำอะไร ต้องไม่เห็นแก่ได้ เห็นแก่เงิน อยากจะรู้ว่าสุดท้ายแล้ว ตายไปเนี๊ยะ จะหอบไปได้มั็ยไอ้เงินทองต่างๆที่ได้มาจากการหักหารน้ำใจคนอื่นเนี๊ยะ ชีวิตนี้คงไม่เจริญหรอกนะ เพราะสุดท้ายแล้ว เราก็ขอปลีกตัวออกห่าง พวกสูเจ้าก็จงอยู่อย่างโดดเดี่ยว จะคบกับใครก็คงไม่มีความจริงใจ อยู่โดดเดี่ยวอย่างนั้นแหละดีแล้ว because your asked for it และคนที่จะคบพวกสูเจ้าได้ ก็คงเป็นประเภทเดียวกันนั่นแหละว๊า

สรุปแล้วอายุนี่มันเป็นเพียงตัวเลขจริงๆ บางคนแก่จะหัวงอกอยู่แล้วยังทำตัวแย่ๆ ห่วยๆ มีอีกเยอะ อายุมันไม่ได้บ่งบองถึงความบรรลุนิติภาะอะไรมากมายเลยนะเนี๊ยะ เห็นแล้วอนาจใจอย่างแรง อย่างจะรู้ว่าบั้นปลายพวกควรเหล่านี้เค๊าจะเป็นยังไง

ถ้าเจะอเจอคนพวกนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่หรือแก่ ก็ขอใส่เกียร์ถอยหลังก็แล้วกันนะ......จะเอิ๊ก จะเอิีก

เออ เขียนๆมาเนี๊ยะ ขี้กากจะกินหัวป๊ะหวะ ลามปามคนแก่ แต่คิดว่าคงไม่นะ เพราะคนแก่ก็ไม่ได่ทำตัวให้ดี ให้เรานับถืออะไรเลย เราก็สระผมทุกวัน คงไม่มีขี้กากขึ้นหัวน่า ฮาาาาาาาาาาาาาาาา อย่างแรง

Saturday, February 13, 2010

ชีวิตที่ต้องมองไปข้างหน้า

เคยบ้างมั๊ย ที่มีความรู้สึกว่าตัวเองหนะจมปักอยู่แต่กับสิ่งเดิมๆ สิ่งเก่าๆ ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็แนะนำให้เงยหน้าขึ้น แล้วมองไปข้างหน้า ให้นึกถึงและวางแผนชีวิตว่าอนาคตมันจะเป็นยังไง อนาคตเราเดาไม่ได้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น แต่นั่นมันเป็นสิ่งที่ท้าทายและน่าค้นหา เราอย่าเอาชีวิตมาจมปักอยู่กับสิ่งเดิมๆเก่าๆ สี่งที่มันผ่านมาแล้ว เราแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่อนาคตสิ เราสามารถวางแผนและดัดแปลงให้เป็นในสิ่งที่เราอยากให้มันเป็นได้

เอาความผิดพลาดในอดีตและปัจจุบันมาเป็นบทเรียน เรียนรู้จากสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต อะไรที่มันผิดพลาดก็อย่าทำผิดอีกเป็นรอบที่ 2 เกิดมาเป็นคนทั้งที อย่าให้เสียชาติเกิด เรียนรู้จากสิ่งที่เกิดขึ้น แก้ไขในสิ่งที่บกพร่อง ถ้าล้มแล้วก็ต้องลุกขึ้นแล้วเดินต่อไปข้างหน้า ชีวิตต้องดำเนินต่อไป อะไรที่ผิดพลาดมาแล้วในอดีต ไม่ต้องไปฟูมฟาย โศกเศร้าเสียใจกับมันมากมาย หายใจลึกๆ แล้วก็สู้ชีวิตกันต่อไป คนเรานะ ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ ก็ไม่ควรท้อแท้หรือสิ้นหวังกับชีวิต เมื่อวานเป็นเรื่องของอดีต แก้ไขอะไรไม่ได้ วันนี้และอนาคต เราสามารถป้องกันผลกระทบต่างๆที่จะเกิดขึ้นกับชีวิตได้ ขอแต่เพียงให้เรียนรู้ที่จะมองและเดินไปข้างหน้าเท่านั้นก็เป็นพอ

อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน แต่ถ้าเราเลิกค้นหา หรือเลิกมองไปข้างหน้า เราก็จะย่ำอยู่กับที่ อยู่ที่เดิมๆ หรือบางคนที่จมปักอยู่แต่กับอดีต ชีวิตเค๊าก็จะไม่มีความเป็นปัจจุบัน เพราะชีวิตเค๊าจะยึดติดอยู่กับแต่เรื่องของเมื่อวาน โอดครวญไปก็เท่านั้น ทำอะไรไม่ได้หรอก ก็คงต้องมีวิธีเดียวแหละ คือเลิกโอดครวญกับเรื่องเก่าๆ เรื่องเดิมๆ เรื่องของอดีต เริ่มต้นใหม่วันนี้ มองไปข้างหน้า มันอาจจะสวยหรู หรือมีขวากหนามก็ตามแต่ แต่มันก็เป็นสิ่งที่น่าค้นขว้าและค้นหาไม่ใช่หรือ

วันนี้เรามาตั้งต้นกันใหม่ มองไปข้างหน้ากันเถอะ มันคงจะต้องมีอะไรที่เราจะได้เจอะเจออีกเยอะ แต่นั่นมันก็เป็น part of life มิใช่หรือ :)  เกิดมาแล้วก็ต้องสู้ แล้วเดินหน้ากันต่อไป

Friday, February 12, 2010

lost identity

ที่นี่ พี่ J สังเกตุน้องๆ เด็กๆคนไทยบางกลุ่ม กลุ่มนี้คือเด็กจริงๆ ส่วนมากอายุก็อยู่ในวัยเรียน high school มีหลายคนเหลือเกินที่มาอยู่ที่นี่ เพราะว่าแม่แต่งงานใหม่กับฝรั่ง พอแม่ย้ายมาอยู่ที่นี่ แม่ก็จะคิดเอาง่ายๆว่า อยากเอาลูกมาอยู่ที่นี่ด้วย เพื่อที่ลูกจะได้มีชีวิตที่ดีขึ้น ลูกจะมีชีวิตที่ดีขึ้นหรือเปล่านั้น เราไม่รู้หรอก แต่เท่าที่สังเกตุดูเด็กๆกลุ่มนี้ก็คือ

