Saturday, December 31, 2011

generation เขี่ย

อะไรเอ่ย "generation เขี่ย"?

สงสัยจะเป็นศัพท์ใหม่จาก พี่ J แฮะ
เปล่าหรอก ก็ปี 2011 เนี๊ยะเป็นปีแห่ง technology จริงๆ เดินไปใหนต่อใหน มองไปทางใหน ก็จะมีแต่คนใช้ tablet และ touch screen phone พอว่างปุ๊บก็จะนั่งเขี่ยกันทันที

และหนึ่งในนั้นก็รวม พี่ J เข้าไปด้วย

โลกเปลี่ยน กาลเวลาเปลี่ยน ทุกอย่างเปลี่ยน จะมีอะไรที่น่าสนใจในปี 2012 ให้เราได้ติดตามมั๊ยเนี๊ยะ

Sunday, December 25, 2011

facebook กันจังเลย

แหม 2011 สมัยนี้ ยุคนี้ เป็นยุคของ social media network ครับพี่น้อง ไปใหนก็เจอแต่คนใช้ facebook พูดจาอะไรออกมาก็ facebook

facebook ก็ดีนะ ถ้ารู้จักใช้ เพราะจุดประสงค์ของ facebook และพวก social media network ทั้งหลาย ก็เพื่อทำให้เราติดต่อ connect และ re-connect กับเพื่อนๆและครอบครัว แต่ก็เหมือนกับทุกอย่างในชีวิต it's should be moderate คือควรเดินทางสายกลาง ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป

จะมีกี่คนที่รู้ว่า ทุก post ที่ post ลงไปใน facebook นั้น ได้ถูก save ถาวรไว้ใน server ของ facebook ต่อให้เรา delete post นั้นๆ มันก็แค่หายไปจาก wall page แต่ทาง facebook ก็ยัง save copy post นั้นๆของเราอยู่ และก็จะไม่มีการลบข้อมูลทิ้งเลย

สาเหตุที่ facebook เก็บข้อมูลเราไว้ถาวรนั้นก็เพื่อทำการวิเคราะและวิจัย research ว่า consumer behavior ของเราเป็นยังไง เพื่อทาง facebook จะได้ show advertisement ให้ตรงกับ profile ของเรา นั่นคือธุรกิจของ facebook คือขายโฆษณา จะไปว่าเค๊าก็ไม่ได้ ก็เค๊าทำการค้านี่ ถ้าไม่ชอบ ก็ไม่ต้องใช้ จบเรื่อง

สมัยนี้ใครๆก็ใช้ smartphone กัน สามารถใช้ facebook ผ่านมือถือกันได้ เด็กๆนักเรียนของพี่ J เองก็ใช้ facebook กันจนสะไม่เป็นอันเรียน

customer หลายๆคนที่มาทานข้าวที่ร้านก็เหมือนกัน มานั่งกินข้าวที่ร้านอาหารกับเพื่อนๆ หรือ family นะครับ แต่นั่งเล่น facebook.... hmm...แล้วอย่างนี้มานั่งทานข้าวด้วยกันทำไมเนี๊ยะ

ที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือ 2-3 วันที่ผ่านมา มีลูกค้า 4 คน (4 สาว) มานั่งทานข้าวด้วยกัน และก็มีลูกค้า 2 คน ที่นั่ง comment ของ facebook ซึ่งกันและกัน ไอ้เราหรึก็ได้แต่ดูและฟัง conversation ของทั้ง 2 คน เพราะลูกค้าโต๊ะนี้นั่งอยู่ใกล้ counter มาก ปรากฏว่า 2 คนนั้นเริ่มทะเลาะกันเรื่องที่เค๊า comment each other ใน facebook เราก็แปลกใจว่า ก็นั่งอยู่โต๊ะอาหารเดียวกัน แล้วทำไมต้อง facebook กันด้วย งงครับพี่น้อง

และที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือ 2 คนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะเริ่มมีปากมีเสียงกันเล็กน้อย เริ่ม bitch about each other comment on facebook และคำพูดคำจาก็เริ่มหยาบขึ้นเรื่อยๆ ก็นั่งอยู่กันตรงข้ามแท้ๆ จะ facebook ไปหากันทำไมเนี๊ยะเธอ แบบนี้เค๊าเรียกว่า เป็นเอามาก....


Saturday, December 24, 2011

เพชรในตม

1 เทอมที่ผ่านมา พี่ J ได้มีโอกาสไปสอนโรงเรียนชายล้วนแถว South West Sydney โรงเรียนแถวๆ South West Sydney เป็นที่รู้กันว่า เป็นแหล่งที่โรงเรียนมีปัญหา แต่พี่ J ก็ไป เพราะเราเคยสอนโรงเรียนในแถบที่มีปัญหาแถวๆ Wollongong มาแล้ว 2 เทอม

พอเริ่มสอน week แรก ทุกคนก็ถามและ comment ว่า next week เราจะกลับมาหรือเปล่า แต่เราก็อยู่ได้รอดจนครบเทอม

