Saturday, July 17, 2010

ความรวย กับ ความสุข

หลายๆคนคิดว่า ความรวยจะมาคู่กับความสุข แต่ถ้าได้มีเวลานั่งพิจารณาดูแล้ว ก็รู้ว่า จริงๆแล้วความสุขนี้มันอยู่ที่ใจของเราจริงๆ อยู่ที่ตัวเราว่าเราจะทำตัวให้เรามีความสุขได้อย่างไร ความสุขนั้นอยู่ไม่ไกล เพียงแต่เราต้องมองหาให้เจอ เพราะความสุขจริงๆนั้นอยู่รอบๆข้างเรานี่แหละ ไม่ต้องมองหาไปใหนไกล ความสุขในชีวิตนั้นสามารถสร้างขึ้นเองได้ไม่ยาก

ความรวยไม่ได้มาคู่กับความสุขเสมอไป ความรวยหมายถึงการมีเงินทองเยอะๆ อยากซื้ออะไรก็สามารถซื้อได้ เงินก็สามารถสนองตัญหาได้แค่ชั่วครู่ แต่ยืนยาวมั๊ย พี่ J คิดว่าไม่นะ มองดูหลายๆคนที่อยู่รอบข้างเราสิ คนที่มีตังค์เยอะ เค๊ามีความสุขที่แท้จริงหรือเปล่า หลายๆคนดิ้นรนหาเพิ่ม หาเพิ่ม เพราะไม่รู้จักพอ หลายคน die young ไม่มีโอกาสได้ใช้เงินที่ตัวเองหามาตลอดชีวิต ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับคนใกล้ตัวเรา แล้วเราก็จะรู้สึกถึง impact ต่างๆ อย่างแท้จริง บางคน ยังไม่เคยเจอเหตุการณ์อะไรแบบนี้ หรือบางคนก็เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้กับคนรอบข้าง แต่ไม่เคยสังเกตุ ไม่เคย reflect ก็คงมองไม่เห็น คิดไม่เป็น คิดไม่ออก ว่าจริงๆแล้ว ความสุขคือการมีชิตอยู่วันนี้ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพราะเราไม่รู้ว่า พรุ่งนี้จะมาถึงมั๊ย เงินทองมีแค่พอใช้ และไม่เป็นหนี้ ก็ถือว่ารวยแล้วหละ ไม่ขัดสนมาก ก็ถือว่าโอเคแล้ว

แต่ก็ไม่ได้ความว่าพี่ J แนะนำให้เรางอมือ งอเท้า ไม่ทำมาหากินนะ เพราะถ้าทุกคนรู้จักพี่ J จะรู้ว่าพี่ J ไม่ใช่คนแบบนั้นแน่นอน พี่ J เองทำงานเยอะ แต่ก็รุ็จักพอ รู้จักพักผ่อน และ enjoy life ให้จำไว้เสมอว่า work life balance นั้นสำคัญ ถ้าเรา balance ชีวิตเราได้ ก็ถือว่า ชีวิตมีความสุขแล้วหละ

พี่ J ก็หวังว่าให้น้องๆทุกคน รู้จักคำว่า "พอ" แต่ไม่ขี้เกียจ หาได้พอกินพอใช้ มีเหลือก็เก็บสะสมไว้ใช้ภายภาคหน้า มีเหลือก็เผื่อแผ่กับคนรอบข้าง แบ่งปันให้ผู้มีอุปการคุณ พ่อ แม่ และพี่น้อง แค่นี้ ถ้าทำได้แค่นี้ น้องๆก็ถือว่า "รวย" แล้วหละ ให้จำไว้เสมอว่า เรามาแต่ตัว เราก็ไปแต่ตัวนะ ตอนตายไปหนะ เอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง อย่าสร้างหนี้ให้คนข้างหลังเค๊าลำบากก็พอแล้ว

Thursday, July 15, 2010

รู้หน้า ไม่รู้ใจ

ช่วงนี้เป็นอะไรไม่รู้ รู้สึกว่า inspiration ในการเขียนจะออกมาในแนวแปลกๆ เพราะสังคมที่เราอยู่กันทุกวันนี้ มันเป็นสังคมแปลกๆ สังคมแคบๆ โดยเฉพาะคนไทยที่อยู่แถวๆ Wollongong เดินไปเดินมา ก็ชนกันแล้วหละ คนไทย เรื่องของคนนั้น เรื่องของคนนี้ ก็จะรู้จักกันทั่วไปหมดเลย ดังนั้น ใครพูดอะไรออกไป ให้ระวังไว้ให้ดีเหลือเกิน อยู่กับปัจจุบัน อยู่กับตัวเอง สบายใจที่สุด