  • เด็กๆกลุ่มนี้ ไม่ได้มาจากฐานครอบครัวที่ร่ำรวยอะไรมากมาย ส่วนมากก็เป็นเด็กมาจากต่างจังหวัด ภาษาอังกฤษ ก็ไม่ได้ดีอะไรมากมาย พ่อแม่ก็คงคิดเอาง่ายๆว่า เอามาเรียนที่นี่เดี๋ยวก็ได้ภาษาอังกฤษเอง ถามว่าได้ภาษาอังกฤษมั๊ย ก็คงได้แหละนะ แต่จะเป็นภาษาพูดมากกว่า คือเอาเป็นว่า พูดจา สื่อสารรู้เรื่อง แต่จะให้เขียนหรืออ่านในห้องเรียนเนี๊ยะ ก็คงจะไม่ได้ดีเท่าที่ควร
  • เมื่อเด็กๆมีปัญหาในเรื่องของภาษา ก็จะทำให้เรียนไม่ทันเพื่อนในห้อง กลายเป็นปมด้อยไป หลายคนพอจบ year 10 (ม.4) ก็เลิกเรียนหนังสือไปเลย ออกมาทำงานล้างจานตามร้านอาหารไทยทั่วๆไป โรงเรียนที่นี่บังคับเรียนถึง year 10 แต่ก็ได้ยินข่าวมาแว่วๆว่า กฏหมายใหม่จะบังคับเรียนถึง year 11
  • บางคนนอกจากจะเรียนในห้องไม่รู้เรื่องแล้ว แถมพุดคุยกับเพื่อนๆในห้องไม่ค่อยรู้เรื่องด้วย สุดท้ายก็คบหาสมาคมกับเพื่อนๆที่เป็นฝรั่งไม่ได้ เค๊าก็จะจับกลุ่มกันเฉพาะเด็กเอเชีย หรือไม่ก็เด็กไทยล้วนๆไปเลย
  • หลายคนที่ drop ออกจากโรงเรียนตอน year 10 ชีวิตเค๊าก็จะลอยไปลยอมา ดูไร้จุดหมาย วันๆก็ไม่รู้จะทำอะไร เดินเล่นไปเรื่อยเปื่อย งานก็ใช่ว่าจะได้มีทำกันทุกวันไปสะทุกคน
เห็นแล้วก็หดหู่ใจ สรุปแล้ว นี่มันกลายเป็น พ่อแม่รังแกฉัน หรือเปล่า เพราะถ้าเด็กเหล่านี้ยังอยู่ที่เมืองไทย อาจจะอยู่กับพ่อหรือใครก็ตามแต่ เค๊าก็อาจจะได้มีโอกาสเรียนหนังสือไปเรื่อยๆ อาจจะไม่ drop เรียนออกมาก็ได้ แต่มันก็เป็นแค่อาจหละนะ เพราะมันต้องมีปัจจัยอะไรต่อมิอะไรอีกหลายอย่าง

ดูๆไปแล้วเด็กกลุ่มนี้ ถึงแม้จะอยู่เป็นคน local ที่นี่ ก็ดูเหมือนจะ lost identity ของตัวเอง จะทำตัวเป็นเหมือนเด็กออสซี่ทั่วๆไปก็ไม่ใช่ จะทำตัวเป็นเด็กไทย หรื๊อก็ไม่ใช่อีก เออ สงสัยจะเป็น lost identity จริงๆ

เห็นแล้วก็กลุ้มใจแทน

ช่วงนี้น้อง J. Jr เปิดเรียนแล้ว พี่ J ก็คอยเทียวรับเทียวส่ง ไปโรงเรียน โรงเรียนที่นี่เลิกบ่าย 3 ซึ่งเราก็ต้องคอยไปรับ ปกติแล้วเราก็จะสังเกตุคนที่มารับลูกนะ ว่าแต่ละคนเป็นยังไงบ้าง กิริยาท่าทางเป็นยังไง การแต่งตัวเป็นยังไง เพราะโดยนิสัยส่วนตัวแล้วชอบเรียนรู้การใช้ชีวิตของคน เราก็สังเกตุเห็นผู้ชายคนหนึ่งแหละ ไม่รู้ว่ามารับลูกหรือรับหลาน เพราะดูเค๊าก็ดูมีอายุนิดหนึ่ง ดูๆแล้วน่าจะประมาณ 50 ที่นี่สังเกตุอายุฝรั่งยาก เพราะฝรั่งโดยส่วนใหญ่แล้ว แก่เร็ว หรือบางคนก็มีลูกช้ามาก บางคนมีลูกกันตอนประมาณ 40

ส่วนผู้ชายคนนี้ เค๊ามีอะไรน่าสนใจเหรอ คือเค๊าออกจะเซอร์ๆ hippy นิดๆ ไว้ผมยาว ขนาดแก่สะขนาดนั้นนะ และที่สำคัญคือ ช่วงหน้าร้อนเค๊าจะใส่เสื้อกล้ามสีดำ รู้สึกว่าทุกครั้งที่เจอ เค๊าก็ใส่ชุดนี้ กางเกงตัวนี้ เสื้อกล้ามตัวนี้ ชุดนี้เห็นบ่อยมาก ใส่ซ้ำกันหลายวันหรือเปล่าเราไม่รู้นะ เพราะไม่เกี่ยวกับเราอยู่แล้ว

