Tuesday, December 31, 2013

แรกรัก ผักต้ม ขมชมว่าหวาน

วันนี้ได้มีโอกาสได้เจอคุณลูงฝรั่งแก่คนหนึ่ง มีแฟนเป็นคนไทย คุณลูงคนแก่ ลูกๆโตหมดแล้ว ลูกๆเรียนมหาลัยกันหมดแล้ว และก็เพิ่งหย่าล้างกับภรรยา น้องคนไทย มีลูกติดอยู่ที่เมืองไทย สามีฝรั่งเก่าเพิ่งจะเสียชีวิต ก็เพิ่งเริ่มคบกับคุณลูงคนนี้

2 คนนี้เริ่มคบกันได้ไม่นาน ก็คงจะเป็นรักแรกๆใหม่ๆแหละนะ เพราะรู้สึกว่าคุณลูงจะชมแฟนสาวแกออกหน้าออกตาเหลือเกิน ชมน้องหนูคนนี้ว่าทำกับข้าวเก่งอย่างโน้นเก่งอย่างนี้ เราก็ได้แต่คิดในใจว่า แหมคุณลูงจะรู้จักอาหารไทยสักกี่อย่างกันเชียว เค๊าทำอะไรมาให้ก็คงกินหมดแหละ แต่นี่คุณลูงแกก็ชมแบบไม่อายปากเลยนะ ทั้งๆที่เป็นครั้งแรกที่รู้จักกับเรา ไม่ได้สนิทอะไรกันเลย

ไอ้เราก็ได้แต่คิดในใจว่า เออ ความรักเนี๊ยะมันทำคนเรามองอีกฝ่ายหนึ่งดีไปหมดเลยน๊อ ผักต้มขมชมว่าหวานจริงๆ

นอกคุณลูงจะชมแฟนแกนั่น นี่ โน่น แล้ว แกก็คุยเรื่องอยากจะ sponsor ลูกๆจองแฟนแกมาอะไรทำนองเนี๊ยะ คือเอาใจแฟนอย่างออกหน้าออกตาว่างั้นเถอะ

ก็อย่างว่าแหละนะ คุณลูงแกเพิ่งหมดเงินไปหลายหมื่นดอลกับการหย่าล้างกับภรรยา ก็คงจะ broken heart มา พอมาเจอน้องหนูเด็กๆสาวๆหน่อยก็เลยตกหลุมรัก และแกก็ไม่ได้บรรญะบรรยังกับการชื่นชมแฟนสาวแกเลยนะ

มีความรักตอนแก่มันก็คงทำให้ชีวิตแกกระชุ่มกระชวยหละมั๊ง :)

Sunday, December 29, 2013

common sense does make sense

คนเรานะ ถ้าใช้ common sense ในการคิดและการทำ ก็ไม่มีการผิดใจกัน

เห็น และก็เบื่อกับพวกอีที่ไม่ค่อยมีสมอง สมองตีบ สมองตัน ที่ชอบคิดและทำอะไรก็กะจะเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว คิดอะไรก็ได้ ง่ายๆ สั้นๆ โง่ๆไม่ได้ใช้ common sense ไม่ได้คิดถึงคนอื่น คนรอบข้าง

คนเรานะถ้าในใจมันตะกิดๆ จิํดๆว่าสิ่งที่ตัวเองทำหนะถูกต้องหรือเปล่า ถ้ามันตะกิดๆในใจ มีอาการจิ๊ดๆใจ ก็ไม่ต้องทำ ดีที่สุด จะได้ไม่ต้องมาเสียเวลามานั่งคิดว่าเออสิ่งที่เราทำลงไปเนี๊ยะมันทำให้คนอื่นเค๊าเดือดร้อนหรือเปล่า ไม่ว่าทั้งทางตรงและทางอ้อม

แต่ก็ว่าแหละนะ มีป้าหลายป้าที่นี่พอได้มาอยู่ต่างประเทศหน่อย จะคิดจะทำอะไรก็แม่งเอาเปรียบคนไทยด้วยกัน อย่างว่าแหละคนการศึกษาน้อย ความคิดเท่าหางเต่า เออนะ เราไม่ว่ากัน!!!