โรงเรียนที่ทุกคนบอกว่า rough school หนะ มันเป็นแค่ perception และ perception ก็ can be very deceiving..พอพี่ J ได้ไปสัมผัสจริงๆ โรงเรียนที่ทุกคนบอกว่า rough หนะ โถ ไม่ได้ rough อะไรมากมายเลย เพราะเราเจอที่ rough กว่านี้มาสองเทอมเต็ม และที่สำคัญก็คือ พี่ J ไปสอน week แรก ก็รีบจัดการ จัดระเบียบเด็กๆเลยทันที เด็กคนใหนดื้อ หรือไม่เรียนในห้อง เพราะพี่ J สอนวิชาคอมพิวเตอร์; Computing Studies พี่ J ก็จะสอนในห้อง computer lab ตลอดเลย พวกที่เค๊ามาแล้ว มาเล่น facebook หรือ YouTube ก็จะโดนพี่ J โทรไปหาพ่อแม่ และรายงานที่บ้านทันที และก็จะโดน bad record ใน system ของทางโรงเรียนทันที

พี่ J ไปสอนได้แค่อาทิตย์เดียว เด็กที่ชอบคิดว่าตัวเองเจ๋ง ตัวเองเก่ง พี่ J ก็เอาอยู่หมัดเลย เพราะเด็กพวกนี้กลัวพี่ J จะโทรกลับบ้าน เพราะเค๊ารู้ว่า ถ้าพี่ J โทรกลับบ้าน เค๊าต้องโดนที่บ้านเล่นงานแน่นอน และแล้ว เด็กก็เริ่ม spread the word ว่า พี่ J เนี๊ยะ โทรไปที่บ้านนะ เด็กๆก็จะไม่ค่อยกล้าหือกับพี่ J เท่าไหร่

จากๆที่ได้ฟังมาจากครูคนอื่น สาเหตุที่เด็กดื้อก็เพราะ ครูคนก่อนไม่ค่อยเข้มกับเด็กนักเรียนเท่าไหร่ ไม่เคยโทรไปบ้านเลย ไม่ค่อย record behavior ของเด็กลงใน system เลย เด็กนักเรียนก็เลยไม่ค่อยกลัว

จริงๆแล้วการที่เราโทรไปที่บ้าน หรือ record behavior ของเด็กลงใน system เนี๊ยะ มันก็กินเวลาของเราหนะนะแต่ก็เป็นผลดีในระยะยาวคือ เราสามารถจัดการเรื่อง classroom management ได้ พอเราจัดการเรื่อง classroom management ได้ มันก็ได้มีการเรียนการสอนเกิดขึ้น และที่สำคัญ พี่ J ก็ได้รู้จักเด็กนักเรียนหลายๆคน โดยเฉพาะเด็ก year11/12 (ม.5/6) ที่พี่ J ต้องสอนทุกวัน

จริงๆแล้ว โรงเรียนที่ถูกคนบอกว่า rough และบอกว่าโรงเรียนแถว South West Sydney จะเป็นเหมือนกันหมดเลยนั้น พี่ J ขอค้านครับว่าไม่จริง ต้องให้ลองไปสัมผัสดู และบางคนก็บอกว่า โอ้ ยิ่งเป็นโรงเรียนชายล้วน และอยู่แถบ  South West Sydney ด้วยหละก็ ยิ่งไปกันใหญ่ ก็เข้าใจแหละ คือเด็กเค๊าไม่ได้ดีกันไปหมดทุกคนเหมือน selective school เด็กก็มีแบบเหี๊ยวๆบ้าง แต่ภายในโคลนตมนั้น มันก็ยังมีเพชรที่รอการค้าหาอยู่ there is a diamond in the mud, waiting to be found....

เด็กหลายๆคนอยากจะเรียน แต่เด็กผู้ชาย ก็อาจมีดื้อบ้าง แต่ก็ไม่ได้ดื้อไปหมดสะทุกคน และที่น่าประทับที่สุดก็คือ เด็ก year11 ประมาณ 4-5 คน อยู่ในกลุ่มเดียวกัน จะไปใหนมาใหนกันเป็นก๊วน เวลาอยู่ในห้องก็จะพูดเสียงดัง แต่พอบอกให้จดงาน เค๊าก็จะพากันจด ดูจากภายนอกแล้ว เหมือนจะเป็นกลุ่มเหีํยว แต่ลึกๆ deep down inside แล้ว เค๊าก็ตั้งใจเรียนเหมือนกัน เพียงแต่เค๊าจะนั่งนิ่งเงียบเหมือนเด็กเรียน หรือเด็กหนอนหนังสือไม่เป็นก็แค่นั้นเอง เวลาอยู่นอกห้องเรียน พวกเค๊าก็จะตะโกนโหวกหวาก เวลาพูดจากับครู ก็ไม่มีหางเสียง ไม่มี sir, ไม่มี please

แต่พี่ J ไม่ได้ blame เด็กพวกนั้นเลยครับ เพราะที่โรงเรียนนี้ ไม่ได้ enforce เรื่องนี้เลย เรื่องมารยาทและการใช้ชีวิตอยู่กับคนอื่นในสังคมเนี๊ยะ ครูที่นี่ก็ไม่ได้เน้นเรื่องนี้ แต่เด็กใน class ของพี่ J ใครอยากได้อะไร อยากขออนุญาติอะไร ต้องมี please ต้องมี sir ตลอด ไม่งั้นพี่ J ก็ให้พูดใหม่ เด็กๆหลายคนก็เริ่มชิน และเห็น improvement อย่างชัดเจน

ก็มีเด็กนักเรียนหลายคน ที่ show some appreciation ว่าที่เราเข้มงวดกับพวกเค๊าเนี๊ยะ เพราะว่าเรา care และหวังดี เราทำหน้าที่ของเราอย่างเต็มที่ ไม่ได้แค่สักแต่ไปโรงเรียนวันๆแล้ว waiting for the bell at 3pm

เด็กๆหลายคนเริ่มที่จะสนิท และพูดจามีกาลเทสะมากขึ้น respect มากขึ้น จากนักเรียนที่เจอ week แรก ดูแล้ว rough มาก ก็กลายเป็น little angel ได้ เราซึ่งเป็นอาจารย์ ถึงแม้จะสอนแค่ 1 term ก็อดที่จะดีใจไม่ได้ เพราะรู้ว่า สิ่งที่เราทำไป that is really could change sometime life, or touches someone heart in some certain ways...