ปกติเราก็ไม่ได้สนใจอะไรมากมาย เพราะต่างคนก็ต่างยืนรอลูกใครลูกมัน หรือว่าหลานใครหลานมันก็ว่าได้ แต่คราวนี้ เราไม่อยากเกี่ยวก็ต้องเกี่ยวแหละครับ เพราะเมื่อวันพุธที่ผ่านมา เมื่อเกี๊ยะ 2 วัน เค๊ามานั่งข้างๆเรา เค๊ามาไสตล์เดิมๆครับท่าน คือกางเกงยีนส์สีดำ เสื้อกล้ามสีดำ ผอมๆ พอนั่งลงข้างๆเราเท่านั้นแหละ สิ่งที่เราเห็นก็คือ ขนใต้ลักแล้ครับ ยาวเฟื้อยเลย "เห็นแล้วก็กลุ้มใจแทน" จริงๆมันก็ไม่ได้กลิ่นโชยอะไรหรอกนะ แต่ว่ามันเป็นวิวที่ไม่สวยงามเหรอเกิน ไอ้เราก็ไม่ได้อยากไปเห็น ไปมองอะไรหรอกนะ แต่นี่ he แบบว่ามานั่งข้างๆเลย เห็นแล้วก็ วัยรุ่นเซ็งเลยครับงานเนี๊ยะ ขนลักแล้ยาวๆ เปียกๆแฉะๆ อยากจะลุกไปนั่งที่อื่นแต่ก้ไม่กล้า เพราะกลัวเสียมารยาท เดี๋ยวหาว่าเรารังเกียจเค๊า

อยากจะรู้เหลือเกินว่า ทำไมนะคนเราเนี๊ยะ จะก้าวขาออกจากบ้านทั้งที จะไม่ลองดูการแต่งตัวของตัวเองหน่อยเลยเหรอ กระจกที่บ้านเนี๊ยะ มีให้ส่องหรือเปล่าเนี๊ยะ สงสัยอย่างแรง ยังไงก็เกรงใจสายตาคนอื่นนิดหนึ่ง สงสารคนรอบข้างเถอะหนะ ยิ่งช่วงนี้หน้าร้อน เดินมาเหงื่อเยอะๆเนี๊ยะ ขนลักแล้ยาวๆเปียกๆเนี๊ยะ ช่างเป็นภาพที่ไม่สวยงามเลย

ก็ได้แต่หวังว่าน้องๆหนูๆทั้งหลายแถวนี้ ไม่เอาเป็นเยี่ยงอย่างนะ ไม่ดีครับ ไม่งามหูงามตาเป็นอย่างยิ่ง ไม่แนะนำ จะก้าวขาออกจากบ้านหนะ แต่งตัวให้ดูดีงามหูงามตานิดหนึ่ง อย่าซกมกจะจน แบบว่าโลกเบี้ยว อะไรแบบเนี๊ยะ ไม่แนะนำเป็นอย่างยิ่ง

อยากทำอะไรเพื่อตัวเองมั่ง

หลายครั้งเหลือเกินที่เราทำโน่นทำนี่เพื่อคนอื่นมาโดยตลอด น้อยครั้งมากเลยที่จะได้ทำอะไรให้กับตัวเองสะที

สมัยก่อนตอนที่ทำงานบริษัท เราก็ไม่อะไรมากมายกับคนอื่นนะ นอกจากคนในครอบครัว แต่ตอนนี้สิ เราทำธุรกิจ เป็นเจ้าของกิจการ ชิวิตหลายๆคนขึ้นอยู่กับเรา เราทำอะไรหลายๆอย่างเพื่อพวกเค๊าเหล่านั้น แต่ เราลืมทำอะไรเพื่อตัวเองหรือเปล่าเนี๊ยะ ดูๆไปแล้ว ทำใมนะ รู้สึกว่าชีวิตทั้งชีวิตนี้ เราเป็นผู้ให้มาโดยตลอดเลย ใครที่มีปัญหา ต้องการความช่วยเหลือ ก็วิ่งแห่มาขอความช่วยเหลือทันที พอหมดธุระเหรอ เค๊าก็สะบัดตูดหนีแล้วหละ ปลง และชินชาเสียแล้วหละ

จริงเหรอ ที่ต้นไม้ใหญ่ต้องเป็นที่พักพิงของนกน้อยทั้งหลายแหล่ แล้วใครหละจะมาดูแลต้นไม้ใหญ่ คงเป็นหมาที่มาอึและฉี่ทิ้งเอาไว้ให้เป็นปุ๋ยเหรอ (เออ ดีนะเนี๊ยะ คิดอะไรได้ ณ ตอนนี้ ก็เขียนออกไปอย่างนั้น) ตอนนี้ก็เขียนไป หัวเราะไป มีความสุข เออ สรุป เราคงจะมีความสุขเพราะอึหมาหละมั๊ง แต่มองไปรอบๆ ก็แทบจะไม่เห็นหมาตัวใหนมันมาอึหรือฉี่ให้เป็นปุ๋ยเลย

ทำอะไรเพื่อคนอื่นมาเยอะแยะแล้ว อยากทำอะไรเพื่อตัวเองมั่ง อยากคิดถึงตัวเองก่อนมั่งจะได้มั๊ย
ต่อแต่นี้ไป ขอดูแลตัวเองก่อนก็แล้วกัน เพราะสุดท้ายแล้ว ถ้าเราไม่ดูแลตัวเองก่อน เราก็คงไม่มีกำลังไปดูแลใครเค๊าได้หรอก พอแล้วกับการเบียดเบียนตัวเอง บางทีก็เบียดเบียนตัวเองเพราะความสงสาร เพราะความใจอ่อน สรุปแล้ว เค๊าเห็นความดีของเราหรือเปล่ายังไม่รู้เลย แต่ก็อย่างว่าแหละ ภาษิตโบราณกล่าวเอาไว้ว่า "หว่านพืช อย่าหวังผล" เราก็ไม่ได้หวังผลอะไรหรอกนะ แต่รู้สึกว่าหว่านพืชไปเยอะเหลือเกิน ต่อไป คงไม่ขอหว่านแล้วหละ จะเอาเมล็ดมันมากินเองเลยซะให้สะใจ จะได้ไม่ต้องหว่านอีกต่อไป เบื่อแล้ว พอแล้ว พอที

อำนวยความสะดวกให้กับชีวิตคนอื่นมามากพอแล้ว ตอนนี้คงต้องขออำนวยความสะดวกชีวิตให้กับตัวเองมั่งแล้วหละ