แต่มันก็เอือม เอือมระอา เอือมที่ต้องมาคอยรับสายป้าๆโทรมาแก้ตัว โทรมาอธิบาย ก็อธิบายใน voicemail เราไปก่อนก็แล้วกัน เพราะเราไม่ต้องการเอาเวลาที่มีค่า ลงไปมั่วสุมกับคนเหล่านี้ ไม่ได้หมายความว่าเราดีกว่าใครนะ เพียงแต่ว่าเราแน่ใจว่าเรามี common sense ถ้าเราคิดทำอะไรแล้วจิตใต้สำนึกที่มีอยู่ มันบอกเราว่าไม่ควรทำ เราก็ไม่ทำ เราไม่ลังเล และเราก็ไม่ต้องคอยโทรไปหาใครเพื่ออธิบายการกระทำของเราด้วย

เห็นคนบางเหล่าบางกลุ่มหละก็ "เหนื่อยใจ อย่างแรง"

Thursday, December 26, 2013

Boxing day sale...craze

หลายๆคนคงงงว่า Boxing Day มันคืออะไร
Boxing day สำหรับประเทศออสเตรเลียคือวันหยุดราชการ ที่หลังจากคนทำงานที่ไปรษณีย์ทำงานอย่างหนักเพื่อส่งกล่องของขวัญและกล่องพัสดุไปตามที่ต่างๆ จริงๆแล้ววัน Boxing day ก็เป็นวันหยุดให้กับคนที่ทำงานที่ไปรษณีย์ แต่คนออสซี่ก็คือโอกาสนี้หยุดพักผ่อนหลังจากที่ hangover มาจากเมื่อวาน

ในขณะเดียวกันพวก retailer และห้างสรรพสินค้าทั้งหลายก็ฉวยโอกาสนี้ทำ Boxing Day Sale คือประมาณว่าลดกระหนึ่าอะไรประมาณนี้ และก็คน crazy enough ที่ไปยืนรอคิวที่ห้างกันตั้วแต่เช้า เห็นข่าวบอกว่าไปเข้าคิวกันตั้งแต่ตี 3 เพราะห้างก็เปิดกันตั้งแต่ตี 5 พอห้างเปิดก็วิ่งกันอุตหลุด เห็นแล้วก็ได้แต่สมเภทว่า เออ คนเราเนี๊ยะมันขนาดนี้แล้วเหรอ ช่างเป็นอะไรที่วัตถุนิยมจริง just another uncessary materialism ของบางอย่างที่พวกเค๊าพากันไปเข้าแถวรอซื้อตั้งแต่เช้าตรู่อยากจะรู้ว่าจริงๆแล้วมันมีความจำเป็นมากน้อยแค่ใหน หรือว่าซื่อเพราะว่า just follow the hype คือทำตามคนอื่นๆ ทุกปีก็เห็นลงข่าว ออกทีวีว่ามีคนไปยื่นจ่อรอที่หน้าประตูห้าง โดยเฉพาะที่ Sydney และก็ Melbourne

นี่ก็มีพนักงานในร้านถึงกลับลางานเลย เพี่อที่จะได้ไป shopping boxing day ที่ Sydney

ไอ้เราเองก็เคยไปแค่ boxing day sale ที่ Wollongong ขอบอกว่าคนเยอะมาก แต่สินค้าไม่ได้ลดอะไรมากมายเลย ไปเดินอยู่ 2 ปี เลยเลิกเดินเลย ทุกวันนี้ใครบอกเราว่าจะไป shopping boxing day เราก็เฉยๆ สู้ไปซื้อที่เมืองไทยก็ไม่ได้ หรือซื้อจาก online จากเมืองจีนถูกกว่ากันเยอะ เพราะของทุกวันนี้ก็ผลิตมาจากเมืองจีนอยู่แล้ว

ก็ไม่เข้าใจว่าคนเราเนี๊ยะจะแห่กันไป shopping อะไรกันนักกันหนา คงไปเอาแค่บรรยากาศมั๊ง :)

