Saturday, December 31, 2011

generation เขี่ย

อะไรเอ่ย "generation เขี่ย"?

สงสัยจะเป็นศัพท์ใหม่จาก พี่ J แฮะ
เปล่าหรอก ก็ปี 2011 เนี๊ยะเป็นปีแห่ง technology จริงๆ เดินไปใหนต่อใหน มองไปทางใหน ก็จะมีแต่คนใช้ tablet และ touch screen phone พอว่างปุ๊บก็จะนั่งเขี่ยกันทันที

และหนึ่งในนั้นก็รวม พี่ J เข้าไปด้วย

โลกเปลี่ยน กาลเวลาเปลี่ยน ทุกอย่างเปลี่ยน จะมีอะไรที่น่าสนใจในปี 2012 ให้เราได้ติดตามมั๊ยเนี๊ยะ

Sunday, December 25, 2011

facebook กันจังเลย

แหม 2011 สมัยนี้ ยุคนี้ เป็นยุคของ social media network ครับพี่น้อง ไปใหนก็เจอแต่คนใช้ facebook พูดจาอะไรออกมาก็ facebook

facebook ก็ดีนะ ถ้ารู้จักใช้ เพราะจุดประสงค์ของ facebook และพวก social media network ทั้งหลาย ก็เพื่อทำให้เราติดต่อ connect และ re-connect กับเพื่อนๆและครอบครัว แต่ก็เหมือนกับทุกอย่างในชีวิต it's should be moderate คือควรเดินทางสายกลาง ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป

จะมีกี่คนที่รู้ว่า ทุก post ที่ post ลงไปใน facebook นั้น ได้ถูก save ถาวรไว้ใน server ของ facebook ต่อให้เรา delete post นั้นๆ มันก็แค่หายไปจาก wall page แต่ทาง facebook ก็ยัง save copy post นั้นๆของเราอยู่ และก็จะไม่มีการลบข้อมูลทิ้งเลย

สาเหตุที่ facebook เก็บข้อมูลเราไว้ถาวรนั้นก็เพื่อทำการวิเคราะและวิจัย research ว่า consumer behavior ของเราเป็นยังไง เพื่อทาง facebook จะได้ show advertisement ให้ตรงกับ profile ของเรา นั่นคือธุรกิจของ facebook คือขายโฆษณา จะไปว่าเค๊าก็ไม่ได้ ก็เค๊าทำการค้านี่ ถ้าไม่ชอบ ก็ไม่ต้องใช้ จบเรื่อง

สมัยนี้ใครๆก็ใช้ smartphone กัน สามารถใช้ facebook ผ่านมือถือกันได้ เด็กๆนักเรียนของพี่ J เองก็ใช้ facebook กันจนสะไม่เป็นอันเรียน

customer หลายๆคนที่มาทานข้าวที่ร้านก็เหมือนกัน มานั่งกินข้าวที่ร้านอาหารกับเพื่อนๆ หรือ family นะครับ แต่นั่งเล่น facebook.... hmm...แล้วอย่างนี้มานั่งทานข้าวด้วยกันทำไมเนี๊ยะ

ที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือ 2-3 วันที่ผ่านมา มีลูกค้า 4 คน (4 สาว) มานั่งทานข้าวด้วยกัน และก็มีลูกค้า 2 คน ที่นั่ง comment ของ facebook ซึ่งกันและกัน ไอ้เราหรึก็ได้แต่ดูและฟัง conversation ของทั้ง 2 คน เพราะลูกค้าโต๊ะนี้นั่งอยู่ใกล้ counter มาก ปรากฏว่า 2 คนนั้นเริ่มทะเลาะกันเรื่องที่เค๊า comment each other ใน facebook เราก็แปลกใจว่า ก็นั่งอยู่โต๊ะอาหารเดียวกัน แล้วทำไมต้อง facebook กันด้วย งงครับพี่น้อง

และที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือ 2 คนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะเริ่มมีปากมีเสียงกันเล็กน้อย เริ่ม bitch about each other comment on facebook และคำพูดคำจาก็เริ่มหยาบขึ้นเรื่อยๆ ก็นั่งอยู่กันตรงข้ามแท้ๆ จะ facebook ไปหากันทำไมเนี๊ยะเธอ แบบนี้เค๊าเรียกว่า เป็นเอามาก....


