Sunday, January 24, 2010

ชีวิตคนเราเนี๊ยะ มันได้มาไม่เท่ากันจริงๆ

Apartment ที่พี่ J อยู่ ณ ตอนเนี๊ยะ ตรงห้องชั้นล่าง จะมีผู้ชายคนหนึ่ง พี่ขอเรียกเค๊าว่า M ก็แล้วกัน neighbor ของพี่คนนี้ ชีวิตเค๊าน่าสงสารนะ พี่ J เองก็ดูไม่ออกว่า M คนเนี๊ยะอายุเท่าไหร่ เพราะฝรั่งที่เนี๊ยะ เดาอายุอยากมาก he น่าจะสักประมาณ 20 ปลายๆ หรือ 30 ต้นๆ M เป็นคนอ้วน พุงป่องเลยแหละ เค๊าเช่าห้องอยู่คนเดียว ไม่ค่อยมีเพื่อน ดูเหมือนว่าเค๊าเป็นคนว่างงาน เพราะตัวของ M เองแล้ว พี่ J คิดว่า เค๊าไม่ค่อยจะ 100% เท่าไหร่ สังเกตุจากการพูด และที่ได้สนทนากับเค๊านะ คือเนื้อหาการพูดคุยของเค๊าเนี๊ยะ จะไม่มีค่อยเนื้อเลย มีแต่น้ำ แต่พี่ J ก็พยายามที่จะพูดคุยกับเค๊า เพราะดูๆแล้ว เค๊าคงไม่มีใครคุยด้วย

ชีวิตเค๊าน่าสงสารมาก นั่นมันเป็นแค่มุมมองของพี่ J นะ ตัวของเค๊าเองอาจจะมีความสุข ในสิ่งที่เค๊าเป็นอยู่ก็ได้ เพราะคนแบบอย่างที่ M เป็นกันเนี๊ยะ เค๊าไม่ต้องมีความรับผิดชอบอะไรอยู่แล้ว รัฐบาลที่นี่ก็เลี้ยงดูเค๊าอยู่แล้ว

ที่พี่ J สงสารเค๊าก็เพราะว่า เค๊าอยู่ตัวคนเดียว ไม่ได้ทำงานอะไร อาจจะมีการไปฝึกงานฝีมือที่ TAFE มั่ง แต่ไม่จริงจังอะไรเท่าไหร่ วันๆหนึ่งสำหรับเค๊ามันคงจะยาวนานมากเลยนะ เพราะช่วงหน้าร้อน เค๊าก็จะมานั่งอยู่ที่เก้าอี้หน้าห้องของเค๊า แล้วก็นั่งหลับ ดูแล้วน่าสงสารมาก ถ้าคนเราสามารถนั่งหลับได้เนี๊ยะ แสดงว่าชีวิตเค๊าไม่มีอะไรทำจริงๆ ไม่งั้นคงไม่มานั่งหลับหน้าห้องหรอก แถมเค๊าก็ไม่ใช่คนแก่อะไรที่จะต้องมานั่งหลับอยู่หน้าห้องตัวเอง และก็เป็นแบบนี้บ่อยมาก บางทีกลางวัน เค๊าก็จะมานั่งตรง mailbox ตรงรั้วหน้าตึก นั่งคนเดียว เสื้อไม่ใส่ แล้วตัวก็แดงไปหมด คงเป็นเพราะ sun burn หนะ เห็นแล้ว ก็อดคิดไม่ได้ว่า เออน๊อ ชีวิตคนเราเนี๊ยะ มันได้มาไม่เท่ากันจริงๆ ดูๆไปแล้ว พี่ J คิดว่า M เค๊าก็ไม่เลือกที่จะเป็นอย่างนั้นหรอก แต่อาจเป็นเพราะเค๊าไม่ค่อยจะ 100% เท่าไหร่ เค๊าก็เลยเป็นแบบนี้ คนเรามันเลือกเกิดไม่ได้จรีงๆ ไม่มีใครที่จะเลือกเกิดมาแบบนี้หรอก