Tuesday, February 9, 2010

เผื่อใจไว้นิด

หลายคนคงได้ยินมาบ้างแล้วนะ ว่าชีวิตคนเราหนะ ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ซึ่งที่พี่ J เห็นผ่านมา มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ น้องๆทุกคนมาที่นี่ พกพาความหวังของพ่อแม่ และก็ความหวังของตนเอง ถึงแม้ว่าความหวังของแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน บางคนก็มาอยู่ที่นี่ เพื่อแสวงหาชีวิตที่ดีขึ้น ที่ดีกว่าอยู่เมืองไทย หารู้ไม่ว่าชีวิตเมืองนอกที่แต่ละคนคาดหวังเอาไว้นั้น ที่มันสวยๆ หรูๆ ส่วนมากก็มาจากในหนังและละครทั้งนั้นแหละ ถามว่าชิวิตสวยๆหรูๆ ไม่มีอุปสรรคแบบนั้น มันก็มีอยู่จริง แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะประสบหรือเจอะเจอแต่สิ่งที่สวยงาม แต่สิ่งที่สมหวังกันไปหมดสะทุกคน

ดังนั้น จะคิด จะหวัง อะไรก็ตามแต่ แนะนำเหลือเกินว่า "ให้เผื่อใจไว้นิด" เผื่อใจเอาไว้สำหับความผิดหวัง สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นกับเรา อาจเป็นสิ่งที่เราไม่อยากเจอ เป็นสิ่งที่เราไม่อยากได้ ดังนั้น การทำจิตใจให้เข้มแข็งและเตรียมพร้อมสภาพจิตใจ ผลกระทบต่างๆมันก็จะได้ลดน้อยลง

คนเรานะ ให้ได้เจอกับสิ่งผิดหวังบ้างก็ดีเหมือนกัน มันจะทำให้เราเข้มแข็ง โตเป็นผู้ใหญ่ที่มีเหตุผล และคิดอ่านอะไรต่างๆได้อย่างมีเหตุมีผล เพราะถ้าคนเราไม่เคยเจอ หรือผ่านชีวิตในรสชาติต่างๆ มันก็เหมือนกบในกะลานั่แหละ ที่ไม่ค่อยได้เจอะเจออะไรเลย

เกิดมาเป็นคนทั้งที อย่าท้อ เจอมรสุมชีวิตอะไร ล้มแล้วให้ลุกและเดินขึ้นใหม่ ถ้าทำได้อย่างนี้ ก็ไม่เสียที ที่ได้เกิดมาเป็นคน แต่อย่างที่บอกแหละ จะคิด จะหวัง อะไร เผื่อใจไว้บ้างสำหรับความผิดหวัง เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เพราะถ้าไม่งั้นชีวิตก็คงเปราะบางและขาดรสชาติ จืดชืดไร้คุณภาพ

Saturday, February 6, 2010

ถ้าไม่คาดหวัง ก็ไม่ผิดหวัง

เคยบ้างมั๊ยที่เราไปคาดหวังกับคนรอบข้างว่าเค๊าต้องเป็นแบบนี้นะ เป็นแบบนั้นนะ เค๊าน่าจะเป็นแบบนี้ เค๊าน่าจะเป็นแบบนั้น แต่สุดท้ายก็ต้องผิดหวัง เพราะคนที่เราอยากจะให้เค๊าเป็นแบบนั้น เป็นแบบนี้ ปฏิบัติกับเราอย่างนั้น ปฏิบัติกับเราอย่างนี้ มันไม่เป็นไปตามที่เราคาดหวังเอาไว้ เพราะปกติแล้ว ความความหวังและการคาดหวังอะไรต่างๆ มันก็เป็นความคาดหวังแบบเงียบๆ มันไม่ใช่ความคาดหวังแบบเป็นลายลักษณ์อักษร เหมือนหนังสือสัญญาหรือ contract อะไรต่างๆนาๆ เพราะถ้าความคาดหวังของคนเราสามารถเขียนออกมาได้เป็นลายลักษณ์อักษร นั่นก็ไม่ใช่ความคาดหวังแล้วหละ นั่นเป็นข้อบังคับหรือการผูกมัดมากกว่า

ปกติแล้วการทำความดีกับใคร ให้ความช่วยเหลือใคร เราก็ไม่เคยหวังผลตอบแทนอยู่แหละ เพียงแต่เราอยากให้อีกฝ่ายหนึ่งรู้ถึงคุณค่ากับสิ่งที่เราทำให้ไป ชีวิตนี้มันมีแต่การให้ และการให้จริงๆเหรอเนี๊ยะ ทุกคนที่มีความทุกร้อน ไม่ว่าจะเรื่องอะไร ก็จะวิ่งมาเราตลอด พอเสร็จธุระแล้ว ปัญหาชีวิตแก้ได้แล้ว มีความสุขดีแล้ว เราก็หมดความหมายไปในทันที นี่แหละหนอมนุษย์ จะเห็นเรามีประโยชน์ตอนที่เค๊ามีปัญหาแค่นั้นจริงๆ

สุดท้ายแล้วการที่เราทำความดี ช่วยเหลือคนอื่น คนนั้นที คนนี้ที มันก็ไม่ค่อยจะมีความหมายอะไรเท่าไหร่นัก สู้เราเอาเวลาของเรามาดูแลและใส่ใจคนในครอบครัว คนใกล้ๆตัวเราจะดีที่สุด เพราะคนในครอบครัวเหล่านี้ เราไม่ต้องไปคาดหวังอะไรกับเค๊าหรอก เพราะเค๊าให้เรามากเกินที่เราหวังอยู่แล้ว ก็อยากจะฝากกับทุกคนไว้ตรงนี้ว่า อยากจะทำความดี ไม่ต้องไปทำอื่นไกล ทำกับคนใกล้ๆตัวเราก่อน ลูก สามี ภรรยา พ่อ แม่ พี่ น้อง ลุง ป้า น้า อา ปู่ ย่า ตา ยาย ดูแลคนที่ใกล้ตัวเราที่สุดก่อน ก่อนที่จะไปดูแล หรือช่วยเหลือคนอื่น เพราะสุดท้ายแล้ว คนที่รักและเป็นห่วงเราที่สุดก็จะเป็นคนในครอบครัวเรานี่แหละ it's call unconditional love... :)