From now on, I will always remember that, "there is always a diamond, in the mud".

Saturday, July 16, 2011

เทวดา กับหนูหริ่ง

เทวดา Oz: อันท้องป่องๆนั้น ท่านได้แต่ใดมา

หนูหริ่ง: อ๋อ คืนนั้น ลืมตัวค่ะ ให้เค๊าเอาแบบไม่ได้ใส่ถูง

เทวดา Oz: อ้าว แล้วไม่คิดเหรอ ว่าถ้าท้อง หรือเกิดอะไรขึ้น พ่อแม่จะเสียใจ

หนูหริ่ง: ก็ไม่คิดว่าจะท้อง ก็มันกำลังมันส์ กำลังสนุก หยุดไม่ได้ ท่านเป็นเทวดา ไม่รู้หรอกว่าความมันส์เป็นยังไง พ่อกับแม่อยู่ที่เมืองไทย ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรหรอกค่ะ

เทวดา Oz: แต่นี่ พ่อแม่ก็ส่งมาเรียนไม่ใช่เหรอ

หนูหริ่ง: ก็เรียนด้วย เที่ยวด้วย สนุกดี อยู่เมืองนอกต้องใช้ชีวิตให้คุ้ม ได้นอนกับฝรั่ง ถูกใจอย่างแรง คิดว่าแม่คงไม่ว่า เพราะฝรั่งหล่อ รวย

เทวดา Oz: แต่ฝรั่งก็ไม่ได้หล่อ รวย กันไปทุกคนนะ

หนูหริ่ง: แต่คนหนี้หล่อ รวยจริง หนูชอบ

เทวดา Oz: สรุปคือ วัตถุนิยมว่างั้นเถอะ

หนูหริ่ง: นิตส์หนึ่ง แบบว่า ห้ามใจไม่อยู่

เทวดา Oz: เออ แต่ง ก็ยังไม่ได่แต่ง ไม่ได่อยู่ด้วยกันด้วย แล้วจะบอกพ่อแม่ยังไง

หนูหริ่ง: ก็คงจะโกหกไปเรื่อยๆหนะค่ะ เดี๋ยวโกหกว่าไปจดทะเบียนแล้ว อะไรประมาณเนี๊ยะก็ได้ โอ๊ย แม่ไม่รู้หรอก ตามหนูไม่ทันหรอก หนูออกจะเก่ง

เทวดา Oz: เก่งผิดทางหรือเปล่าหนะเธอ

หนูหริ่ง: ไม่หรอก ท่านเทวดาขา ไม่ต้องห่วงหนูนะค่ะ I am a big girl ค่ะ ดูแลตัวเองได้ แฝนหนูเค๊าดีค่ะ เค๊าต้องรับผิดชอบ เค๊าไม่ใช่พวก "ฟันแล้วทิ้ง" หรอกค่ะ

เทวดา Oz: ขอให้จริงเถอะหนู

หนูหริ่ง: รับรองได้ค๊าาาาาาาาาาาาา

เทวดา Oz: เออ แต่ไม่ค่อยเห็นแฟนหนูเลยนะ

หนูหริ่ง: เค๊า busy ค่ะ businessman

เทวดา Oz: เค๊า busy จริงเหรอ ไม่ใช่ "ฟันแล้วทิ้ง" นะ

หนูหริ่ง: โอ๊ย ท่านเทวดาขา เลิกคุยดีกว่ามั๊ยค่ะ เปลี่ยนเรื่องเถอะค่ะ
....
....
....
เรื่องจะเป็นยังไงต่อ ไม่มีใครรู้ จุ๊... จุ๊... จุ๊...

Friday, July 15, 2011

เฉพาะคนที่ทำงานทางด้าน "immigration" ถึงจะเข้าใจ

หลังจากที่ทำงานทางด้าน "immigration" มาได้สักระยะหนึ่ง ผมก็ได้สังเกตุเห็นปรากฏการณ์อย่างหนึ่ง นั่นก็คือ หลายๆคนพยายามแทบจะทุกวิถีทางเพื่อที่จะได้ PR หรืออยู่ที่นี่อย่างถูกต้อง อย่างถาวร หลายๆคนอยากอยู่ที่นี่ เพื่อชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น หรือไม่ก็เหตุผลส่วนตัวอีกหลายๆอย่าง

แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีอีกหลายคนที่ได้ PR หรือได้มาอยู่ที่นี่ได้ไม่ยากนัก โดยเฉพาะเด็กๆที่ติดตามแม่มาอยู่ที่นี่ เพราะแม่แต่งงานใหม่กับสามีฝรั่ง ง่ายๆ สั้นๆ คือลูกแทบไม่ได้ทำอะไรเลย เพราะแม่ดิ้นรนและดำเนินเรื่องทุกอย่าง คนเรานะพอได้อะไรมาง่ายๆ ก็มักไม่เห็นคุณค่า ก็ใช้ชิวิตไปวันๆ ไม่เรียน ไม่ทำงาน รอเงิน support จากรัฐบาล

