Thursday, February 18, 2010

กาลเวลาเปลี่ยน คนก็เปลี่ยน

ในชีวิตคนเราเนี๊ยะ มันไม่มีอะไรที่จีรังยั่งยืนจริงๆนะ คนที่เราคิดว่าสนิท เกรงใจ และผูกพันอะไรอีกหลายๆอย่าง กับคนบางคน คนบางกลุ่ม มันไม่ได้มีความหมายอะไรเลยจริงๆ อยู่นานๆไป อะไรหลายๆอย่างมันทำให้เรารู้ว่า แท้ที่จริงแล้ว มันก็คือภาพลวงตาเราดีนี่เอง ที่ผ่านมามันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย

คนที่เกรงใจกันนะ คนที่สนิทกันนะ พอเอาเข้าจริงๆ เค๊าก็คิดถึงตัวเค๊าก่อนแหละ สมมุติว่าเราทำธุรกิจอย่างหนึ่ง แล้วคนที่เรารู้จัก สนิท และ คุ้นเคย อยู่มาวันหนึ่งมาทำธุรกิจเดียวกันกับเรา เปิดธุรกิจข้างๆ หรือตรงกันข้ามกับเรา เค๊าเคยคิดบ้างมั๊ยนะว่า เค๊าหนะหักหารน้ำใจเราเหรอเกิน เราเข้าใจนะว่าธุรกิจคือการแข่งขัน แต่เราขอแข่งขันกับคนที่เราไม่รู้จักได้มั๊ยหละ น้ำใจคนเรามันก็แค่นี้จริงๆเน๊อ ไม่ได้มีความหมายอะไรเลย เงินนี่มันมาก่อนอะไรทุกอย่างจริงๆเหรอ ถ้าตายไปเมื่อไหร่ ก็อย่าลืมหอบไปให้หมดก็แล้วกัน เงินทองที่หามาได้จากการหักหารน้ำใจคนที่รู้จักกันหนะ

สรุปแล้ว กาลเวลาเปลี่ยน คนเรามันก็เปลี่ยนจริงเลย นี่แหละน๊ามนุษย์ ความจริงใจมีอยู่ที่ใหนกันเนี๊ยะ อยากรู้

Sunday, February 14, 2010

เมื่อผู้ใหญ่ ทำตัวแย่

เคยมีบ้างมั๊ย ที่ผู้ใหญ่ที่เรานับถือ หรือเคารพ จริงๆแล้วเค๊าไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด อย่างที่เราคาดหวัง พอรู้จักกันไปนานๆ ลายเริ่มออก หางเริ่มโพล่ ถ้าเจอผู้ใหญ่หรือคนที่เราเคารพนับถือแบบนี้ ความเคารพ ความนับถือมันก็หายหมดไปแล้วหละ แนะนำเหลือเกินว่าให้หลีกห่างจากบุคคลพวกนี้ เพราะคบหรือรู้จักกันมันก็ไม่ทำให้เกิดประโยชน์อะไรในชีวิตขึ้นมา มีแต่จะฉุดลงต่ำ เพราะผู้ใหญ่บางคนทำตัวได้แย่ และทำตัว หอ สระ เอีย ไม้ตรี ก็เยอะ ยกมือไหว้ ก็เสียดายมือหวะ ขอคืนก็แล้วกันความเคารพความนับถือที่มีให้ และก็ขอกรวดน้ำคว่ำขัน เราพบกันชาติเดียว

ส่วนตัวพี่ J เองก็ไม่ได้ดีอะไรมากมาย ดังนั้นใครๆที่ยกมือไหว้อยู่ทุกวัน หรือรัก เคารพ พี่ J ก็เผื่อใจไว้นิด เผื่อวันใหนดีแตกขึ้นมาก จะได้ไม่เซ็งเป็ด

ที่เอาเรื่องผู้ใหญ่บางคนที่เรานับถือมาเขียน ก็เพราะว่า เคยมีผู้ใหญ่อยู่ 2-3 คนที่เรานับถือ บางคนก็เรียกได้ว่าเป็น idol ของเรามาก่อน (เคยเป็น idol, แต่ตอนนี้ไม่ใช่) เพราะท่านผู้นี้ก็แก่มากแล้ว 60 กว่าๆ เราเจอกันที่วัดแห่งหนึ่ง พี่ J ไปปฏิบัตธรรมที่นั่น 7 วัน เผอิญว่าผู้ใหญ่ท่านนี้ก็ไปทำบุญที่วัดพอดี และวิทยากรที่วัดก็เลยเชิญให้มาพูดคุยกับคนที่มาปฏิบัติธรรม เรารู้สึกว่าเรามี connection กับท่านก็เลยขอเบอร์โทร ก็โทรติดต่อกันเรื่อยมา แต่พอได้รู้จักกันมากขึ้น ได้เจอสมาชิกครอบครัวที่เต็มไปแต่เรื่องวุ่นวาย ครอบครัวที่แตกแยก มองหาความรักความอบอุ่นไม่มี มีแต่ความอิจฉาริษยา ใส่ร้ายกันไปใส่ร้ายกันมา ยิ่งเจาะลึกยิ่งรู้อะไรแปลกๆใหม่ๆ สิ่งที่เราเคยเห็น 30 นาทีตอนที่เค๊ามาที่วัด กับชีวิตจริงๆที่เค๊าเป็น มันช่างแตกต่างกันเหรือเกิน สรุปผู้ใหญ่ท่านนี้เค๊าเป็นอะไรกันแน่ จะเป็นอะไรก็ตามแต่ เราขอปลีกตัวออกห่างก่อนหละ เพราะรู้ได้เลยว่าเรานั้นมันคนละแนว