น้องกบลอยเล่นอยู่ในสระน้ำน้อยๆ

ไม่ทราบและไม่เข้าใจว่าน้องคนไทยที่นี่ทำไมบางคนชอบขี้โม้ โอ้อวดจริง พูดอะไรเวอร์เกินตัวไปหมด เจอมาหลายรายแล้ว อยากจะบอกเหลือเกินว่าเราหนะอาบน้ำร้อนมาก่อน หลายร้อนด้วยสิ เห็นพฤติกรรมแล้วก็ โอ๊ย เด็กๆ ชั่งอ่อนต่อโลกจริง น้องกบลอยเล่นอยู่ในสระน้ำน้อยๆ อยากจะบอกเหลือเกินว่า พวกเจ้ายังอ่อนต่อโลกนัก เห็นแล้วก็ได้แต่สมเพศและนึกสงสารอยู่ในใจว่า เออ คน shallow (กลวงๆภายใน ไม่มีแก่นสาร) เนี๊ย เค๊าไม่มีอะไรจริงๆเลยนะข้างใน พูดโอ้อวดเพื่อที่จะสรรหาหรืออยากได้มาในสิ่งที่เค๊าไม่มีหรือเปล่า

เนื่องด้วยเราเป็นคนช่างสังเกตุ ชอบ observe ชอบที่จะศึกษาคน มันก็เลยเป็นอะไรที่น่าสนใจ เราก็ได้แต่หวังว่าน้องเค๊า วันหนึ่งคงจะค้นพบตัวเองที่แท้จริง ค้นพบตัวเองที่มีแก่นสารมากกว่านี้ เพราะคนมีแก่นสารเค๊าไม่พูดจาเพ้อเจ้อไร้สาระและโอ้อวด คนมีสาระและแก่นสารที่แท้จริงภายในจะเป็นคนอยู่นิ่งๆ แล้วคนอื่น คนรอบข้างจะค่อยค้นพบแก่นสารของเค๊าเอง แบบนี้เป็นแก่นสารที่แท้จริง ที่ยืนยาวกว่า ยืนยาวกว่าที่จะไปป่าวประกาศโอ้อวดสรรพคุณของตัวเอง

Heart broken on Christmas day

ในขณะที่หลายๆคนเฉลิมฉลองวัน Christmas กัน คุณรู้หรือไม่ว่า มีคนอีกหลายคนที่เค๊ารู้สึกว่าวัน Christmas เป็นวันแห่งความเจ็บปวดและว้าเหว่ เพราะพวกเค๊าเหล่านั้นคือ

- คนที่หย่าล้างกับ สามี หรือภรรยา และมีลูกติด เค๊าเหล่านั้นต้องทำเพื่อลูก เค๊าหล่านั้นต้องซื้อของขวัญและก็รอวัน Christmas รอวันที่เค๊าจะได้เจอกับลูกๆ เพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง บางคนต้องขับรถหลายๆชั่วโมง เพื่อที่จะได้ไปใช้เวลาที่มีค่าอยู่กับลูกๆของเค๊า ยิ่งที่ประเทศออสเตรเลียด้วยแล้ว เป็นประเทศใหญ่ ขับรถกันมันเลยหละ

- คนที่หย่าล้างกับสามีหรือภรรยา และลูกๆของเค๊าก็ blame เค๊าว่า เค๊าเป็นสาเหตุที่ทำทให้ครอบครัวแตกแยก ลูกๆหลายคนเกลียดเค๊า ทุกๆปีเธอคนนี้จะร้องไห้ เพราะเค๊าบอกว่ามันเป็นเวลาแห่งความเจ็บปวดของเค๊า และเค๊าก็ไม่มีที่ไป ที่เจํบปวดที่สุดคือ ลูกๆไม่ยอมยกโทษให้เค๊า บอกว่าเค๊าเป็นสาเหตุที่ลูกๆไม่ได้มีครอบครัวที่สมบูรณ์

- คนแก่ๆ ไม่มีใครดูแล นี่เราก็เห็นคนแก่หลายๆคน แวะมาทานข้าวที่ร้านในช่วงวัน Christmas เค๊ามาคนเดียว ดูว้าเหว่ และน่าสงสาร