จะมองเค๊าว่าเป็นคนพิการมั๊ย เค๊าก็ไม่ถึงกับเป็นมากนะ พูดคุยรู้เรื่อง เพียงแต่ไม่มีสาระเท่านั้นเอง คิดว่าคงเป็นแค่นิดเดียว แม่เค๊าก็อยู่ไม่ไกลจากเมืองนี้เท่าไหร่ ฝรั่งนี่ก็แปลก ไม่ชอบอยู่กันเป็นครอบครัว ชอบแยกกันอยู่ ยิ่งสมาชิกของครอบครัวที่ไม่ 100% เท่าไหร่เนี๊ยะ ก็ไม่น่าจะมาให้อยู่คนเดียวเลย เพราะไม่รู้ว่าเค๊าจะสามารถดูแลตัวเองได้มากน้อยขนาดใหน แต่ก็แหละหนะ ชิวิตเค๊า เค๊าคงอาจจะอยากที่จะอยู่คนเดียว อิสระ ไม่อยากเป็นภาระใคร เพราะยังไงเสีย รัฐบาลก็ดูแลคนประเภทนี้อยู่แล้ว

เออ สรุป ก็เป็นภาระของรัฐบาล เป็นภาระของคนทีเสียภาษีอย่างเราๆนี่แหละ แต่ไม่เป็นไร เราไม่ได้คิดถึงจุดนั้นหรอกนะ เพียงแต่เห็นแล้วเราก็อดที่จะสงสารไม่ได้

ลองหันมามองชีวิตเราดูนะ เราโชคดีขนาดใหน ร่างกายและสมองสมประกอบทุกอย่าง ใช้มันให้เป็น ใช้มันให้คุ้มค่า ใช้มันในสิ่งที่สร้างสรรค์นะ ลองเปรียบเทียบชีวิตเรา กับชีวิต M คนนี้ดู พวกเราหนะโชคดีแล้ว ชีวิตคนเราหนะ มันได้มาไม่เท่ากันจริงๆ เอาสิ่งที่เราได้ สิ่งที่เรามี มาบริหารให้ได้ถึง full potential ดู แล้วจะรู้ว่าจริงๆแล้ว ชีวิตเรานั้นหนะ เราสามารถทำอะไรได้หลายๆอย่างกับชีวิต ถ้าเราเลือกที่จะทำ

Saturday, January 16, 2010

เพราะฉะนั้น มันถึงเป็นเช่นฉะนี้

มีหลายคนเหลือเกินที่ประสบปัญหาและมรสุมในชีวิต และไม่ได้มองดูตัวเองว่า มรสุมมันมาจากใหน เกิดขึ้นเพราะใคร เกิดขึ้นเพราะอะไร ถ้ามองดูดีๆ มองอย่างลึกซึ้งแล้วจะรู้ว่า แท้ที่จริงแล้ว ปัญหาต่างๆมันเกิดขึ้นเพราะตัวเราเองนี่แหละ เราเป็นคนสร้างมัน เราเป็นคนสร้างปัญหา เราถึงเจอปัญหา และมรสุมต่างๆในชีวิต ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นผลการกระทำของเราทั้งนั้น ไม่ต้องไปโทษคนอื่น ไม่ต้องไปโทษชะตากรรม เพื่อเรียกร้องคะแนนสงสารจากฟ้าดิน หรือคนรอบข้าง

พี่ J แนะนำว่า ให้หันมามองตัวเองดีๆ มองตัวเองอย่างลึกซึ้ง มองตัวเองแบบเป็นกลาง ไม่ลำเอียง เข้าข้างตัวเอง มองตัวเองอย่างคนชาญฉลาดและมีปัญญา แล้วก็จะรู้ว่า เออ ตัวเราเนี๊ยะบกพร่องตรงใหน มีตรงใหนมั๊ยที่ควรจะปรับปรุง

มีแต่พวกบัวใต้น้ำเท่านั้นที่คอยแต่จะโทษคนอื่น ไม่เคยมองย้อนดูตัวเองเลยว่า ตัวเองทำตัวยังไง พี่ J แนะนำนะว่าคนเราหนะทำตัวยังไงก็ได้ยังงั้นแหละ ก็แล้วแต่จะเลือกว่า อยากจะเป็นบัวใต้น้ำ หรือบัวเหนือน้ำ

เพราะฉะนั้น มันถึงเป็นเช่นฉะนี้....