นอกเหนือจากนี้นะ ยังมีผู้ใหญ่อีกหลายคน ที่ชีวิตเค๊าหาความจริงใจกันไม่ค่อยจะมี วันๆไม่ทำอะไรหรอก นินทาคนโน้นที คนนี้ที พวกนี้ เราก็ขอปลีกตัวออกห่าง อย่าให้คนพวกนี้มาดึงฉุดเราให้ชีวิตต่ำลงอย่างที่พวกเค๊าเป็นอยู่

บางคนเหรอ ก็เห็นแต่แก่ได้ ความจริงใจและความเกรงใจไม่มี ทำอะไรก็จะคิดถึงแต่ตัวเองก่อนเสมอ นี่แหละน๊ามนุษย์เรา ถ้าคนเรารักกันจริง สนิทกันจริง จะคิดจะทำอะไร ต้องไม่เห็นแก่ได้ เห็นแก่เงิน อยากจะรู้ว่าสุดท้ายแล้ว ตายไปเนี๊ยะ จะหอบไปได้มั็ยไอ้เงินทองต่างๆที่ได้มาจากการหักหารน้ำใจคนอื่นเนี๊ยะ ชีวิตนี้คงไม่เจริญหรอกนะ เพราะสุดท้ายแล้ว เราก็ขอปลีกตัวออกห่าง พวกสูเจ้าก็จงอยู่อย่างโดดเดี่ยว จะคบกับใครก็คงไม่มีความจริงใจ อยู่โดดเดี่ยวอย่างนั้นแหละดีแล้ว because your asked for it และคนที่จะคบพวกสูเจ้าได้ ก็คงเป็นประเภทเดียวกันนั่นแหละว๊า

สรุปแล้วอายุนี่มันเป็นเพียงตัวเลขจริงๆ บางคนแก่จะหัวงอกอยู่แล้วยังทำตัวแย่ๆ ห่วยๆ มีอีกเยอะ อายุมันไม่ได้บ่งบองถึงความบรรลุนิติภาะอะไรมากมายเลยนะเนี๊ยะ เห็นแล้วอนาจใจอย่างแรง อย่างจะรู้ว่าบั้นปลายพวกควรเหล่านี้เค๊าจะเป็นยังไง

ถ้าเจะอเจอคนพวกนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่หรือแก่ ก็ขอใส่เกียร์ถอยหลังก็แล้วกันนะ......จะเอิ๊ก จะเอิีก

เออ เขียนๆมาเนี๊ยะ ขี้กากจะกินหัวป๊ะหวะ ลามปามคนแก่ แต่คิดว่าคงไม่นะ เพราะคนแก่ก็ไม่ได่ทำตัวให้ดี ให้เรานับถืออะไรเลย เราก็สระผมทุกวัน คงไม่มีขี้กากขึ้นหัวน่า ฮาาาาาาาาาาาาาาาา อย่างแรง

Saturday, February 13, 2010

ชีวิตที่ต้องมองไปข้างหน้า

เคยบ้างมั๊ย ที่มีความรู้สึกว่าตัวเองหนะจมปักอยู่แต่กับสิ่งเดิมๆ สิ่งเก่าๆ ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็แนะนำให้เงยหน้าขึ้น แล้วมองไปข้างหน้า ให้นึกถึงและวางแผนชีวิตว่าอนาคตมันจะเป็นยังไง อนาคตเราเดาไม่ได้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น แต่นั่นมันเป็นสิ่งที่ท้าทายและน่าค้นหา เราอย่าเอาชีวิตมาจมปักอยู่กับสิ่งเดิมๆเก่าๆ สี่งที่มันผ่านมาแล้ว เราแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่อนาคตสิ เราสามารถวางแผนและดัดแปลงให้เป็นในสิ่งที่เราอยากให้มันเป็นได้