จะสังเกตุว่า เราคาดหวังอะไรกับคนในครอบครัวเรา เราก็ไม่ค่อยดจะผิดหวัง
ตอนนี้ ไม่ค่อยคิด ไม่ค่อยหวังอะไรกับคนอื่นแล้วหละ มันเป็นอะไรที่ไม่จีรังยั่งยืนจริงๆ
ถ้าเราไม่ไปคาดหวังอะไรกับใคร เราก็ไม่ผิดหวัง
ตอนนี้ขอมีความสุขกับครอบครัวไปวันๆ ก็มีความสุขดีอยู่แล้ว

Friday, February 5, 2010

กบในกะลา มันร้องอ๊บอ๊บ

พอดีช่วงนี้พี่ J ว่างจากการทำงาน และการเรียน ก็เลยได้มีโอกาสเข้ามาเขียน blog ให้ชาวบ้านชาวช่องเค๊าอ่านกัน
เอาหน่า อ่านเล่นๆ ขำๆ สนุก ไม่ซีเรียส อาจมีแอบเสียดสีบ้างเล็กน้อย พอเป็นกระสัย

วันนี้ขอเขียนถึงเรื่องของ กบ ก็แล้วกัน แต่เผอิญว่า ไอ้เจ้ากบตัวนี้ ไม่ใช่กบธรรมดาทั่วไปครับ เพราะเค๊าเป็นกบในกะลา
กบในกะลาเหรอ อืมมมมมมมมมมม ก็จะมีวิสัยทัศน์แคบๆนะ เพราะโลกทั้งใบของเขา มันก็อยู่แค่ในกะลาแค่นั้นเองจริงๆ
กบในกะลา ไม่ค่อยรู้เรื่องโลกภายนอกอะไรกับเค๊าหรอก เพราะวันๆก็ กิน นอน ขอ สระอี ไม้โท อยู่ในนั้น (สะกดเองนะ สะกดกันได้ป๊ะเนี๊ยะ)
กบในกะลา ก็จะความคิดในแบบของเค๊าเอง แบบกบๆหนะ ก็เพราะอยู่แต่ในกะลา เค๊าก็จะคิดว่าโลกของคนอื่นจะเหมือนกับโลกของเขา เพราะว่าเค๊าไม่เคยได้ไปสัมผัสโลกของคนอื่นเลย เพราะโลกที่เค๊ามี มันก็มีอยู่แค่ในกะลา กว้าง สูง ยาว ก็เท่าๆที่พวกเราเห็นแหละ นั่นหละ โลกของน้องกบเค๊าเลยนะ

กบในกะลา ส่วนมากก็จะพึงพอใจ กับกะลาที่เค๊ามีอยู่
ณ ตรงจุดนี้ พี่ J ก็ว่าดีนะ เพราะเค๊าก็คงจะมีความสุขของเค๊า ความสุขแบบกบๆหนะ และเค๊าก็ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ซึ่งตรงนี้ ก็ดี แต่ถ้าเลือกที่จะเป็นกบในกะลา เวลามีคนมาชี้แนะแนวทาง นำแสงสว่างมาให้ กบก็น่าจะรับฟังสักนิดหนึ่งก็ยังดี อันนี้ก็สืบเนื่องมาจาก blog ก่อนๆ ไม่ว่าจะเป็น เรื่องของบัว เรื่องหยักในสมอง และ เรื่องที่ คนเรานั้นได้มาไม่เท่ากันจริงๆ

กบในกะลา ฟ้าก็คงให้มาไม่เท่ากันจริงๆ เพราะถ้าไม่งั้น คงไม่มีกบทั้งนอกและในกะลาหรอก เพราะพี่ J ไม่เข้าใจเลยจริงๆว่า ทำไมกบบางตัว ถึงได้ชอบจังเลยที่จะอยู่ในกะลา

ไอ้เรานะ บางทีเห็นกบนะ ก็อยากเหลือเกินที่จะเปิดกะลาให้เค๊าได้ออกมาข้างนอกบ้าง ได้สัมผัสกับโลกภายนอก มีวิสัยทัศน์ใหม่ๆ กว้างกว่าเดิม แต่โอพระแม่เจ้า กบบางตัวคงเกิดมาเพื่อที่จะอยู่ในกะลาจริงๆ สงสัยคงเป็นกรรมเก่าหละมั๊ง ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เราก็คงต้องปล่อยวางแล้วหละ คงต้องแล้วแต่กรรมใครกรรมมันที่สร้างกันมา เพราะถ้าเรามัวแต่มายุ่งอยู่กับกบ เราก็คงไม่ได้ทำอะไรเลย สุดท้ายครับ เราก็ต้องปล่อยวาง และเราก็จะได้ดำเนินชีวิตของเราต่อไปอีก ชีวิตนี้มีอะไรที่ต้องทำอีกเยอะแยะ สุดท้ายแล้ว เราก็คงต้องปล่อยกบให้อยู่ในกะลานั้นต่อไป อาจจะเป็นกะลาเคลือบทองก็ได้นะ ขำกลิ้ง :)

Wednesday, February 3, 2010

ชีวิตออกแบบได้

ชีวิตเราทุกคน เราสามารถออกแบบได้ว่าเราต้องการยังไง อยากดำเนินชีวิตแบบใหน ทุกอย่างเรากำหนดเองได้หมด ไม่ต้องรอฟ้า หรือใครมากำหนดให้เรา

จริงๆแล้วสมการชีวิตเป็นสมการง่ายๆ ง่ายกว่าสมการทางคณิตศาสตร์อีก
ถ้าอยากโง่ ก็ไม่ต้องเรียนหนังสือ
ถ้าอยากสอบตก ก็ไม่ต้องอ่านหนังสือ เที่ยวเยอะๆ นอนดูหนัง ดู TV/DVD เยอะๆ เล่นเกมส์บ่อยๆ chat MSN ทุกวัน
ถ้าอยากจน ก็นอนอยู่บ้าน ไม่ต้องทำงาน
ถ้าทำงาน แต่ไม่อยากมีเงินเก็บ ก็ใช้จ่ายเยอะๆ
ถ้าอยากเป็นหนี้ ก็ให้ใช้จ่ายเกินกำลัง หาได้ 10, ใช้ 11 อะไรทำนองเนี๊ยะ
ถ้าเป็นคนชอบโกหก ก็ต้องจำให้ได้ว่าโกหกอะไรไปบ้าง เพราะถ้าจำไม่ได้ แล้วมาพูดไม่ตรงกัน พี่ J แนะนำให้ไปให้ไกลๆ อย่าเข้ามาใกล้ ให้วุ่นวาย เด็กๆหนะ จะไปกระโดดยางที่ใหนก็ไป ไป๊