ซึ่งก็ตรงกันข้ามกับคนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งมีความรู้ความสามารถ มีการศึกษาดี แต่ต้องรอเข้าคิว กว่าเรื่อง PR จะได้ทำการ

ก็อยากเหลือเกินนะครับ ขอร้องคนที่ได้ PR กันหลายๆคน ให้เห็นคุณค่าของ PR ที่ท่านได้มา (อย่างง่ายดาย)กันนิดหนึ่ง เรียนหนังสือ ทำงานทำการ จ่ายเงินภาษีให้กับรัฐบาล ทำเป็นให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมนิดหนึ่ง ตอบแทนบุญคุณประเทศและแผ่นดินที่มาอาศัยเค๊าอยู่กันหน่อย อย่าทำตัวเป็นปลิง ที่คอยแต่จะดูดเลือด ขอเงินรัฐบาลกิน สงสารคนที่เค๊าทำงาน จ่ายเงินภาษี support พวกคุณกันหน่อย หรือไม่ก็เห็นใจคนอีกหลายๆคนที่เค๊าอยากจะได้ PR กันมั่ง

สาธุ

Wednesday, July 13, 2011

ใหนๆผลเลือกตั้งก็ออกมาแล้ว ก็ขอร้องอย่าให้มีการชุมนุม หรือประท้วงก็แล้วกัน

เลือกตั้งที่เมืองไทยก็เพิ่งจะผ่านมาหมาดๆ เราก็ไม่ค่อยได้ติดตามเท่าไหร่หรอกนะ เพราะการกระจายข่าวที่นี่ ไม่ค่อยทั่วถึงเลย รู้สึกว่าเฉพาะคนไทยที่เมื่องใหญ่ๆอย่างซิดนีย์และ capital cities ต่างๆที่ได้รับข่าวสารเต็มที่ และได้รับบริการจากหน่วยงานของรัฐบาลไทยที่นี่ คนไกลเมืองอย่างเราๆก็เลยหมดสิทธิ์เลย ก็เลยไม่ได้ไปออกเสียงเลือกตั้งเลย

เอาเถอะ ใหนๆผลเลือกตั้งก็ออกมาแล้ว ไม่ว่าจะเสื้อแดง หรือเสื้อเหลืองได้เป็นรัฐบาล ก็ขอร้องอย่าให้มีการชุมนุม หรือประท้วงก็แล้วกัน เพราะที่ผ่านๆมา เบื่อเต็มทีแล้ว

ใครได้เป็นรัฐบาล ก็ให้เค๊าลองบริหารประเทศไปก่อนเถอะ อย่าประท้วง ชุมนุม หรือเผาเมืองกันอีกเลย สงสารประเทศนิดหนึ่ง

โดยส่วนตัวแล้ว พี่ J ไม่เลือกสี ไม่เข้าข้างใคร และไม่ค่อยอยากจะออกความคิดเห็นทางการเมือง ไม่อยากคุยเรื่อง politic เพราะทุกคนมีความคิดของใครของมัน และความคิดของแต่ละคนก็ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน พี่ J ก็จะพยายามหลีกเลี่ยง topic นี้เท่าที่จะทำได้ แต่ก็อยากจะให้คนไทยทำอะไรเคารพกฏกติกากันหน่อยก็แล้วกัน รู้แพ้ รู้ชนะ ถ้าแพ้ก็ต้องหันมามองว่า ที่ผ่านมาคุณทำอะไรผิดพลาดไปหรือเปล่า มีอะไรที่ควรจะปรับปรุง เรียนรู้ในสิ่งที่พลาดไป มองไปในอนาคต และอย่ามัวแต่จะโทษหรือจับผิดคนอื่น

ถ้าชนะก็ทำงานให้ดีๆก็แล้วกัน อย่ามัวแต่หาผลประโยชน์ใส่ตัวเองหรือคนรอบข้าง เพราะไม่งั้นทุกอย่างก็กลับมาเหมือนเดิมคือ ทหารเข้ามาทำการรัฐประหาร ทุกอย่างก็กลับมาเข้าวงจรเดิมๆ

Monday, July 11, 2011

Material Culture; how the academic staff at university dress

Material Culture; how the academic staff at university dress; part of my weekly journal LING210's work @UOW

One of the “material culture” that I am not familiar with, is how the academic staff at university dress. Seems that there is no clear dress code for academic staff at university. Some could wear very nice and presentable, while some could wear smart casual, some wear very casual and some even go extreme that considered to be quite “sloppy” or under-dressed. Guess that it is really up to each individual preferences.

From Thai culture perspective, we view lecturer or academic staff as “knowledgeable” and honorable occupation. The way academic staff wears should be projected as respectable and presentable. However, it doesn’t have always to be suit or necktie. It can be something nice and polite as black pants, shirt and black leather shoes. It is understandable that the life style here in Australia is viewed as an “easy going”. However, as a lecturer or academic staff at university, wearing t-shirt with a hole and slipper with untidy hair is just too much to bear.

Again, having say that, I am accept and respect each individual choice of their wardrobe. I am pointing this out as the difference between Thai culture and Australian culture. I wish for nothing to be changed, as I am accept thing as the way things are. But one just have to be aware of the differences, that is all. Just hope that the lecturers here know what to wear when they have a chance to give a lecture or seminar in Thailand. Otherwise, that can be quite embarrassing as well.

It is harsh reality that people can easily be judged from their appearance or image. But, guess that we just have to go with the flow. That is how we survive in the society.