- พวก homeless ไม่มีบ้านอยู่ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่อย่าง Sydney อันนี้เราก็ยังไม่ได้มีโอกาสไปสัมภัสด้วยตัวเอง แต่ก็ได้แต่หวังว่า วันหนึ่งเราอยากมีโอกาสไปแจกอาหาร หรือช่วย volunteer ทำงานช่วยเหลือคนหล่านี้บ้าง

หลายๆคนมีความสุขในวัน Christmas ยังไงก็อย่าลืมหันหลังมาดูรอบข้าง คนที่เค๊า less fortunate กว่าเราด้วยนะครับ

Wednesday, December 25, 2013

Christmas for non-Christian

วันนี้เป็นวัน Christmas เมืองต่างๆที่ Australia ก็เงียบเหงา กลายเป็นเมืองร้างไป 1 วัน เพราะร้านค้าอะไรก็ปิดหมดเลย เพื่อที่จะให้คนทำงานทุกคนได้อยู่กับครอบครัว สังสรรค์กัน Christmas lunch มั่ง Christmas dinner มั่ง Christmas BBQ มั่ง เยอะแยะไปหมด

ส่วนเรารึ ก็ไม่ใช่ Christian ด้วยสิ และก็ไม่ใช้ฝรั่งด้วย ก็เลยไม่ได้ทำอะไรกับเค๊า วันนี้ก็ออกมาเปิดร้านอาหารตามปกติ แต่เมืองเงียบมาก ลูกค้าส่วนมากก็จะเป็นคนเอเชีย เพราะพวกเค๊าเหล่านี้ ก็เหมือนๆกับเราคือ ไม่ได้ฉลอง Christmas อะไรกับเค๊า Christmas สำหรับเรามันก็เป็นแค่วันหยุดอีกวันหนึ่งก็เท่านั้นเอง

แต่เพื่อนเราที่เป็น Christian และเคร่งศาสนาหน่อย วันนี้ก็เป็นสำคัญสำหรับพวกเค๊าเลยแหละ เพราะมันเป็นวันคล้ายวันเกิดของพระเยซู

แต่เราก็มีเพื่อนที่เป็น Christian ที่ไม่เคร่งศาสนา ไม่เคยไปโบสน์ หรือฝรั่งออสซี่ที่ไม่ได้นับถืออะไรก็มี สำหรับพวกเค๊ามันก็เป็นวันสำหรับครอบครัวอีกวันหนึ่ง ที่ทุกคนจะเดินทางกลับบ้านมาสังสรร์ ปาร์ตี้ และก็ทานข้าวด้วยกัน สำหรับคนเหล่านี้ วัน Christmas มันก็เป็นแค่วันอีกวันหนึ่งที่ culture มันบังคับว่าต้องมีการแลกของขวัญกัน ต้องไปปาร์ตี้กัน อะไรประมาณเนี๊ยะ พวกเนี๊ยะเหรอ ถามเค๊า เค๊ายังไม่รู้เลยว่าจริงๆแล้วมันเป็นวันคล้ายวันเกิดของพระเยซู

สำหรับคนที่เป็น non-Christian อย่างเรา เราก็รู้สึกเฉยๆ ไม่ได้ซื้อของขวัญอะไรให้ใคร และไม่ต้องการให้ใครมาซื้อของขวัญอะไรให้ด้วย ซื้อมาก็ไม่ถูกใจอีก อยากได้อะไรซื้อเองดีกว่า