ถ้าเรายังทำตัวเดิมๆ ชีวิตเราก็จะเดิมๆ ถ้าเราอยากให้ชีวิตเราเปลี่ยนแปลง เราก็ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเราเองก่อน ทุกอย่างเริ่มต้นที่ตัวเราเสมอ ถ้าเราไม่เริ่มต้นที่จะเปลียนแปลง ชีวิตเราก็จะเดิมๆ ย่ำอยู่กับที่อย่างนี้แหละ

แนะนำครับ ปรับปรุง และทำตัวเองให้ดีขึ้น ก้มหัวน้อมรับคำแนะนำ และลองรับไปปฏิบัติดู ดูสิว่าชีวิตมันจะดีขึ้นมั๊ย

Tuesday, January 12, 2010

เห็นช้างขี้ ไม่ต้องขี้ตามช้าง

น้องๆหลายคนมาเรียนที่ Wollongong ทุกคนมาจากครอบครัวที่แตกต่าง background ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนมาจากครอบครัวที่ร่ำรวย เหลือกินเหลือใช้ พ่อแม่ถึงได้ส่งลูกๆมาเรียนเมืองนอก บางคนก็รวย แต่ก็ไม่ถึงกับว่าเหลือกินเหลือใช้ แต่ที่บ้านก็พอมีตังค์ที่จะส่งลูกๆมาเรียนเมืองนอก แต่บางคนก็ไม่ค่อยจะมีเท่าไหร่ แต่ก็มีความฝันที่อยากมาเรียนเมืองนอก ก็กะว่าจะมาปากกัดตีนถีบ ดิ้นลน และกะมาตายเอาดาบหน้า

ก้ออยากจะแนะนำเหลือเกินว่า เด็กๆ น้องๆ ประเภทหลังๆเนี๊ยะ เวลามาเจอบรรยากาศเมืองนอก เพื่อนฝูงอีกรูปแบบหนึ่ง เพื่อนฝูงอีกสถานะหนึ่ง จงอย่าได้หลงละเลิงไปกับพวกเค๊า เพราะเพื่อนๆทั้งหลายเหล่านั้น เค๊ามีฐานะการเงินที่แตกต่าง เค๊าอาจจะสามารถจับจ่ายใช้สอยอะไรก็ได้โดยที่ไม่ลำบากเรื่องตังค์เลย แต่เราซึ่งอยู่ในฐานะที่แตกต่างจากพวกเค๊าเหล่านั้น เราจะมาทำตัวเหมือนเพื่อนๆเหล่านั้นไม่ได้ ให้ระลึกไว้เสมอว่า เราที่มีทำไม จุดประสงค์คืออะไร อย่าให้เพื่อนๆเหล่านั้นมาทำให้เราไขว้เขว

คบเพื่อนเหล่านั้นหนะ คบได้นะ ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ควรไปคบกับเค๊า แต่เราเห็นเค๊าทำอะไร เราไม่จะเป็นต้องไปทำตาม เห็นเค๊าซื้ออะไร เราไม่จำเป็น ต้องไปซื้อเหมือนเค๊า อย่างที่บอกเหละ สถานะของกระเป๋าตังค์มันไม่เหมือนกัน จะทำอะไร ก็ต้องดูตัวเองก่อน ว่ากำลังเรามีแค่ใหน ทุกคนมีจุดยืนไม่เหมือนกัน