Sunday, July 10, 2011

Media communication, part of my LING210's work at UOW

Link: http://www.youtube.com/watch?v=nojWJ6-XmeQ&NR=1 


This condom advertisement has been circulated via email a few years ago. It had made available on the Internet via YouTube as well. There is no clear evidence of this advertisement neither went on-air nor banned. This advertisement seems to target the European audiences. Most of people might find this advertisement humorous. I am one of them. This advertisement is quite popular as well, as it has more than 2 millions views on YouTube.

Although I find this advertisement quite humorous one, partly because of my generation and I have been living overseas and explode to Western culture for long. Sex, condom and liberated lifestyle is very much part of Western culture. However, thinking of elderly and whole society back home in Thailand. This advertisement will not even got a chance to be produced, let alone to be on-aired. The advertisement agency will never come up with this kind of controversial advertisement. Most of Thai society is somehow associate “condom” to premarital sex or casual sexual intercourse, which is not acceptable in Thai culture. It is almost taboo to have a premarital sex. However, premarital sex and casual sexual intercourse seems to be more acceptable in Western culture. It is easily can be seen from this advertisement.

Although, sex education has been taught in school in Thailand. Casual sexual intercourse and premarital sex has never been encouraged. However, the tendency of casual sexual intercourse among the new generation are higher than the previous generation. For us; young generation, we are more open and explode to this kind of media. If my parent or most of Thai adult saw this advertisement, I don’t think they will appreciate this kind of advertisement or this kind of humorous media. Thai culture will never allow this. This is clear that the differences of opinions and way of thinking toward this advertisement is influenced by different cultural background; Western culture versus Asian culture, or even younger generation versus older generation.

Saturday, July 9, 2011

Personal Intercultural Encounter & Australian Value; part of my LING210 work at UOW

In regard to national value or Australian value, I am personally encounter this issue myself. I am an Australian citizen, however, was born in Thailand and decided to be part of Australia after studied here. Among friends and classmates, I still very much refer myself as a “Thai” person. However, when dealing with government agency, I will refer myself as an “Australian” and will produce my Australian passport together with my driver license as part of my ID. That is just for formality.

I have a few friends who were born in Australia, but still call themselves Chinese among Asian friends. However, call themselves Australian among their Australian friends and classmates. Surprisingly, not many of them called themselves Chinese-Australian or Asian-Australian. It seems that what they want to call themselves is really depends on the situation and group of friends that they are dealing with, at that point in time. Those who were born here are easily identified, just listen to their accent!!!

Since 9-11 attack in US, Australian government has tighten its border and migration policy. Its enforced all visa applicants to acknowledge the Australian way of life in their visa application form. The “Australian Value” and “Way of Life” had been a centred of political debate for quite sometime. And here we are discuss about the “truly Australian” issues.

It is hard to determine “what is” or “who is” can be “truly Australian”. It is really depends on their upbringing, family, education and people they are associate with. I have a friend who are 2nd generation Australian, however, he doesn’t seems to care much about being Australian or being Asian. He just live his life as per normal. That is also apply to myself, as a 1st generation Australian. There are other more important things in life than just worry about being Asian or being Australian. Guess that we just have to go with the flow and live our lives as it is. We just have be aware of the environment surrounding us. If we go out with Asian friends, perhaps, we just have to represent ourselves as an Asian. In the same way, if we go out with Australian friends, perhaps, we just have to represent ourselves as an Australian. It might seems hard at first, however, it is become easy once we used to it.

Friday, July 8, 2011

I friend you, no more...

จากการสังเกตุของพี่ J ด้วยสมองอันปลาดเปลื่อง และสายตาที่ว่องไว
พี่ J สังเกตุเห็น ปรากฏการใหม่ของ facebook, คือเด็ก generation facebook จะ display and dedicate his/her love อย่างเปิดเผยกับคนที่เค๊ารัก

เค๊าก็จะเขียนบน wall ของคนที่เค๊ารักว่า ฉันรักเธอนะ อย่างโง้นอย่างงี้ คิดถึงนะ ทานข้าวหรือยัง เข้าห้องน้ำอย่าลืมกดชักโครกนะ อะไรประมาณเนี๊ยะ

ฉันรักเธอ
เธอรักฉัน
เรารักกัน
ซู่ซ่า ซู่ซ่า

แต่พอมาวันหนึ่ง เมื่อความสัมพันธุ์เปลี่ยนไป อ้าว delete ออกจาก friend list สะละ ที่เขียนๆอะไรต่อมิอะไรบน facebook wall กลายเป็นอดีตไปเสียแล้ว
นี่แหละน๊า เด็ก generation facebook...

Tuesday, July 5, 2011

feel so good...to be an "early person"

ตั้งแต่ พี่ J ได้ไปเป็นอาจารย์สอนเด็ก High School อะไรต่อมิอะไรก็ต้องเปลี่ยนไป lifestyle หลายๆอย่างก็ต้องเปลี่ยน และทุกอย่างที่เปลี่ยนแปลง ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น หนึ่งในนั้นก็คือการที่ต้องเข้านอนตั้งแต่หัววัน และตื่นแต่เช้า เพราะ high school ที่นี่เริ่มเข้าเรียนกัน 8:30am ครูก็ต้องไปให้แต่เช้า