เนื่องด้วยที่เราเป็น non-Christian และก็ไม่ใช่ฝรั่งออสซี่ เราก็ได้ observe ว่า เออ คนที่นี่ก็แบบว่า crazy กันเหลือเกิน ต้องซื้ออาหารกักตุนเอาไว้ เพราะ Christmas ทีก็กินกันกระจาย เรียกง่ายๆว่า กินช้างไม่เหลือ กินเสือไม่อิ่ม กันจริงๆ ส่วนพวก คาทอลิก ก็จะกินแต่อาหารทะเล seafood ไม่ทานเนื้อกันวันนี้ งดฆ่าสัตว์ว่างั้นเถอะ ดังนั้นที่ Sydney fish market เค๊าเลยเปิดกันมารธอน 36 ชั่วโมง เพื่อที่จะให้คนพากันไปตุนซื้อ seafood กัน เราก็ได้ observe แล้วก็มีความรู้สึกว่า พวก you เนี๊ยะ จะอะไรกันนักกันหนา แต่ไม่ได้หมายความว่า เราไม่ได้เคารพ culture ของคนอื่นนะ เราเคารถ culture และสิทธิ์ของคนอื่นอยู่แล้ว เพียงแค่ make an observation ก็แค่นั้นเอง

Thursday, October 24, 2013

Life Long Learning

ไม่กี่วันที่ผ่านมาพี่ J ไปสอบที่มหาลัย เนื่องด้วยพี่ J เรียนโททางไกล เรียน online ก็ได้มีโอกาสเห็นนักเรียนคนอื่นๆที่มาที่ศูนย์สอบ ก็มีหลายวิชาปะปนกันไป พอสอบเสร็จก็เหลือบเห็นคุณลูงคนหนึ่ง อายุน่าจะประมาณ 50 กว่าๆนั่งทำข้อสอบอยู่ด้านหลัง เห็นแล้วก็เป็นอะไรที่น่าประทับใจมาก เพราะอายุขนาดนั้นแล้ว ยังเรียนนั่น นี่ โน่น

คนเราถ้าต้องการที่จะก้าวเดินไปข้างหน้า Education หรือการศึกษาคือ key อีกอย่างที่สำคัญ เพราะพี่ J เชื่อว่าการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญ คนเราสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองได้ด้วยการศึกษา ไม่มีคำว่าแก่เกินเรียน

ส่วนตัวพี่ J เอง ก็คิดว่าที่ได้มาอยู่ที่จุดนี้ทุกวันนี้ก็เพราะการศึกษา เพราะถ้าไม่มีการศึกษา พี่ J เองก็คงไม่มีโอกาสได้มาอยู่ ณ จุดนี้ที่เป็นอยู่ พอเห็นคุณลูงคนนั้นมานั่งสอบ ก็เป็นปลื้มแทน ถ้าทุกคนเป็นแบบนี้หมด ก็น่าจะดีสินะ

Wednesday, September 25, 2013

สรุปแล้วคนเราทำงานเพื่ออะไรกันเหรอ

ช่วงนี้เป็น school holiday พี่ J เลยเวลามานั่งเคลียร์งาน นั่น นี่ โน่น

ช่วงนี้ก็เลยต้องรีบๆเคลียร์งาน immigration วันนี้อากาศดี นั่งอยู่ที่บ้าน ก็โทรหาลูกค้า คนโน้น คนนี้ โทรแบบไม่รีบร้อน นั่งทำงานตอนกลางวันช่วง school holiday เนี๊ยะ มันแตกต่างจากการนั่งทำงานช่วงเสาร์-อาทิตย์ หรือหลังเลิกเรียนตอนเย็นจริงๆ เพราะช่วง เสาร์-อาทิตย์ เราก็มีความรู้สึกว่า เออ มันเป็น weekend นะ เราอยากจะหยุด อยากจะพักช่วง weekend ไม่อยากมานั่งทำงาน หรือตอนเย็นหลังเลิกเรียนก็เหมือนกัน บางทีเราก็เหนื่อยจากโรงเรียนแล้ว ก็มานั่งทำงาน immigration นิดๆหน่อยๆ ไม่ได้หักโหมมาก แต่ช่วง school holiday นี้ คือเราสามารถนั่งทำงานได้ทั้งวัน รู้สึกว่างาน progress ไปได้ดีกว่ากันมากเลย และก็ไม่เครียดด้วย