Saturday, December 24, 2011

เพชรในตม

1 เทอมที่ผ่านมา พี่ J ได้มีโอกาสไปสอนโรงเรียนชายล้วนแถว South West Sydney โรงเรียนแถวๆ South West Sydney เป็นที่รู้กันว่า เป็นแหล่งที่โรงเรียนมีปัญหา แต่พี่ J ก็ไป เพราะเราเคยสอนโรงเรียนในแถบที่มีปัญหาแถวๆ Wollongong มาแล้ว 2 เทอม

พอเริ่มสอน week แรก ทุกคนก็ถามและ comment ว่า next week เราจะกลับมาหรือเปล่า แต่เราก็อยู่ได้รอดจนครบเทอม

โรงเรียนที่ทุกคนบอกว่า rough school หนะ มันเป็นแค่ perception และ perception ก็ can be very deceiving..พอพี่ J ได้ไปสัมผัสจริงๆ โรงเรียนที่ทุกคนบอกว่า rough หนะ โถ ไม่ได้ rough อะไรมากมายเลย เพราะเราเจอที่ rough กว่านี้มาสองเทอมเต็ม และที่สำคัญก็คือ พี่ J ไปสอน week แรก ก็รีบจัดการ จัดระเบียบเด็กๆเลยทันที เด็กคนใหนดื้อ หรือไม่เรียนในห้อง เพราะพี่ J สอนวิชาคอมพิวเตอร์; Computing Studies พี่ J ก็จะสอนในห้อง computer lab ตลอดเลย พวกที่เค๊ามาแล้ว มาเล่น facebook หรือ YouTube ก็จะโดนพี่ J โทรไปหาพ่อแม่ และรายงานที่บ้านทันที และก็จะโดน bad record ใน system ของทางโรงเรียนทันที

พี่ J ไปสอนได้แค่อาทิตย์เดียว เด็กที่ชอบคิดว่าตัวเองเจ๋ง ตัวเองเก่ง พี่ J ก็เอาอยู่หมัดเลย เพราะเด็กพวกนี้กลัวพี่ J จะโทรกลับบ้าน เพราะเค๊ารู้ว่า ถ้าพี่ J โทรกลับบ้าน เค๊าต้องโดนที่บ้านเล่นงานแน่นอน และแล้ว เด็กก็เริ่ม spread the word ว่า พี่ J เนี๊ยะ โทรไปที่บ้านนะ เด็กๆก็จะไม่ค่อยกล้าหือกับพี่ J เท่าไหร่

จากๆที่ได้ฟังมาจากครูคนอื่น สาเหตุที่เด็กดื้อก็เพราะ ครูคนก่อนไม่ค่อยเข้มกับเด็กนักเรียนเท่าไหร่ ไม่เคยโทรไปบ้านเลย ไม่ค่อย record behavior ของเด็กลงใน system เลย เด็กนักเรียนก็เลยไม่ค่อยกลัว

จริงๆแล้วการที่เราโทรไปที่บ้าน หรือ record behavior ของเด็กลงใน system เนี๊ยะ มันก็กินเวลาของเราหนะนะแต่ก็เป็นผลดีในระยะยาวคือ เราสามารถจัดการเรื่อง classroom management ได้ พอเราจัดการเรื่อง classroom management ได้ มันก็ได้มีการเรียนการสอนเกิดขึ้น และที่สำคัญ พี่ J ก็ได้รู้จักเด็กนักเรียนหลายๆคน โดยเฉพาะเด็ก year11/12 (ม.5/6) ที่พี่ J ต้องสอนทุกวัน