เอาความผิดพลาดในอดีตและปัจจุบันมาเป็นบทเรียน เรียนรู้จากสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต อะไรที่มันผิดพลาดก็อย่าทำผิดอีกเป็นรอบที่ 2 เกิดมาเป็นคนทั้งที อย่าให้เสียชาติเกิด เรียนรู้จากสิ่งที่เกิดขึ้น แก้ไขในสิ่งที่บกพร่อง ถ้าล้มแล้วก็ต้องลุกขึ้นแล้วเดินต่อไปข้างหน้า ชีวิตต้องดำเนินต่อไป อะไรที่ผิดพลาดมาแล้วในอดีต ไม่ต้องไปฟูมฟาย โศกเศร้าเสียใจกับมันมากมาย หายใจลึกๆ แล้วก็สู้ชีวิตกันต่อไป คนเรานะ ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ ก็ไม่ควรท้อแท้หรือสิ้นหวังกับชีวิต เมื่อวานเป็นเรื่องของอดีต แก้ไขอะไรไม่ได้ วันนี้และอนาคต เราสามารถป้องกันผลกระทบต่างๆที่จะเกิดขึ้นกับชีวิตได้ ขอแต่เพียงให้เรียนรู้ที่จะมองและเดินไปข้างหน้าเท่านั้นก็เป็นพอ

อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน แต่ถ้าเราเลิกค้นหา หรือเลิกมองไปข้างหน้า เราก็จะย่ำอยู่กับที่ อยู่ที่เดิมๆ หรือบางคนที่จมปักอยู่แต่กับอดีต ชีวิตเค๊าก็จะไม่มีความเป็นปัจจุบัน เพราะชีวิตเค๊าจะยึดติดอยู่กับแต่เรื่องของเมื่อวาน โอดครวญไปก็เท่านั้น ทำอะไรไม่ได้หรอก ก็คงต้องมีวิธีเดียวแหละ คือเลิกโอดครวญกับเรื่องเก่าๆ เรื่องเดิมๆ เรื่องของอดีต เริ่มต้นใหม่วันนี้ มองไปข้างหน้า มันอาจจะสวยหรู หรือมีขวากหนามก็ตามแต่ แต่มันก็เป็นสิ่งที่น่าค้นขว้าและค้นหาไม่ใช่หรือ

วันนี้เรามาตั้งต้นกันใหม่ มองไปข้างหน้ากันเถอะ มันคงจะต้องมีอะไรที่เราจะได้เจอะเจออีกเยอะ แต่นั่นมันก็เป็น part of life มิใช่หรือ :)  เกิดมาแล้วก็ต้องสู้ แล้วเดินหน้ากันต่อไป

Friday, February 12, 2010

lost identity

ที่นี่ พี่ J สังเกตุน้องๆ เด็กๆคนไทยบางกลุ่ม กลุ่มนี้คือเด็กจริงๆ ส่วนมากอายุก็อยู่ในวัยเรียน high school มีหลายคนเหลือเกินที่มาอยู่ที่นี่ เพราะว่าแม่แต่งงานใหม่กับฝรั่ง พอแม่ย้ายมาอยู่ที่นี่ แม่ก็จะคิดเอาง่ายๆว่า อยากเอาลูกมาอยู่ที่นี่ด้วย เพื่อที่ลูกจะได้มีชีวิตที่ดีขึ้น ลูกจะมีชีวิตที่ดีขึ้นหรือเปล่านั้น เราไม่รู้หรอก แต่เท่าที่สังเกตุดูเด็กๆกลุ่มนี้ก็คือ

  • เด็กๆกลุ่มนี้ ไม่ได้มาจากฐานครอบครัวที่ร่ำรวยอะไรมากมาย ส่วนมากก็เป็นเด็กมาจากต่างจังหวัด ภาษาอังกฤษ ก็ไม่ได้ดีอะไรมากมาย พ่อแม่ก็คงคิดเอาง่ายๆว่า เอามาเรียนที่นี่เดี๋ยวก็ได้ภาษาอังกฤษเอง ถามว่าได้ภาษาอังกฤษมั๊ย ก็คงได้แหละนะ แต่จะเป็นภาษาพูดมากกว่า คือเอาเป็นว่า พูดจา สื่อสารรู้เรื่อง แต่จะให้เขียนหรืออ่านในห้องเรียนเนี๊ยะ ก็คงจะไม่ได้ดีเท่าที่ควร
  • เมื่อเด็กๆมีปัญหาในเรื่องของภาษา ก็จะทำให้เรียนไม่ทันเพื่อนในห้อง กลายเป็นปมด้อยไป หลายคนพอจบ year 10 (ม.4) ก็เลิกเรียนหนังสือไปเลย ออกมาทำงานล้างจานตามร้านอาหารไทยทั่วๆไป โรงเรียนที่นี่บังคับเรียนถึง year 10 แต่ก็ได้ยินข่าวมาแว่วๆว่า กฏหมายใหม่จะบังคับเรียนถึง year 11
  • บางคนนอกจากจะเรียนในห้องไม่รู้เรื่องแล้ว แถมพุดคุยกับเพื่อนๆในห้องไม่ค่อยรู้เรื่องด้วย สุดท้ายก็คบหาสมาคมกับเพื่อนๆที่เป็นฝรั่งไม่ได้ เค๊าก็จะจับกลุ่มกันเฉพาะเด็กเอเชีย หรือไม่ก็เด็กไทยล้วนๆไปเลย
  • หลายคนที่ drop ออกจากโรงเรียนตอน year 10 ชีวิตเค๊าก็จะลอยไปลยอมา ดูไร้จุดหมาย วันๆก็ไม่รู้จะทำอะไร เดินเล่นไปเรื่อยเปื่อย งานก็ใช่ว่าจะได้มีทำกันทุกวันไปสะทุกคน
เห็นแล้วก็หดหู่ใจ สรุปแล้ว นี่มันกลายเป็น พ่อแม่รังแกฉัน หรือเปล่า เพราะถ้าเด็กเหล่านี้ยังอยู่ที่เมืองไทย อาจจะอยู่กับพ่อหรือใครก็ตามแต่ เค๊าก็อาจจะได้มีโอกาสเรียนหนังสือไปเรื่อยๆ อาจจะไม่ drop เรียนออกมาก็ได้ แต่มันก็เป็นแค่อาจหละนะ เพราะมันต้องมีปัจจัยอะไรต่อมิอะไรอีกหลายอย่าง