เราก็มองหันมาดูตัวเราเองว่า เอ๊ะทำไมทำงานอะไรเยอะแยะมากมาย ลูกค้าเราหลายๆคนก็เหมือนกัน ทุกคนทำงานปากกัดตีนถีบ อีกอย่างก็คงเพื่อหาเงินมาจ่ายค่าทำ immigration กับเราด้วยกระมัง และอีกอย่างก็เพื่ออะไรหลายๆอย่าง เพื่อชีวิตที่ดีขึ้น เพราะคนไทยส่วนมากที่มาอยู่ที่ Australia ก็เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

บางทีเราก็อดเอะใจไม่ได้ว่า เอ๊ะสรุปพวกเราทำงานกันเนี๊ยะ เพื่ออะไรกันเหรอ เห็นบางคนทำงานกันหนักเหลือเกิน 7 วันต่ออาทิตย์ ไม่มีวันหยุดก็มี ถ้าหากคนเรามีเวลาว่าง มีวันหยุด ได้ไปเดินเล่นที่ beach ไปนั่งจิบกาแฟ หรือนั่งปล่อยอารมณ์แบบที่ไม่ต้องคิดอะไรมาก คุณภาพชีวิตก็น่าจะดีกว่านะ

ถ้าหากเรารู้เป้าหมายชีวิต รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำไปเนี๊ยะ เราทำไปเพื่ออะไร ทำงาน หยุดมั่ง พักมั่ง ก็น่าจะมีความสุขมากกว่านะ มีน้อย เราก็ใช้น้อย ไม่เดือดร้อน ไม่จำเป็นต้องหักโหม เพราะเราอาจไม่รู้ว่า การที่เราหักโหมทำงานไปเยอะๆนั้น สรุปเราจะได้เวลา enjoy ดอกผลของการทำงานของเราหรือเปล่า

ก็ขอให้ทุกคน take one day at a time ก็แล้วกัน อยู่กับปัจจุบัน ไม่ต้องไปหักโหมอะไรมากมาย มีความสุขกับสิ่งที่ทำ หยุดมั่ง พักมั่ง อย่างที่บอก

Wednesday, August 28, 2013

โลกตอแหล

สังคมโลก online เริ่มตอแหลขึ้นทุกวัน ไม่รู้นะว่าที่อื่นเป็นยังไงแต่รู้ว่าฟรั่งที่ Australia เนี๊ยะชอบพูดหรือทำอะไรเกินจริงมาก อะไรต่ออะไรมันดู plastic และจอมปลอมไปหมด

วันก่อนเราได้ไปประชุมที่มหาลัยแห่งหนึ่งในซิดนีย์ เจอคุณยายหนังเหี่ยวคนหนึ่ง เป็นดอกเตอร์ หน้าเนี๊ยะเหี่ยวหมดแล้วหละแต่ยังแต่งตัวเฟี้ยวอยู่ ตามสไตล์ฟรั่งออสซี่ทั่วๆไป ดูเธอตัวจริงเนี๊ยะก็แก่หนังเหี่ยวแล้วนะ แต่ว่ารูป profile ของหล่อนใน Google+ หรือ twitter และรูปที่ใช้ใน powerpoint สงสัย เป็นรูปที่สมัยยังสาว 10-20 ปีที่แล้ว เห็นแล้วเราก็คงเอ๊ะ คนเดียวกันหรือเปล่าวะ โอโหป้า/ยาย หลอกลวงประชาชนหนี่หว่า

คุณยายก็ present งานของเธอไป เราเห็นแล้วก็งั้นๆแหละ ไม่ได้ดีเลิศประเสริจศรีอะไร แต่เรากลับมาถึงบ้านนะ ยายแก post นั่น นี่ โน่น ลงใน Google+ และ twitter ของแก แกก็พล่ำรำพันว่า seminar ที่ผ่านมา ดีเลิศประเสริจศรี อย่างงี้อย่างโง้น ไอ้เราก็งง เอ๊ะ งาน seminar เดียวกันหรือเปล่าวะ ดูคุณยายแกพยายาม up herself มากเลย เห็นแล้วก็ขำๆ เพราะคนที่ไม่ได้ไปงานนี้ หรือไม่ได้เจอคุณยายตัวเป็นๆ ก็คงจะหลงคล้อยตามไปด้วย