สมัยก่อน เมื่อยังละอ่อนอยู่นั้น พี่ J ก็นอนดึก เพราะต้องอ่านหนังสือเรียนด้วย ตอนนี้ก็เปลี่ยนวิธยายุท มาเป็น นอนเร็ว ตื่นแต่เช้า อ่านหนังสือตอนเช้า และก็เตรียมตัวไปสอน ทุกวันนี้ก็นอนไม่ค่อยเกินเที่ยงคืน สัก 5ทุ่มครึ่ง 11:30pm ก็ต้องนอนแล้ว ตื่นก็ตี5 5am อยากจะบอกว่า ตื่นตอนตี5 รู้สึกสดชื่นมาก อ่านหนังสือตอนเช้า เข้าใจเยอะกว่าอ่านหนังสือตอนดึกด้วย เพราะไม่ต้องทนฝืนเหมือนอ่านหนังสือหลังเที่ยงคืน

ตื่นแต่เช้า รู้สึกว่าตัวเองทำอะไรต่อมิอะไรได้เยอะแยะมากมาย ก็อยากให้ทุกคนลองดูนะ พี่ J ก็คิดว่า มัน healthy กว่าการที่ต้องมาฝืนอ่านหนังสือจนถึง ตี1 ตี2 สังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยง ถ้าเรารักษาและทนุทนอมมันหน่อยก็ดี มันก็จะได้รักษาเราตอนแก่ อะนะ แผลนเผื่ออนาคตนิดหนึ่ง จริงๆก็ไม่รู้หรอกว่าตัวเองจะอายุยืนสักเท่าไหร่ แต่ก็ต้อง รักษา และ ป้องกันไว้ ให้จำไว้เสมอว่า "กันไว้ดีกว่าแก้" ครับพี่น้อง

your P' J

Wednesday, June 29, 2011

ปลาหมอ ตายเพราะปาก

เคยได้ยินสุภาษิตไทยใหม ว่า ปลาหมอ ตายเพราะปาก เออ ก็สังเกตุดูหลายคนแล้วนะ พวกที่ชอบพูดแบบไม่คิดเนี๊ยะ เป็นอย่างสุภาษิตจริงๆหวะ

นอกจากพวกที่ชอบพูดแบบไม่คิดแล้วเนี๊ยะ ยังมีพวกที่ชอบพูดแบบไม่ค่อยมีข้อมูล หรือข้อมูลไม่หนักแน่นพอ หรือไม่มีความเชื่อถือ แต่ชอบเอามาพูด เพื่อที่จะหาเรื่องที่จะพูดแค่นั้นเอง

คนที่ถือศีล 8 จะรู้ว่า การที่คนเราพูดเพ้อเจ้อ พูดไร้สาระ พูดแล้วไม่เกิดประโยชน์ เนี๊ยะถือว่าผิดศีล

บางคนก็พูดไร้สาระ เพื่อ discredit คนอื่น แต่สุดท้ายแล้ว ตัวเองนั้นแหละที่กลายเป็นหมาหัวเน่า

บางคนก็พูดโน่น พูดนี่ พูดเพื่ออวดรู้ แต่ยิ่งพูดมาก อาการมันก็ส่อออกมาให้รู้ว่า จริงๆแล้ว ไม่รู้อะไรเลย คนที่มีภูมิความรู้เยอะๆหนะ เค๊าไม่พูดมากหรอก เค๊าจะชอบฟังเพื่อเก็บข้อมูลมากกว่า สุดท้ายแล้วเค๊าก็คงหัวเราะว่า ไอ้นี่ไม่รู้อะไรเลยนี่หว่า

ที่เขียนมาเนี๊ยะ ไม่ได้บอกว่าพี่ J ฉลาดกว่าใครหรืออะไรทั้งสิ้น เพียงแต่อยากแนะนำพวกบัวเหล่าต่างๆ ทั้งที่อยู่ใต้น้ำและโคลนตมว่า จะพูดอะไร ทำอะไร คิดก่อนพูด คิดก่อนทำ เสมอ ถ้าจะให้ดี ก็ให้คิดหลายๆรอบ

Long distance relationship

Long distance relationship เหรอ มีหลายคนถามความคิดเห็นของพี่ J เยอะเหลือเกิน
คงเป็นเพราะว่า เด็กๆมาเรียนหนังสือกัน แล้วจบไม่พร้อมกัน คนที่จบก่อน ก็ต้องกลับบ้านก่อน หรือหลายๆคู่ ที่เจอคนรัก ต่างชาติ พอเรียนจบก็แยกย้ายกันกลับประเทศใครประเทศมัน

hmmmm.... ไม่รู้สินะ พี่ J ไม่ค่อยเชื่อเรื่อง long distance relationship เท่าไหร่ เพราะที่ผ่านๆมา ไม่เห็นมีคู่ใหนรอดสักราย ที่เห็นก็ประมาณว่าช่วงแรกๆก็ยังติดต่อกันดีอยู่ พอนานๆไป การติดต่อก็จะค่อยห่างออกไป ความเหงา ความว้าเหว่ อะไรหลายๆอย่างก็จะเริ่มเข้ามาแทนที่ เหลียวหันซ้ายหันขวา ก็จะเริ่มเจอคนใหม่ อะไรต่อมิอะไรก็เริ่มจะเปลี่ยนไป

เอาเป็นว่าง่ายๆ มนุษย์เราหนะ เป็นสัตว์สังคม อยู่คนเดียวไม่ค่อยได้ แล้วยิ่ง ช่วงอายุ 20-29 ด้วยนะ อยู่ในช่วง "วัยเจริญพันธุ์" ครับพี่น้อง คนที่อยู่ในช่วงอายุนี้ ต้องการเดินจูงมือกับใครสักคน ต้องการใครสักคนนอน"คุยกัน"อยู่ข้างๆ ต้องการที่จะต้องนอนเบียดกับใครสักคน ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน อะไรประมาณเนี๊ยะ ถ้าคน 2 คนอยู่ห่างกัน อะไรต่างๆที่กล่าวมามันก็ทำกันไม่ได้ ต่อจะให้มี Skype, facebook, MSN หรือ technology อะไรต่างๆก็เถอะ มันก็ไม่เหมือนกัน มันไม่เหมือนกันกับ my hand touch your hand, my body touch your body นะ

ให้จำไว้เสมอนะว่า คนในช่วงวัยเจริญพันธุ์ อะไรต่อมิอะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้ อะไรหลายๆอย่าง hormone หลายๆอย่าง ความต้องการหลายๆอย่าง มันสามารถทำอะไรให้เกิดขึ้นได้ เหมือน ไฟ กับ น้ำมัน!!!