ล่าสุด พี่ J ก็ได้มีโอกาสไปเจอ พี่คนไทย/ลาว คนหนึ่ง ที่เคยรู้สึกกันมานาน เกือบๆ 10 ปี ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันอยู่ แต่ด้วยความที่ว่า โลกนี้มันคงแคบจริงๆ จู่ๆเราก็มาเจอกันอีก หลังจากที่ห่างหายกันไปหลายปี ก็เคยได้ยินแต่ข่าวแปลกๆของแก พอมาเจอกันคราวนี้ แกก็มีข่าวคราวมาเล่าให้ฟัง โดยที่ทั้งๆที่เราไม่อยากฟัง เพราะเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ด้วยมารยาทอันงดงามที่ติดตัวพี่ J มาตั้งแต่เกิด (ขอหยอดนิดหนึ่ง) เราก็เลยทนๆนั่งฟังแกไป ยิ่งแกพูดออกมามากๆ เราก็ยิ่งรู้ว่าแกเป็นคนยังไง

คนเรานะตอนที่เค๊ารัก ชอบ พอ อยู่กับใครหละก็ ทุกอย่างดูดีไปหมด เหมือนพี่คนนี้ที่สนิทกับใครคนหนึ่ง และก็ทำงานด้วยกันกับใครคนนั้น เอาเป็นว่าใครนั้นเป็นนายจ้างก็แล้วกัน ตอนที่รักกัน สนิทกัน ทุกอย่างดูดี สวยงาม หวานแหวว กล่าวถึงกันแต่ละครั้ง ฟังดูดีไปหมด แต่มาวันนี้ทุกอย่างดูเปลี่ยนไป เพราะพี่คนนี้ตอนนี้จะมาเปิดทำธุรกิจตัวเดียวกัน เหมือนกับคนคนนั้น และอยู่ใกล้กันด้วย ตอนนี้พอเวลาเค๊าพูดถึงอีกฝ่ายหนึ่งเหรอ จากแต่ก่อนที่มีแต่สิ่งดี หวานๆ ตอนนี้ กลายเป็นเทสาดเทเสียกันไปหมด ฟังดูแล้ว ก็เหม็นๆ เน่าๆ ยังไงไม่รู้ เราฟังแบบก็ได้แต่ทำเป็นหูทวนลม

เนื่องด้วยว่าเราไม่รู้เรื่องอะไรเลย เพราะขาดการติดต่อกันมาหลายปี พอมาได้ยิน ได้เจอ แบบนี้ ก็รู้สึกว่า เออ คนเราก็แปลกนะ เปลี่ยนกันไปได้ขนาดนี้ จากที่เคยรักกัน ตอนนี้กลายเป็นอื่นเสียแล้ว จริงๆก็ไม่เกี่ยวกับเราหรอกนะ เพราะเราก็ไม่เคยไปยุ่งเกี่ยวกับใครอยู่แล้ว แต่มาเจอคนประเภทนี้ที่ชอบเทสาดเทเสียใส่คนอื่น จะจริงหรือไม่จริง เราไม่รู้ และก็ไม่อยากรู้ด้วย แต่พอมาได้พบได้เจอ แล้วก็อนาจใจแทน

คนเราเนี๊ยะ มันรู้หน้า ไม่รู้ใจจริงๆ
อันตรายครับอันตราย คนแบบนี้ขอห่างไกล ดีที่สุด

Thursday, July 8, 2010

สุดท้ายแล้ว คนที่สำคํญที่สุดในชิวิตเราคือใคร

หลายๆคนเคยถามคำถามเหล่านี้กับตัวเองบ้างมั๊ยว่า "สุดท้ายแล้ว คนที่สำคัญที่สุดในชีวิตเราคือใคร"

น้องหลายๆคน อาจยังอยู่ในวัยระเริง คงยังไม่ได้เคยถามคำถามแบบนี้กับตัวเอง เพราะตอนนี้กำลังสนุกสนานกับชิวิต และเพื่อนๆ

แต่สำหรับตัวพี่ J เองแล้ว ประสบการณ์หลายๆอย่างในชิวิตมันสอนให้เรารู้ว่า สุดท้ายแล้ว ก็คนที่อยู่ใกล้ตัวเรานี่แหละ สำคัญที่สุด คือทุกคนในครอบครัวครับ อันนี้ก็แล้วแต่ definition ของใครของมันว่า คำว่า "ครอบครัว" นั้น ขอบเขตอยู่ตรงใหน

ส่วนเพื่อนที่สนิทๆ 5-6 คนที่เมืองไทย ก็ถือว่าเป็นเพื่อนรัก มีแค่นี้ก็พอใจแล้ว มีมากปวดหัวมาก แต่ตอนนี้ทุกคนก็ต่างคนต่างมีครอบครัวกันไปหมด เพื่อนที่อยู่ที่ Australia และเพื่อนๆ international รอบโลก ก็มีเยอะแยะ มากมายเหมือนฝูงลิง เพื่อนๆ inter เจอกัน เรียนด้วยกัน และก็แยกย้ายกันไป ติดต่อบ้าง ไม่ติดต่อบ้าง แต่คิดว่าจะเดินทางไปประเทศใหนรับรองมีเพื่อนฝูงมากมายอยู่แล้ว