ในทางกลับกัน

ถ้าอยากฉลาด ก็ต้องไปโรงเรียน ไปเรียนหนังสือ (สมัยนี้เค๊าเรียนกันที่บ้านก็ได้แล้ว)
ถ้าอยากสอบผ่าน ได้คะแนนดีๆ ก็อ่านหนังสือเยะๆ ดู TV/DVD น้อยๆ ไม่เล่นเกมส์ และ chat MSN ให้น้อยลง
ถ้าไม่อยากจน ก็ต้องรู้จักขยันทำมาหากิน ไม่ขี้เกียจ นอนอยู่บ้าน หายใจทิ้งไปวันๆ
ถ้าอยากมีเงินเก็บ ก็ต้องประหยัด สิ่งใดไม่ควรซื้อก็อย่าไปพิไรซื้อ หามาได้ 10 เก็บก่อน 3 ที่เหลือ อีก 7 ก็ค่อยซื้อก็แล้วกัน
ถ้าไม่อยากเป็นหนี้ ก็ต้องไม่ใช้จ่ายเกินกำลัง หาได้ 10 ห้ามใช้เกิน 10 บัตรเครดิตที่มีหนะ พยายามอย่าใช้เลย ถ้าใช้ พอสิ้นเดือน บิลมา ก็ต้องจ่ายให้หมด
ถ้าอยากให้คนรัก คนชอบ ก็ต้องเรียนรู้ที่จะรักคนอื่นก่อน
ถ้าอยากจะเป็นผู้รับบ้าง ก็ต้องเป็นผู้ให้ก่อน ถ้าไม่เคยเป็นผู้ให้เลย แล้วจะเป็นแต่ผู้รับฝ่ายเดียว ชีวิตมันก็ไม่ balance นะ

สมการชีวิต คิดง่ายๆ ไม่เห็นยากตรงใหน ออกจะตรงไปตรงมาดี
พี่ J ได้ออกแบบชีวิตที่ตัวเองต้องการแล้ว แล้วคุณๆ น้องๆทั้งหลายหละ ออกแบบชีวิตตัวเองหรือยัง เลือกหรือยังว่าจะดำเนินชีวิตไปยังไง เลือกหรือยัง วันนี้ทางเดินของคุณ

Sunday, January 24, 2010

ชีวิตคนเราเนี๊ยะ มันได้มาไม่เท่ากันจริงๆ

Apartment ที่พี่ J อยู่ ณ ตอนเนี๊ยะ ตรงห้องชั้นล่าง จะมีผู้ชายคนหนึ่ง พี่ขอเรียกเค๊าว่า M ก็แล้วกัน neighbor ของพี่คนนี้ ชีวิตเค๊าน่าสงสารนะ พี่ J เองก็ดูไม่ออกว่า M คนเนี๊ยะอายุเท่าไหร่ เพราะฝรั่งที่เนี๊ยะ เดาอายุอยากมาก he น่าจะสักประมาณ 20 ปลายๆ หรือ 30 ต้นๆ M เป็นคนอ้วน พุงป่องเลยแหละ เค๊าเช่าห้องอยู่คนเดียว ไม่ค่อยมีเพื่อน ดูเหมือนว่าเค๊าเป็นคนว่างงาน เพราะตัวของ M เองแล้ว พี่ J คิดว่า เค๊าไม่ค่อยจะ 100% เท่าไหร่ สังเกตุจากการพูด และที่ได้สนทนากับเค๊านะ คือเนื้อหาการพูดคุยของเค๊าเนี๊ยะ จะไม่มีค่อยเนื้อเลย มีแต่น้ำ แต่พี่ J ก็พยายามที่จะพูดคุยกับเค๊า เพราะดูๆแล้ว เค๊าคงไม่มีใครคุยด้วย

ชีวิตเค๊าน่าสงสารมาก นั่นมันเป็นแค่มุมมองของพี่ J นะ ตัวของเค๊าเองอาจจะมีความสุข ในสิ่งที่เค๊าเป็นอยู่ก็ได้ เพราะคนแบบอย่างที่ M เป็นกันเนี๊ยะ เค๊าไม่ต้องมีความรับผิดชอบอะไรอยู่แล้ว รัฐบาลที่นี่ก็เลี้ยงดูเค๊าอยู่แล้ว

ที่พี่ J สงสารเค๊าก็เพราะว่า เค๊าอยู่ตัวคนเดียว ไม่ได้ทำงานอะไร อาจจะมีการไปฝึกงานฝีมือที่ TAFE มั่ง แต่ไม่จริงจังอะไรเท่าไหร่ วันๆหนึ่งสำหรับเค๊ามันคงจะยาวนานมากเลยนะ เพราะช่วงหน้าร้อน เค๊าก็จะมานั่งอยู่ที่เก้าอี้หน้าห้องของเค๊า แล้วก็นั่งหลับ ดูแล้วน่าสงสารมาก ถ้าคนเราสามารถนั่งหลับได้เนี๊ยะ แสดงว่าชีวิตเค๊าไม่มีอะไรทำจริงๆ ไม่งั้นคงไม่มานั่งหลับหน้าห้องหรอก แถมเค๊าก็ไม่ใช่คนแก่อะไรที่จะต้องมานั่งหลับอยู่หน้าห้องตัวเอง และก็เป็นแบบนี้บ่อยมาก บางทีกลางวัน เค๊าก็จะมานั่งตรง mailbox ตรงรั้วหน้าตึก นั่งคนเดียว เสื้อไม่ใส่ แล้วตัวก็แดงไปหมด คงเป็นเพราะ sun burn หนะ เห็นแล้ว ก็อดคิดไม่ได้ว่า เออน๊อ ชีวิตคนเราเนี๊ยะ มันได้มาไม่เท่ากันจริงๆ ดูๆไปแล้ว พี่ J คิดว่า M เค๊าก็ไม่เลือกที่จะเป็นอย่างนั้นหรอก แต่อาจเป็นเพราะเค๊าไม่ค่อยจะ 100% เท่าไหร่ เค๊าก็เลยเป็นแบบนี้ คนเรามันเลือกเกิดไม่ได้จรีงๆ ไม่มีใครที่จะเลือกเกิดมาแบบนี้หรอก