คนห่างไกลกันมันก็เหมือนกับ ไฟ ห่างจากน้ำมัน ไม่นาน ไฟก็คงดับ
ถ้าไฟ ได้เจอน้ำมัน อันใหม่ ใกล้ๆ ไฟก็อาจจะหันเหไปติดน้ำมัน อันใหม่ได้
ตรงจุดนี้ให้พึงระวัง ไว้ให้ดี......

จุ๊...จุ๊...จุ๊...

Monday, April 11, 2011

ถ้าเค๊าได้พูดถึงเราแล้วมีความสุข ก็ปล่อยให้เค๊าพูดเถอะ

คงเคยได้ยินแล้วสินะว่า "การนินทากาเล เหมือนเทน้ำ ไม่ชอกช้ำเหมือนเอามีดไปกรีดหิน" อะไรประมาณนี้ เอ๊ะ ไม่แน่ใจว่าจำได้ถูกต้องหรือเปล่านะ แต่ ก็นั่นแหละ anyway เอาเป็นว่าเรารู้กันก็พอ LOL

เคยบ้างมั๊ยที่บางทีเราโดนคนโน้น คนนี้เอาเราไปเม๊าท์โดยที่เราก็ไม่รู้ตัวเลย มารู้อีกที ก็แบบว่า อะไรวะ แสรดดดดดด ไม่เคยรู้จักกันเลย ไม่เคยคุย ไม่เคยเห็นหน้า เอาตูไปเม๊าท์สะแล้ว

ก็ไม่เป็นไรครับพี่น้อง สาเหตุที่เราไม่รู้จักเค๊า ไม่คบเค๊า คงเป็นเพราะว่า พวกเขาเหล่านั้น จัดอยู่ในหมวดหมู่ "ไม่มีค่าพอที่จะรู้จัก หรือจะคบ" ส่วนจะวัดค่ากันตรงใหน ก็ standard ใคร standard มัน ก็แล้วกัน แต่ standard ฉัน ไม่เหมือนใครแน่นอน!!!

เอ๊ะ....จุ๊...จุ๊...จุ๊... แล้วถ้าเป็นคนที่เรารู้จักหละ
อ๋อ ก็ไม่เป็นไรเช่นกัน ความกล้าเค๊าคงติดลบ ต่อหน้า ไม่กล้าเม๊าท์ ต้องเม๊าท์ทีเพลอ เอ๊ะนี่มันพวกชอบแทงข้างหลังนี่หว่า เธอ... เธอ... ฝากดึงมีดตรงหลังฉันออกหน่อยสิ หลายเล่มเลยหวะ แต่มีดเธอไม่ค่อยคมหนะ เพราะฉันไม่รู้สึกอะไร เพราะเรามีเสื้อเกราะกันมีดหนะ

แต่ก็ไม่เป็นไร ไม่ว่าลมปากเหม็นๆของใคร จะมาจากด้านใหน ทั้งที่จากคนที่รู้จัก และไม่รู้จัก เราก็ถือเสียว่า เราได้ทำให้ใครบางคนเค๊ามีความสุข เค๊าคงมีความสุขที่เค๊าได้พูดถึงเรา ได้เม๊าท์เรา หรือไม่ก็คิดถึง... แต่คิดถึงแบบนี้ ก็ไม่ดีนะ... :)

ถ้าคนที่เค๊าเม๊าท์เราแล้วเค๊ามีความสุข ใบหน้าเบิกบาน หัวเราะแจ่มใจ เลือดลมสูบฉีดไหลเวียนดี เฮ้ย... แสดงว่าเราได้บุญนะเนี๊ยะ ที่เราทำให้เค๊ามีสุขภาพแข็งแรง อายุยืน แต่อายุยืนแบบนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่หนักแผ่นดินหรือเปล่านะ อะนะ อันนี้ เก็บไปคิดกันเอาเอง

เราหนะ ปล่อยวางแล้ว แล้วท่านหละ ปล่อยวางมันแล้วบ้างหรือยัง

ไปแล้วนะ จุ๊...จุ๊...จุ๊.. แล้วก็ไม่ต้องคิดถึงหละ

Tuesday, March 8, 2011

แม่แย่ๆ แบบนี้ก็มี

พี่ J ยังไม่ได้หายไปใหนครับพี่น้อง เผอิญว่าเพิ่งกลับมาจาก holiday ที่เมืองไทย ก็เลยยุ่งๆเคลีรย์งาน ตอนนี้มหาลัยก็เปิดเทอม ก็เลยต้องยุ่งๆทั้งเรื่องเรียนและทำงาน