จริงๆแล้ว โรงเรียนที่ถูกคนบอกว่า rough และบอกว่าโรงเรียนแถว South West Sydney จะเป็นเหมือนกันหมดเลยนั้น พี่ J ขอค้านครับว่าไม่จริง ต้องให้ลองไปสัมผัสดู และบางคนก็บอกว่า โอ้ ยิ่งเป็นโรงเรียนชายล้วน และอยู่แถบ  South West Sydney ด้วยหละก็ ยิ่งไปกันใหญ่ ก็เข้าใจแหละ คือเด็กเค๊าไม่ได้ดีกันไปหมดทุกคนเหมือน selective school เด็กก็มีแบบเหี๊ยวๆบ้าง แต่ภายในโคลนตมนั้น มันก็ยังมีเพชรที่รอการค้าหาอยู่ there is a diamond in the mud, waiting to be found....

เด็กหลายๆคนอยากจะเรียน แต่เด็กผู้ชาย ก็อาจมีดื้อบ้าง แต่ก็ไม่ได้ดื้อไปหมดสะทุกคน และที่น่าประทับที่สุดก็คือ เด็ก year11 ประมาณ 4-5 คน อยู่ในกลุ่มเดียวกัน จะไปใหนมาใหนกันเป็นก๊วน เวลาอยู่ในห้องก็จะพูดเสียงดัง แต่พอบอกให้จดงาน เค๊าก็จะพากันจด ดูจากภายนอกแล้ว เหมือนจะเป็นกลุ่มเหีํยว แต่ลึกๆ deep down inside แล้ว เค๊าก็ตั้งใจเรียนเหมือนกัน เพียงแต่เค๊าจะนั่งนิ่งเงียบเหมือนเด็กเรียน หรือเด็กหนอนหนังสือไม่เป็นก็แค่นั้นเอง เวลาอยู่นอกห้องเรียน พวกเค๊าก็จะตะโกนโหวกหวาก เวลาพูดจากับครู ก็ไม่มีหางเสียง ไม่มี sir, ไม่มี please

แต่พี่ J ไม่ได้ blame เด็กพวกนั้นเลยครับ เพราะที่โรงเรียนนี้ ไม่ได้ enforce เรื่องนี้เลย เรื่องมารยาทและการใช้ชีวิตอยู่กับคนอื่นในสังคมเนี๊ยะ ครูที่นี่ก็ไม่ได้เน้นเรื่องนี้ แต่เด็กใน class ของพี่ J ใครอยากได้อะไร อยากขออนุญาติอะไร ต้องมี please ต้องมี sir ตลอด ไม่งั้นพี่ J ก็ให้พูดใหม่ เด็กๆหลายคนก็เริ่มชิน และเห็น improvement อย่างชัดเจน

ก็มีเด็กนักเรียนหลายคน ที่ show some appreciation ว่าที่เราเข้มงวดกับพวกเค๊าเนี๊ยะ เพราะว่าเรา care และหวังดี เราทำหน้าที่ของเราอย่างเต็มที่ ไม่ได้แค่สักแต่ไปโรงเรียนวันๆแล้ว waiting for the bell at 3pm

เด็กๆหลายคนเริ่มที่จะสนิท และพูดจามีกาลเทสะมากขึ้น respect มากขึ้น จากนักเรียนที่เจอ week แรก ดูแล้ว rough มาก ก็กลายเป็น little angel ได้ เราซึ่งเป็นอาจารย์ ถึงแม้จะสอนแค่ 1 term ก็อดที่จะดีใจไม่ได้ เพราะรู้ว่า สิ่งที่เราทำไป that is really could change sometime life, or touches someone heart in some certain ways...

From now on, I will always remember that, "there is always a diamond, in the mud".