จะมองเค๊าว่าเป็นคนพิการมั๊ย เค๊าก็ไม่ถึงกับเป็นมากนะ พูดคุยรู้เรื่อง เพียงแต่ไม่มีสาระเท่านั้นเอง คิดว่าคงเป็นแค่นิดเดียว แม่เค๊าก็อยู่ไม่ไกลจากเมืองนี้เท่าไหร่ ฝรั่งนี่ก็แปลก ไม่ชอบอยู่กันเป็นครอบครัว ชอบแยกกันอยู่ ยิ่งสมาชิกของครอบครัวที่ไม่ 100% เท่าไหร่เนี๊ยะ ก็ไม่น่าจะมาให้อยู่คนเดียวเลย เพราะไม่รู้ว่าเค๊าจะสามารถดูแลตัวเองได้มากน้อยขนาดใหน แต่ก็แหละหนะ ชิวิตเค๊า เค๊าคงอาจจะอยากที่จะอยู่คนเดียว อิสระ ไม่อยากเป็นภาระใคร เพราะยังไงเสีย รัฐบาลก็ดูแลคนประเภทนี้อยู่แล้ว

เออ สรุป ก็เป็นภาระของรัฐบาล เป็นภาระของคนทีเสียภาษีอย่างเราๆนี่แหละ แต่ไม่เป็นไร เราไม่ได้คิดถึงจุดนั้นหรอกนะ เพียงแต่เห็นแล้วเราก็อดที่จะสงสารไม่ได้

ลองหันมามองชีวิตเราดูนะ เราโชคดีขนาดใหน ร่างกายและสมองสมประกอบทุกอย่าง ใช้มันให้เป็น ใช้มันให้คุ้มค่า ใช้มันในสิ่งที่สร้างสรรค์นะ ลองเปรียบเทียบชีวิตเรา กับชีวิต M คนนี้ดู พวกเราหนะโชคดีแล้ว ชีวิตคนเราหนะ มันได้มาไม่เท่ากันจริงๆ เอาสิ่งที่เราได้ สิ่งที่เรามี มาบริหารให้ได้ถึง full potential ดู แล้วจะรู้ว่าจริงๆแล้ว ชีวิตเรานั้นหนะ เราสามารถทำอะไรได้หลายๆอย่างกับชีวิต ถ้าเราเลือกที่จะทำ

Saturday, January 16, 2010

เพราะฉะนั้น มันถึงเป็นเช่นฉะนี้

มีหลายคนเหลือเกินที่ประสบปัญหาและมรสุมในชีวิต และไม่ได้มองดูตัวเองว่า มรสุมมันมาจากใหน เกิดขึ้นเพราะใคร เกิดขึ้นเพราะอะไร ถ้ามองดูดีๆ มองอย่างลึกซึ้งแล้วจะรู้ว่า แท้ที่จริงแล้ว ปัญหาต่างๆมันเกิดขึ้นเพราะตัวเราเองนี่แหละ เราเป็นคนสร้างมัน เราเป็นคนสร้างปัญหา เราถึงเจอปัญหา และมรสุมต่างๆในชีวิต ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นผลการกระทำของเราทั้งนั้น ไม่ต้องไปโทษคนอื่น ไม่ต้องไปโทษชะตากรรม เพื่อเรียกร้องคะแนนสงสารจากฟ้าดิน หรือคนรอบข้าง

พี่ J แนะนำว่า ให้หันมามองตัวเองดีๆ มองตัวเองอย่างลึกซึ้ง มองตัวเองแบบเป็นกลาง ไม่ลำเอียง เข้าข้างตัวเอง มองตัวเองอย่างคนชาญฉลาดและมีปัญญา แล้วก็จะรู้ว่า เออ ตัวเราเนี๊ยะบกพร่องตรงใหน มีตรงใหนมั๊ยที่ควรจะปรับปรุง

มีแต่พวกบัวใต้น้ำเท่านั้นที่คอยแต่จะโทษคนอื่น ไม่เคยมองย้อนดูตัวเองเลยว่า ตัวเองทำตัวยังไง พี่ J แนะนำนะว่าคนเราหนะทำตัวยังไงก็ได้ยังงั้นแหละ ก็แล้วแต่จะเลือกว่า อยากจะเป็นบัวใต้น้ำ หรือบัวเหนือน้ำ

เพราะฉะนั้น มันถึงเป็นเช่นฉะนี้....

ถ้าเรายังทำตัวเดิมๆ ชีวิตเราก็จะเดิมๆ ถ้าเราอยากให้ชีวิตเราเปลี่ยนแปลง เราก็ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเราเองก่อน ทุกอย่างเริ่มต้นที่ตัวเราเสมอ ถ้าเราไม่เริ่มต้นที่จะเปลียนแปลง ชีวิตเราก็จะเดิมๆ ย่ำอยู่กับที่อย่างนี้แหละ

แนะนำครับ ปรับปรุง และทำตัวเองให้ดีขึ้น ก้มหัวน้อมรับคำแนะนำ และลองรับไปปฏิบัติดู ดูสิว่าชีวิตมันจะดีขึ้นมั๊ย