ดูๆไปแล้วเด็กกลุ่มนี้ ถึงแม้จะอยู่เป็นคน local ที่นี่ ก็ดูเหมือนจะ lost identity ของตัวเอง จะทำตัวเป็นเหมือนเด็กออสซี่ทั่วๆไปก็ไม่ใช่ จะทำตัวเป็นเด็กไทย หรื๊อก็ไม่ใช่อีก เออ สงสัยจะเป็น lost identity จริงๆ

เห็นแล้วก็กลุ้มใจแทน

ช่วงนี้น้อง J. Jr เปิดเรียนแล้ว พี่ J ก็คอยเทียวรับเทียวส่ง ไปโรงเรียน โรงเรียนที่นี่เลิกบ่าย 3 ซึ่งเราก็ต้องคอยไปรับ ปกติแล้วเราก็จะสังเกตุคนที่มารับลูกนะ ว่าแต่ละคนเป็นยังไงบ้าง กิริยาท่าทางเป็นยังไง การแต่งตัวเป็นยังไง เพราะโดยนิสัยส่วนตัวแล้วชอบเรียนรู้การใช้ชีวิตของคน เราก็สังเกตุเห็นผู้ชายคนหนึ่งแหละ ไม่รู้ว่ามารับลูกหรือรับหลาน เพราะดูเค๊าก็ดูมีอายุนิดหนึ่ง ดูๆแล้วน่าจะประมาณ 50 ที่นี่สังเกตุอายุฝรั่งยาก เพราะฝรั่งโดยส่วนใหญ่แล้ว แก่เร็ว หรือบางคนก็มีลูกช้ามาก บางคนมีลูกกันตอนประมาณ 40

ส่วนผู้ชายคนนี้ เค๊ามีอะไรน่าสนใจเหรอ คือเค๊าออกจะเซอร์ๆ hippy นิดๆ ไว้ผมยาว ขนาดแก่สะขนาดนั้นนะ และที่สำคัญคือ ช่วงหน้าร้อนเค๊าจะใส่เสื้อกล้ามสีดำ รู้สึกว่าทุกครั้งที่เจอ เค๊าก็ใส่ชุดนี้ กางเกงตัวนี้ เสื้อกล้ามตัวนี้ ชุดนี้เห็นบ่อยมาก ใส่ซ้ำกันหลายวันหรือเปล่าเราไม่รู้นะ เพราะไม่เกี่ยวกับเราอยู่แล้ว

ปกติเราก็ไม่ได้สนใจอะไรมากมาย เพราะต่างคนก็ต่างยืนรอลูกใครลูกมัน หรือว่าหลานใครหลานมันก็ว่าได้ แต่คราวนี้ เราไม่อยากเกี่ยวก็ต้องเกี่ยวแหละครับ เพราะเมื่อวันพุธที่ผ่านมา เมื่อเกี๊ยะ 2 วัน เค๊ามานั่งข้างๆเรา เค๊ามาไสตล์เดิมๆครับท่าน คือกางเกงยีนส์สีดำ เสื้อกล้ามสีดำ ผอมๆ พอนั่งลงข้างๆเราเท่านั้นแหละ สิ่งที่เราเห็นก็คือ ขนใต้ลักแล้ครับ ยาวเฟื้อยเลย "เห็นแล้วก็กลุ้มใจแทน" จริงๆมันก็ไม่ได้กลิ่นโชยอะไรหรอกนะ แต่ว่ามันเป็นวิวที่ไม่สวยงามเหรอเกิน ไอ้เราก็ไม่ได้อยากไปเห็น ไปมองอะไรหรอกนะ แต่นี่ he แบบว่ามานั่งข้างๆเลย เห็นแล้วก็ วัยรุ่นเซ็งเลยครับงานเนี๊ยะ ขนลักแล้ยาวๆ เปียกๆแฉะๆ อยากจะลุกไปนั่งที่อื่นแต่ก้ไม่กล้า เพราะกลัวเสียมารยาท เดี๋ยวหาว่าเรารังเกียจเค๊า