เห็นช้างขี้ ก็ไม่ต้องไปขี้ตามช้างหรอก เพราะช้างเหล่านั้นหนะ ยังแบขอเงินพ่อแม่กันแทบทั้งนั้นแหละ

Saturday, January 9, 2010

สิ่งที่จำเป็น vs สิ่งที่ต้องการ


Need vs Want

Need คือสิ่งที่จำเป็น สิ่งที่ต้องใช้ ในขณะเดียวกันที่
Want คือสิ่งที่ต้องการ สิ่งที่เราอยากได้

ก่อนที่ใครคนไหนจะควักกระเป๋าจ่ายเงิน หรือซื้อของ ให้ถามตัวเองดีๆก่อนว่า สิ่งที่เรากำลังจะซื้ออยู่ ณ ตอนเนี๊ยะ มันมีความจำเป็นกับชีวิตเราหรือเปล่า เราจำเป็นจะต้องใช้ของสิ่งนี้มั๊ย และถ้าจำเป็น เราสามารถหาซื้อของอย่างอื่นที่มีหน้าที่ใช้สอยเหมือนกัน แต่ว่าราคาถูกกว่าได้หรือเปล่า

ถ้าของที่เราจะซื้อมีความจำเป็นในการดำเนินชีวิตต่อไป และสามารถหาซื้อของชิ้นอื่นที่ราคาถูกกว่า แต่ว่าสามารถทำหน้าที่ ใช้สอยได้เหมือนกัน พี่ก็แนะนำให้ซื้อตัวที่มันถูกกว่านะครับ ถ้าจะให้ดี อย่ารีบตัดสินใจด่วนซื้อ รอไป 1-2 วัน เพื่อเช็คกับตัวเราเองว่า เรามีความต้องการของสิ่งนั้นจริงๆ ถ้าชั่งใจแล้ว 1-2 วัน แล้วยังจำเป็นต้องซื้อจริง ๆ ก็แสดงว่าของสิ่งนั้นคงมีความสำคัญกับการดำเนินชีวิตของเราแล้วหละ ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ซื้อไปเลยก็แล้วกัน แต่อย่าลืมว่า ลองเปรียบเทียบดูสินค้าหลาย ๆ ตัว

แต่ถ้าเราลองถามตัวเราเองแล้ว ผลปรากฏว่าสิ่งที่เรากำลังจะซื้อนั้น ไม่ได้มีความจำเป็นอะไรกับชีวิตเรามากมายเลย แต่มันเป็นความต้องการ ความอยาก ความต้องการที่จะมี ความอยากที่จะมี
  • อยากได้เพราะว่าของมันลดราคา (แต่ไม่มีความจำเป็นต้องใช้หรอก)
  • อยากได้เพราะว่าเพื่อน ๆ ในกลุ่มเค๊ามีกัน (เพื่อนมี ก็ชั่งเพื่อนสิครับ กลัวเข้ากลุ่มไม่ได้เหรอ ถ้าการจะเข้ากลุ่มกับเพื่อนได้ด้วยการซื้อของ ก็อย่าเข้ากับเพื่อนกลุ่มนี้กันเลย เพื่อนไม่ได้ซื้อให้เราสะหน่อย ถ้าเพื่อนมันซื้อให้ ก็แล้วไป นั่นมันคนละประเด็น)
  • อยากได้เพราะยี่ห้อดัง ของ brand name ถ้าอยากจะซื้อของ brand name ก็แนะนำว่าให้ดูตังค์ในกระเป๋าตัวเองที่มี อย่าทำตัวเป็นพวกรายได้ต่ำ รสนิยมสูง
ที่เขียนมาวันนี้ ทั้งหมด ก็เป็นแค่ความคิดเห็นส่วนตัวของเราเอง คนอื่นจะเห็นด้วยหรือเปล่านั้น เราไม่รู้ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับหยักในสมองของแต่ละคน แล้วแต่ใครจะหยักมาก หยักน้อย แตกต่างกันไป