ส่วนเพื่อนๆที่อยู่ที่นี่ ที่ Australia ก็มีหลายรูปแบบ ส่วนมากจะเป็นรูปแบบที่ว่า เวลาเค๊ามีความสุข เค๊า happy เค๊าก็จะอยู่ของเค๊าดีๆนั่นแหละ ไม่ได้โทรหา หรือถามข่าวคราวอะไรมากมาย แต่เมื่อไหร่ที่เห็นเบอร์โทรเข้ามือถือ นี่คือรู้ได้เลยว่า เค๊าต้องการความช่วยเหลือ ไม่เรื่องนั้น ก็เรื่องนี้หละ ชินชาสะแล้วหละ ซึ่งส่วนมากก็จะเห็นเราเป็นที่ปลดทุกข์น๊อ แต่ เออ ก็ดี เราก็พอทำตัวให้เป็นประโยชน์กับคนนั้นที คนนี้ทีได้บ้าง ดังนั้น ทุกวันนี้ เห็นเบอร์ใครโทรมาก็เฉยๆแล้วหละ รับทันก็รับ ถ้ารับไม่ทันก็เฉยๆ ซึ่งถ้าเป็นสมัยก่อน เมื่อยังละอ่อนอยู่หละก็ ใครโทรมา รับหมดครับ ดึกดื่น เที่ยงคืน คือชอบแก้ปัญหาให้กับชาวบ้านว่างั้นเถอะ อีกแนวหนึ่งคือ หาเหาใส่หัว

ทุกวันนี้ ชิวิต เรียบๆง่ายๆ เลิกหาเหาใส่หัวแล้วจ้า
มีความสุขไปวันๆกับคนที่เรารัก ก็พอแล้ว ชิวิตไม่ต้องการอะไรมากมาย ขอแค่วันนี้มีความสุข และทำวันนี้ให้ดีที่สุดก็พอใจแล้ว เพราะเราก็ไม่แน่ว่า พรุ่งนี้จะมาถึงหรือเปล่า

Wednesday, July 7, 2010

สิ่งเล็กๆน้อยๆที่คนมองข้ามกัน

พี่ J ห่างหายไปจากการเขียน blog ไปพักหนึ่ง เพราะปลีกตัวไปเรียน และงานประจำก็รัดตัว
ตอนเนี้เสร็จการเรียนที่ busy ไปแล้วยกหนึ่ง ก็คงจะกลับมา contribute ให้กับ blog นี้เหมือนเดิม ก็แวะเวียนเข้ามาอ่านได้เรื่อยๆนะครับ

วันนี้ก็ขอเขียนอะไรที่หลายๆคนมองข้ามกัน เพราะคิดกันว่าเป็นสิ่งง่ายๆ เล็กๆน้อยๆ ไม่สำคัญ
นั่นก็คือขับรถผ่าเส้นทึบห้ามเลี้ยว ปกติแล้วถนนที่หน้าบ้านพี่ J จะเป็นเส้นทึบห้ามเลี้ยวขวา คือออกมาจากถนนหน้าบ้าน ก็ต้องเลี้ยวซ้ายอย่างเดียว แต่ปกติทุกคนที่อยู่แถวๆนั้นก็พากันขับรถเลี้ยวขวากันทุกคน เพราะนั่นเป็นทางเข้าเมือง จะไม่มีใคนขับออกซ้ายเพื่อไปกลับรถกลับมากัน เพราะขี้เกียจ และเสียเวลา หรือเอาง่ายๆก็คือมักง่ายกันนั่นแหละ

จนมีอยู่มาวันหนึ่ง พี่ J ขับรถไปส่งลูกที่โรงเรียน และ ลูกก็เริ่มโตแล้ว ลูกก็บอกว่า "Daddy drive illegally" เป็นไงหละครับท่าน อึ้งไปเลย เราเป็นผู้ใหญ่ซึ่งควรจะต้องทำตัวให้เป็นตัวอย่าง เป็น role model ให้กับลูก หลังจากนั้นมานะ พี่ J ก็จะขับรถตามกฏจราจรมากขึ้น อาจไม่ตลอด แต่ถ้าวันใหนมีลูกนั่งข้างหลังมาด้วย ต่อให้เราต้องวนรถ เราก็ต้องทำ เคารพกฏจราจ และทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ลูกๆ แต่ตอนนี้ก็เริ่มแล้วหละ เริ่มติดนิสัยดีๆแล้วหละ วนรถนิดหนึ่งก็ไม่เป็นไร สบายใจและปลอดภัยกว่ากันเยอะเลย ไม่ต้องคอยระวังตำรวจด้วย :)