อยากจะรู้เหลือเกินว่า ทำไมนะคนเราเนี๊ยะ จะก้าวขาออกจากบ้านทั้งที จะไม่ลองดูการแต่งตัวของตัวเองหน่อยเลยเหรอ กระจกที่บ้านเนี๊ยะ มีให้ส่องหรือเปล่าเนี๊ยะ สงสัยอย่างแรง ยังไงก็เกรงใจสายตาคนอื่นนิดหนึ่ง สงสารคนรอบข้างเถอะหนะ ยิ่งช่วงนี้หน้าร้อน เดินมาเหงื่อเยอะๆเนี๊ยะ ขนลักแล้ยาวๆเปียกๆเนี๊ยะ ช่างเป็นภาพที่ไม่สวยงามเลย

ก็ได้แต่หวังว่าน้องๆหนูๆทั้งหลายแถวนี้ ไม่เอาเป็นเยี่ยงอย่างนะ ไม่ดีครับ ไม่งามหูงามตาเป็นอย่างยิ่ง ไม่แนะนำ จะก้าวขาออกจากบ้านหนะ แต่งตัวให้ดูดีงามหูงามตานิดหนึ่ง อย่าซกมกจะจน แบบว่าโลกเบี้ยว อะไรแบบเนี๊ยะ ไม่แนะนำเป็นอย่างยิ่ง

อยากทำอะไรเพื่อตัวเองมั่ง

หลายครั้งเหลือเกินที่เราทำโน่นทำนี่เพื่อคนอื่นมาโดยตลอด น้อยครั้งมากเลยที่จะได้ทำอะไรให้กับตัวเองสะที

สมัยก่อนตอนที่ทำงานบริษัท เราก็ไม่อะไรมากมายกับคนอื่นนะ นอกจากคนในครอบครัว แต่ตอนนี้สิ เราทำธุรกิจ เป็นเจ้าของกิจการ ชิวิตหลายๆคนขึ้นอยู่กับเรา เราทำอะไรหลายๆอย่างเพื่อพวกเค๊าเหล่านั้น แต่ เราลืมทำอะไรเพื่อตัวเองหรือเปล่าเนี๊ยะ ดูๆไปแล้ว ทำใมนะ รู้สึกว่าชีวิตทั้งชีวิตนี้ เราเป็นผู้ให้มาโดยตลอดเลย ใครที่มีปัญหา ต้องการความช่วยเหลือ ก็วิ่งแห่มาขอความช่วยเหลือทันที พอหมดธุระเหรอ เค๊าก็สะบัดตูดหนีแล้วหละ ปลง และชินชาเสียแล้วหละ

จริงเหรอ ที่ต้นไม้ใหญ่ต้องเป็นที่พักพิงของนกน้อยทั้งหลายแหล่ แล้วใครหละจะมาดูแลต้นไม้ใหญ่ คงเป็นหมาที่มาอึและฉี่ทิ้งเอาไว้ให้เป็นปุ๋ยเหรอ (เออ ดีนะเนี๊ยะ คิดอะไรได้ ณ ตอนนี้ ก็เขียนออกไปอย่างนั้น) ตอนนี้ก็เขียนไป หัวเราะไป มีความสุข เออ สรุป เราคงจะมีความสุขเพราะอึหมาหละมั๊ง แต่มองไปรอบๆ ก็แทบจะไม่เห็นหมาตัวใหนมันมาอึหรือฉี่ให้เป็นปุ๋ยเลย

ทำอะไรเพื่อคนอื่นมาเยอะแยะแล้ว อยากทำอะไรเพื่อตัวเองมั่ง อยากคิดถึงตัวเองก่อนมั่งจะได้มั๊ย
ต่อแต่นี้ไป ขอดูแลตัวเองก่อนก็แล้วกัน เพราะสุดท้ายแล้ว ถ้าเราไม่ดูแลตัวเองก่อน เราก็คงไม่มีกำลังไปดูแลใครเค๊าได้หรอก พอแล้วกับการเบียดเบียนตัวเอง บางทีก็เบียดเบียนตัวเองเพราะความสงสาร เพราะความใจอ่อน สรุปแล้ว เค๊าเห็นความดีของเราหรือเปล่ายังไม่รู้เลย แต่ก็อย่างว่าแหละ ภาษิตโบราณกล่าวเอาไว้ว่า "หว่านพืช อย่าหวังผล" เราก็ไม่ได้หวังผลอะไรหรอกนะ แต่รู้สึกว่าหว่านพืชไปเยอะเหลือเกิน ต่อไป คงไม่ขอหว่านแล้วหละ จะเอาเมล็ดมันมากินเองเลยซะให้สะใจ จะได้ไม่ต้องหว่านอีกต่อไป เบื่อแล้ว พอแล้ว พอที

อำนวยความสะดวกให้กับชีวิตคนอื่นมามากพอแล้ว ตอนนี้คงต้องขออำนวยความสะดวกชีวิตให้กับตัวเองมั่งแล้วหละ