เอาหละมาเข้าเรื่องของเราดีกว่า

เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อเช้าพี่ J เดินไปที่ bank ก็พอดีเดินผ่านคาเฟ่ขึ้นชื่อแห่งหนี่งของเมือง ก็เห็นภาพที่แสลงสายตาเหลือเกิน เพราะสิ่งที่เห็นก็คือ แม่นั่งดูดบุหรี่ที่โต๊ะอาหาร โดยที่มีลูกเล็กนั่งข้างๆ แค่นั้นยังไม่พอครับพี่น้อง แม่ก็ดันพ่นควันขึ้นฟ้า และก็หันมาทางลูกด้วยนะ เราก็อดที่จะคิดใจในไม่ได้ว่า เออ แม่แย่ๆแบบนี้ก็มีด้วยเว๊ย รู้สึกว่าคุณเธอจะมีสัญชาติญาณของความเป็นแม่น้อยเหลือเกิน

อยากจะดูดบุหรี่หนะ ก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ แต่ไม่น่ามาผ่นควันใส่ลูกเลย แค่นี้ก็คิดเองไม่ได้ ไม่น่าเป็นแม่คนเลย ให้ตายเถอะ

พี่ J ก็ได้หวังเหลือเกินว่า ใครก็ตามที่อ่าน blog นี้ก็อย่าเอาไปเป็นแบบอย่างก็แล้วกัน

With Love,
P' J

Thursday, January 27, 2011

คนเค๊านินทา เพราะว่าเค๊าคิดถึง

เคยหรือไม่ที่เรามารู้ที่หลังมาโดนนินทาโน่น นินทานี่ แล้วเราก็เก็บเอามาคิด เอามาใส่ใจ
จริงแล้วการที่เราโดนนินทา หรือถูกนินทาโน่น นี่ นั่น ก็คิดสะว่าทำบุญ สงเคราะห์ได้พวกคนปากเปราะก็แล้วกัน เพราะถ้าเค๊าได้พูดถึงเราแล้ว เค๊าสบายใจ เค๊ามีความสุข ก็ถือสะว่าเราได้ทำบุญให้กับเพื่อนร่วมโลกก็แล้วกัน เพราะเค๊าอัดอั้นตันใจ ไม่กล้าพูดอะไรตรงกับเรา ก็เลยแอบเอาไปพูดข้างหลัง

ถ้าจะมองในแง่ดี ก็คิดสะว่าเค๊าคงคิดถึงเรา ไม่งั้นเค๊าคงไม่พูดถึงเรา อะนะ

ทุกวันนี้ พี่ J เหนื่อย และปล่อยวางแล้วหละ ได้เห็น ได้ยิน รับรู้ แล้วก็ปล่อยวางฮะ ไม่เก็บเอามาใส่ใจ แก่แล้ว เริ่มปล่อยวาง จิตใจก็ได้เป็นสุข จะเอิ็ก จะเอิ็ก อยู่กันอีกไม่นาน ก็คงจะตายจากกันไป

ความสุขที่ไม่จำเป็นต้องซื้อมาด้วยเงินทอง

ช่วงที่พี่ J เขียน blog อยู่ช่วงนี้ เป็นช่วงที่มาพักผ่อนที่เมืองไทย มาเพื่อที่ได้ใช้เวลาอยู่กับพ่อ แม่ และญาติและทุกคนที่เคยเลี้ยงดูเรามา และมาคราวนี้ก็ได้มีโอกาส ไปต่างจังหวัด ไปให้ในหมู่บ้าน ที่สมัยหนึ่ง เราก็เคยไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น ถึงแม้ว่าจะเคยไปอยู่ไม่นาน มาคราวนี้ได้มีโอกาสไปไหว้ผู้สูงอายุหลายๆคน

อยู่แค่ช่วงเวลาสั้นๆ ก็เลยต้องแวะที่โน่นที ที่นี่ที บินกันให้ทั่วเมืองไทยไปเลย
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเวลาแค่ช่วงสั้นๆ แต่ก็มีความสุขเหลือเกิน ความสุขที่ได้กลับมาใช้วิชีตเดิมๆ เหมือนตอนเป็นเด็ก แค่นั่งอยู่ที่บ้านกับคุณย่า ก็มีความสุขเหลือล้นแล้ว ไม่ต้องการออกไปเที่ยวที่อื่น ไม่ต้องการออกไปเที่ยวภูเขา เที่ยวดูโน่นดูนี่ เพราะเคยเที่ยวมามากพอแล้ว ทำอะไรในชีวิตมามากพอแล้ว เดินทาง เที่ยวที่โน่น เที่ยวที่นี่มามากพอแล้ว มันหยุดแล้ว มันหมดแล้วกับความอยาก

อยู่ที่บ้านได้ทานข้าวทุกมื้อกับที่บ้านก็มีความสุขเหลือล้น คงไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นตัวหนังสือได้ มันเป็นความสุขที่อธิบายไม่ได้ ผู้รู้ก็คงรู้ได้เฉพาะตน ที่มีความสุขก็เพราะว่า ที่บ้านรอนานเหลือเกิน 3-4 ปี กว่าจะได้ทานข้าวด้วยกันแบบนี้ เพื่อนๆที่โทรนัดกินข้าวก็ของดไปหมดเลย แตกต่างจากสมัยเด็กๆมากเลย :)

ความสุขเนี๊ยะมันไม่จำเป็นที่ต้องออกไปกินข้าว สวนเสเฮฮากับเพื่อน หรือออกไปตะลุย shopping ละลายทรัพย์เหมือนสมัยก่อนเลยนะ จริงๆแล้วความสุขมันอยู่ใกล้ๆแค่เอื้อมนี่เอง