Tuesday, January 12, 2010

เห็นช้างขี้ ไม่ต้องขี้ตามช้าง

น้องๆหลายคนมาเรียนที่ Wollongong ทุกคนมาจากครอบครัวที่แตกต่าง background ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนมาจากครอบครัวที่ร่ำรวย เหลือกินเหลือใช้ พ่อแม่ถึงได้ส่งลูกๆมาเรียนเมืองนอก บางคนก็รวย แต่ก็ไม่ถึงกับว่าเหลือกินเหลือใช้ แต่ที่บ้านก็พอมีตังค์ที่จะส่งลูกๆมาเรียนเมืองนอก แต่บางคนก็ไม่ค่อยจะมีเท่าไหร่ แต่ก็มีความฝันที่อยากมาเรียนเมืองนอก ก็กะว่าจะมาปากกัดตีนถีบ ดิ้นลน และกะมาตายเอาดาบหน้า

ก้ออยากจะแนะนำเหลือเกินว่า เด็กๆ น้องๆ ประเภทหลังๆเนี๊ยะ เวลามาเจอบรรยากาศเมืองนอก เพื่อนฝูงอีกรูปแบบหนึ่ง เพื่อนฝูงอีกสถานะหนึ่ง จงอย่าได้หลงละเลิงไปกับพวกเค๊า เพราะเพื่อนๆทั้งหลายเหล่านั้น เค๊ามีฐานะการเงินที่แตกต่าง เค๊าอาจจะสามารถจับจ่ายใช้สอยอะไรก็ได้โดยที่ไม่ลำบากเรื่องตังค์เลย แต่เราซึ่งอยู่ในฐานะที่แตกต่างจากพวกเค๊าเหล่านั้น เราจะมาทำตัวเหมือนเพื่อนๆเหล่านั้นไม่ได้ ให้ระลึกไว้เสมอว่า เราที่มีทำไม จุดประสงค์คืออะไร อย่าให้เพื่อนๆเหล่านั้นมาทำให้เราไขว้เขว

คบเพื่อนเหล่านั้นหนะ คบได้นะ ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ควรไปคบกับเค๊า แต่เราเห็นเค๊าทำอะไร เราไม่จะเป็นต้องไปทำตาม เห็นเค๊าซื้ออะไร เราไม่จำเป็น ต้องไปซื้อเหมือนเค๊า อย่างที่บอกเหละ สถานะของกระเป๋าตังค์มันไม่เหมือนกัน จะทำอะไร ก็ต้องดูตัวเองก่อน ว่ากำลังเรามีแค่ใหน ทุกคนมีจุดยืนไม่เหมือนกัน

เห็นช้างขี้ ก็ไม่ต้องไปขี้ตามช้างหรอก เพราะช้างเหล่านั้นหนะ ยังแบขอเงินพ่อแม่กันแทบทั้งนั้นแหละ

Saturday, January 9, 2010

สิ่งที่จำเป็น vs สิ่งที่ต้องการ


Need vs Want

Need คือสิ่งที่จำเป็น สิ่งที่ต้องใช้ ในขณะเดียวกันที่
Want คือสิ่งที่ต้องการ สิ่งที่เราอยากได้

ก่อนที่ใครคนไหนจะควักกระเป๋าจ่ายเงิน หรือซื้อของ ให้ถามตัวเองดีๆก่อนว่า สิ่งที่เรากำลังจะซื้ออยู่ ณ ตอนเนี๊ยะ มันมีความจำเป็นกับชีวิตเราหรือเปล่า เราจำเป็นจะต้องใช้ของสิ่งนี้มั๊ย และถ้าจำเป็น เราสามารถหาซื้อของอย่างอื่นที่มีหน้าที่ใช้สอยเหมือนกัน แต่ว่าราคาถูกกว่าได้หรือเปล่า

ถ้าของที่เราจะซื้อมีความจำเป็นในการดำเนินชีวิตต่อไป และสามารถหาซื้อของชิ้นอื่นที่ราคาถูกกว่า แต่ว่าสามารถทำหน้าที่ ใช้สอยได้เหมือนกัน พี่ก็แนะนำให้ซื้อตัวที่มันถูกกว่านะครับ ถ้าจะให้ดี อย่ารีบตัดสินใจด่วนซื้อ รอไป 1-2 วัน เพื่อเช็คกับตัวเราเองว่า เรามีความต้องการของสิ่งนั้นจริงๆ ถ้าชั่งใจแล้ว 1-2 วัน แล้วยังจำเป็นต้องซื้อจริง ๆ ก็แสดงว่าของสิ่งนั้นคงมีความสำคัญกับการดำเนินชีวิตของเราแล้วหละ ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ซื้อไปเลยก็แล้วกัน แต่อย่าลืมว่า ลองเปรียบเทียบดูสินค้าหลาย ๆ ตัว

แต่ถ้าเราลองถามตัวเราเองแล้ว ผลปรากฏว่าสิ่งที่เรากำลังจะซื้อนั้น ไม่ได้มีความจำเป็นอะไรกับชีวิตเรามากมายเลย แต่มันเป็นความต้องการ ความอยาก ความต้องการที่จะมี ความอยากที่จะมี
  • อยากได้เพราะว่าของมันลดราคา (แต่ไม่มีความจำเป็นต้องใช้หรอก)
  • อยากได้เพราะว่าเพื่อน ๆ ในกลุ่มเค๊ามีกัน (เพื่อนมี ก็ชั่งเพื่อนสิครับ กลัวเข้ากลุ่มไม่ได้เหรอ ถ้าการจะเข้ากลุ่มกับเพื่อนได้ด้วยการซื้อของ ก็อย่าเข้ากับเพื่อนกลุ่มนี้กันเลย เพื่อนไม่ได้ซื้อให้เราสะหน่อย ถ้าเพื่อนมันซื้อให้ ก็แล้วไป นั่นมันคนละประเด็น)
  • อยากได้เพราะยี่ห้อดัง ของ brand name ถ้าอยากจะซื้อของ brand name ก็แนะนำว่าให้ดูตังค์ในกระเป๋าตัวเองที่มี อย่าทำตัวเป็นพวกรายได้ต่ำ รสนิยมสูง
ที่เขียนมาวันนี้ ทั้งหมด ก็เป็นแค่ความคิดเห็นส่วนตัวของเราเอง คนอื่นจะเห็นด้วยหรือเปล่านั้น เราไม่รู้ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับหยักในสมองของแต่ละคน แล้วแต่ใครจะหยักมาก หยักน้อย แตกต่างกันไป