Tuesday, February 9, 2010

เผื่อใจไว้นิด

หลายคนคงได้ยินมาบ้างแล้วนะ ว่าชีวิตคนเราหนะ ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ซึ่งที่พี่ J เห็นผ่านมา มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ น้องๆทุกคนมาที่นี่ พกพาความหวังของพ่อแม่ และก็ความหวังของตนเอง ถึงแม้ว่าความหวังของแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน บางคนก็มาอยู่ที่นี่ เพื่อแสวงหาชีวิตที่ดีขึ้น ที่ดีกว่าอยู่เมืองไทย หารู้ไม่ว่าชีวิตเมืองนอกที่แต่ละคนคาดหวังเอาไว้นั้น ที่มันสวยๆ หรูๆ ส่วนมากก็มาจากในหนังและละครทั้งนั้นแหละ ถามว่าชิวิตสวยๆหรูๆ ไม่มีอุปสรรคแบบนั้น มันก็มีอยู่จริง แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะประสบหรือเจอะเจอแต่สิ่งที่สวยงาม แต่สิ่งที่สมหวังกันไปหมดสะทุกคน

ดังนั้น จะคิด จะหวัง อะไรก็ตามแต่ แนะนำเหลือเกินว่า "ให้เผื่อใจไว้นิด" เผื่อใจเอาไว้สำหับความผิดหวัง สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นกับเรา อาจเป็นสิ่งที่เราไม่อยากเจอ เป็นสิ่งที่เราไม่อยากได้ ดังนั้น การทำจิตใจให้เข้มแข็งและเตรียมพร้อมสภาพจิตใจ ผลกระทบต่างๆมันก็จะได้ลดน้อยลง

คนเรานะ ให้ได้เจอกับสิ่งผิดหวังบ้างก็ดีเหมือนกัน มันจะทำให้เราเข้มแข็ง โตเป็นผู้ใหญ่ที่มีเหตุผล และคิดอ่านอะไรต่างๆได้อย่างมีเหตุมีผล เพราะถ้าคนเราไม่เคยเจอ หรือผ่านชีวิตในรสชาติต่างๆ มันก็เหมือนกบในกะลานั่แหละ ที่ไม่ค่อยได้เจอะเจออะไรเลย

เกิดมาเป็นคนทั้งที อย่าท้อ เจอมรสุมชีวิตอะไร ล้มแล้วให้ลุกและเดินขึ้นใหม่ ถ้าทำได้อย่างนี้ ก็ไม่เสียที ที่ได้เกิดมาเป็นคน แต่อย่างที่บอกแหละ จะคิด จะหวัง อะไร เผื่อใจไว้บ้างสำหรับความผิดหวัง เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เพราะถ้าไม่งั้นชีวิตก็คงเปราะบางและขาดรสชาติ จืดชืดไร้คุณภาพ

Saturday, February 6, 2010

ถ้าไม่คาดหวัง ก็ไม่ผิดหวัง

เคยบ้างมั๊ยที่เราไปคาดหวังกับคนรอบข้างว่าเค๊าต้องเป็นแบบนี้นะ เป็นแบบนั้นนะ เค๊าน่าจะเป็นแบบนี้ เค๊าน่าจะเป็นแบบนั้น แต่สุดท้ายก็ต้องผิดหวัง เพราะคนที่เราอยากจะให้เค๊าเป็นแบบนั้น เป็นแบบนี้ ปฏิบัติกับเราอย่างนั้น ปฏิบัติกับเราอย่างนี้ มันไม่เป็นไปตามที่เราคาดหวังเอาไว้ เพราะปกติแล้ว ความความหวังและการคาดหวังอะไรต่างๆ มันก็เป็นความคาดหวังแบบเงียบๆ มันไม่ใช่ความคาดหวังแบบเป็นลายลักษณ์อักษร เหมือนหนังสือสัญญาหรือ contract อะไรต่างๆนาๆ เพราะถ้าความคาดหวังของคนเราสามารถเขียนออกมาได้เป็นลายลักษณ์อักษร นั่นก็ไม่ใช่ความคาดหวังแล้วหละ นั่นเป็นข้อบังคับหรือการผูกมัดมากกว่า

ปกติแล้วการทำความดีกับใคร ให้ความช่วยเหลือใคร เราก็ไม่เคยหวังผลตอบแทนอยู่แหละ เพียงแต่เราอยากให้อีกฝ่ายหนึ่งรู้ถึงคุณค่ากับสิ่งที่เราทำให้ไป ชีวิตนี้มันมีแต่การให้ และการให้จริงๆเหรอเนี๊ยะ ทุกคนที่มีความทุกร้อน ไม่ว่าจะเรื่องอะไร ก็จะวิ่งมาเราตลอด พอเสร็จธุระแล้ว ปัญหาชีวิตแก้ได้แล้ว มีความสุขดีแล้ว เราก็หมดความหมายไปในทันที นี่แหละหนอมนุษย์ จะเห็นเรามีประโยชน์ตอนที่เค๊ามีปัญหาแค่นั้นจริงๆ

สุดท้ายแล้วการที่เราทำความดี ช่วยเหลือคนอื่น คนนั้นที คนนี้ที มันก็ไม่ค่อยจะมีความหมายอะไรเท่าไหร่นัก สู้เราเอาเวลาของเรามาดูแลและใส่ใจคนในครอบครัว คนใกล้ๆตัวเราจะดีที่สุด เพราะคนในครอบครัวเหล่านี้ เราไม่ต้องไปคาดหวังอะไรกับเค๊าหรอก เพราะเค๊าให้เรามากเกินที่เราหวังอยู่แล้ว ก็อยากจะฝากกับทุกคนไว้ตรงนี้ว่า อยากจะทำความดี ไม่ต้องไปทำอื่นไกล ทำกับคนใกล้ๆตัวเราก่อน ลูก สามี ภรรยา พ่อ แม่ พี่ น้อง ลุง ป้า น้า อา ปู่ ย่า ตา ยาย ดูแลคนที่ใกล้ตัวเราที่สุดก่อน ก่อนที่จะไปดูแล หรือช่วยเหลือคนอื่น เพราะสุดท้ายแล้ว คนที่รักและเป็นห่วงเราที่สุดก็จะเป็นคนในครอบครัวเรานี่แหละ it's call unconditional love... :)

จะสังเกตุว่า เราคาดหวังอะไรกับคนในครอบครัวเรา เราก็ไม่ค่อยดจะผิดหวัง
ตอนนี้ ไม่ค่อยคิด ไม่ค่อยหวังอะไรกับคนอื่นแล้วหละ มันเป็นอะไรที่ไม่จีรังยั่งยืนจริงๆ
ถ้าเราไม่ไปคาดหวังอะไรกับใคร เราก็ไม่ผิดหวัง
ตอนนี้ขอมีความสุขกับครอบครัวไปวันๆ ก็มีความสุขดีอยู่แล้ว

Friday, February 5, 2010

กบในกะลา มันร้องอ๊บอ๊บ

พอดีช่วงนี้พี่ J ว่างจากการทำงาน และการเรียน ก็เลยได้มีโอกาสเข้ามาเขียน blog ให้ชาวบ้านชาวช่องเค๊าอ่านกัน
เอาหน่า อ่านเล่นๆ ขำๆ สนุก ไม่ซีเรียส อาจมีแอบเสียดสีบ้างเล็กน้อย พอเป็นกระสัย

วันนี้ขอเขียนถึงเรื่องของ กบ ก็แล้วกัน แต่เผอิญว่า ไอ้เจ้ากบตัวนี้ ไม่ใช่กบธรรมดาทั่วไปครับ เพราะเค๊าเป็นกบในกะลา
กบในกะลาเหรอ อืมมมมมมมมมมม ก็จะมีวิสัยทัศน์แคบๆนะ เพราะโลกทั้งใบของเขา มันก็อยู่แค่ในกะลาแค่นั้นเองจริงๆ
กบในกะลา ไม่ค่อยรู้เรื่องโลกภายนอกอะไรกับเค๊าหรอก เพราะวันๆก็ กิน นอน ขอ สระอี ไม้โท อยู่ในนั้น (สะกดเองนะ สะกดกันได้ป๊ะเนี๊ยะ)
กบในกะลา ก็จะความคิดในแบบของเค๊าเอง แบบกบๆหนะ ก็เพราะอยู่แต่ในกะลา เค๊าก็จะคิดว่าโลกของคนอื่นจะเหมือนกับโลกของเขา เพราะว่าเค๊าไม่เคยได้ไปสัมผัสโลกของคนอื่นเลย เพราะโลกที่เค๊ามี มันก็มีอยู่แค่ในกะลา กว้าง สูง ยาว ก็เท่าๆที่พวกเราเห็นแหละ นั่นหละ โลกของน้องกบเค๊าเลยนะ

กบในกะลา ส่วนมากก็จะพึงพอใจ กับกะลาที่เค๊ามีอยู่
ณ ตรงจุดนี้ พี่ J ก็ว่าดีนะ เพราะเค๊าก็คงจะมีความสุขของเค๊า ความสุขแบบกบๆหนะ และเค๊าก็ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ซึ่งตรงนี้ ก็ดี แต่ถ้าเลือกที่จะเป็นกบในกะลา เวลามีคนมาชี้แนะแนวทาง นำแสงสว่างมาให้ กบก็น่าจะรับฟังสักนิดหนึ่งก็ยังดี อันนี้ก็สืบเนื่องมาจาก blog ก่อนๆ ไม่ว่าจะเป็น เรื่องของบัว เรื่องหยักในสมอง และ เรื่องที่ คนเรานั้นได้มาไม่เท่ากันจริงๆ

กบในกะลา ฟ้าก็คงให้มาไม่เท่ากันจริงๆ เพราะถ้าไม่งั้น คงไม่มีกบทั้งนอกและในกะลาหรอก เพราะพี่ J ไม่เข้าใจเลยจริงๆว่า ทำไมกบบางตัว ถึงได้ชอบจังเลยที่จะอยู่ในกะลา

ไอ้เรานะ บางทีเห็นกบนะ ก็อยากเหลือเกินที่จะเปิดกะลาให้เค๊าได้ออกมาข้างนอกบ้าง ได้สัมผัสกับโลกภายนอก มีวิสัยทัศน์ใหม่ๆ กว้างกว่าเดิม แต่โอพระแม่เจ้า กบบางตัวคงเกิดมาเพื่อที่จะอยู่ในกะลาจริงๆ สงสัยคงเป็นกรรมเก่าหละมั๊ง ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เราก็คงต้องปล่อยวางแล้วหละ คงต้องแล้วแต่กรรมใครกรรมมันที่สร้างกันมา เพราะถ้าเรามัวแต่มายุ่งอยู่กับกบ เราก็คงไม่ได้ทำอะไรเลย สุดท้ายครับ เราก็ต้องปล่อยวาง และเราก็จะได้ดำเนินชีวิตของเราต่อไปอีก ชีวิตนี้มีอะไรที่ต้องทำอีกเยอะแยะ สุดท้ายแล้ว เราก็คงต้องปล่อยกบให้อยู่ในกะลานั้นต่อไป อาจจะเป็นกะลาเคลือบทองก็ได้นะ ขำกลิ้ง :)

Wednesday, February 3, 2010

ชีวิตออกแบบได้

ชีวิตเราทุกคน เราสามารถออกแบบได้ว่าเราต้องการยังไง อยากดำเนินชีวิตแบบใหน ทุกอย่างเรากำหนดเองได้หมด ไม่ต้องรอฟ้า หรือใครมากำหนดให้เรา

จริงๆแล้วสมการชีวิตเป็นสมการง่ายๆ ง่ายกว่าสมการทางคณิตศาสตร์อีก
ถ้าอยากโง่ ก็ไม่ต้องเรียนหนังสือ
ถ้าอยากสอบตก ก็ไม่ต้องอ่านหนังสือ เที่ยวเยอะๆ นอนดูหนัง ดู TV/DVD เยอะๆ เล่นเกมส์บ่อยๆ chat MSN ทุกวัน
ถ้าอยากจน ก็นอนอยู่บ้าน ไม่ต้องทำงาน
ถ้าทำงาน แต่ไม่อยากมีเงินเก็บ ก็ใช้จ่ายเยอะๆ
ถ้าอยากเป็นหนี้ ก็ให้ใช้จ่ายเกินกำลัง หาได้ 10, ใช้ 11 อะไรทำนองเนี๊ยะ
ถ้าเป็นคนชอบโกหก ก็ต้องจำให้ได้ว่าโกหกอะไรไปบ้าง เพราะถ้าจำไม่ได้ แล้วมาพูดไม่ตรงกัน พี่ J แนะนำให้ไปให้ไกลๆ อย่าเข้ามาใกล้ ให้วุ่นวาย เด็กๆหนะ จะไปกระโดดยางที่ใหนก็ไป ไป๊

ในทางกลับกัน

ถ้าอยากฉลาด ก็ต้องไปโรงเรียน ไปเรียนหนังสือ (สมัยนี้เค๊าเรียนกันที่บ้านก็ได้แล้ว)
ถ้าอยากสอบผ่าน ได้คะแนนดีๆ ก็อ่านหนังสือเยะๆ ดู TV/DVD น้อยๆ ไม่เล่นเกมส์ และ chat MSN ให้น้อยลง
ถ้าไม่อยากจน ก็ต้องรู้จักขยันทำมาหากิน ไม่ขี้เกียจ นอนอยู่บ้าน หายใจทิ้งไปวันๆ
ถ้าอยากมีเงินเก็บ ก็ต้องประหยัด สิ่งใดไม่ควรซื้อก็อย่าไปพิไรซื้อ หามาได้ 10 เก็บก่อน 3 ที่เหลือ อีก 7 ก็ค่อยซื้อก็แล้วกัน
ถ้าไม่อยากเป็นหนี้ ก็ต้องไม่ใช้จ่ายเกินกำลัง หาได้ 10 ห้ามใช้เกิน 10 บัตรเครดิตที่มีหนะ พยายามอย่าใช้เลย ถ้าใช้ พอสิ้นเดือน บิลมา ก็ต้องจ่ายให้หมด
ถ้าอยากให้คนรัก คนชอบ ก็ต้องเรียนรู้ที่จะรักคนอื่นก่อน
ถ้าอยากจะเป็นผู้รับบ้าง ก็ต้องเป็นผู้ให้ก่อน ถ้าไม่เคยเป็นผู้ให้เลย แล้วจะเป็นแต่ผู้รับฝ่ายเดียว ชีวิตมันก็ไม่ balance นะ

สมการชีวิต คิดง่ายๆ ไม่เห็นยากตรงใหน ออกจะตรงไปตรงมาดี
พี่ J ได้ออกแบบชีวิตที่ตัวเองต้องการแล้ว แล้วคุณๆ น้องๆทั้งหลายหละ ออกแบบชีวิตตัวเองหรือยัง เลือกหรือยังว่าจะดำเนินชีวิตไปยังไง เลือกหรือยัง วันนี้ทางเดินของคุณ