ก็รู้แหละนะว่า ยายแกเป็นพวก positive thinker เราเองก็เป็นพวก positive thinker เหมือนกัน แต่เราไม่ได้หลับหูหลับตา เห็นอะไรจับอะไร เป็น positive ไปหมดซะทุกอย่าง พอประชุมเสร็จ ยายแกก็ post นั่น นี่ โน่น ต่างๆนาๆ ลงใน twitter มั่ง Google+ มั่ง ว่าโอ้โฮเป็น seminar ที่ดียังงั้นยังงี้ ไอ้เราก็เอ๊ะ เราไปงานเดียวกันป๊ะหวะเนี๊ยะ ก็ไม่เห็นว่ายายแก present งานได้ดีอะไรมากมาย สงสัยยายแกอยู่ในโลก online มากเกินไป

นอกจากนั้นยังไม่พอ พวกคนที่ไปประชุม หรือ seminar ด้วยก็เวอร์ ตอแหล กันไปตามๆกัน twit กันใหญ่เลยว่าเป็นการประชุมที่ดี มีประโยชน์ นั่น นี่ โน่น มันก็มีประโยชน์หนะนะ แต่ไม่ได้ดีเวอร์เหมือนพวกเธอๆหล่อนๆ twit กันเอาไว้ เราก็รู้สึกเฉยๆ สงสัยเราฉลาดเกินมั๊ง เลยไม่ได้ตื่นเต้นอะไร แต่พวกป้าๆลุงๆทั้งหลายที่ไป seminar ด้วยกันนี่สิ overrated โฆษณาชวนเชื่อเกิน สรุปคือ ตอแหล นั่นแหละ ง่ายๆ

Monday, August 26, 2013

Do not judge the book by its cover....

2-3 วันก่อน พี่ J ได้เจอคนไทยคนหนึ่ง ดูๆแล้วอายุน่าจะน้อยกว่าพี่ J แต่เธอก็มากับสามีฟรั่ง มีอายุมาก และก็มีลูกเล็กๆด้วย

เนื่องด้วยว่าเราเจอผู้หญิงคนไทยอายุน้อยๆที่แต่งงานกับผู้ชายออสซี่ฟรั่งมามากแล้ว จะแต่งด้วยความรักหรือความจำเป็น เราไม่รู้ แต่เท่าที่สังเกตุ ก็จะเป็นประเภทหลังมากกว่า เราก็เลยรู้สึกเอือมๆนิดหนึ่ง เราก็ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรมาก ก็แค่คิดว่าเออ อีกคู่หละ คงไม่ต่างจากคู่อื่นๆที่พบเห็นมา

จนได้มีโอกาสได้พูดคุยกับพวกเค๊าทั้ง 2 ทั้งผู้หญิงไทย และสามีฟรั่งแก่ของเค๊า เออ ปรากฏว่าทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามที่เราคิดเสมอ stereotype หรือ generalization เนี๊ยะ มันใช้ไม่ได้จริงๆ เพราะทุกคนก็เป็น each individual ใครมัน น้องผู้หญิงคนนี้ก็เหมือนกัน ดูเค๊ารักสามีและลูกจริงๆ ส่วนสามีก็สุภาพนอบน้อมเหมือนคนไทย ดูๆไปแล้วก็เหมาะกันดี ถึงแม้ไวจะต่างกันไปนิด ก็ไม่เป็นไร เออ อายุเนี๊ยะ มันเป็นเพียงแค่ตัวเลขจริงๆ

ประสบการณ์ในครั้งนี้มันก็ทำให้เรารู้ว่า เออ ดูคนจากภายนอกไม่ได้จริงๆ หรือคิดเหมาไปว่า เค๊าคนนั้น เธอคนนั้น จะเหมือนคนอื่นๆ คนหมู่มากไม่ได้

เราคงต้องหันมามองคนอื่นให้ลึกซึ้งให้มากกว่านี้แล้วหละ คงไม่รีบ judge ใครเพียงเพราะเหมาเอาภาพรวมให้เหมือนกับคนอื่นอีกแล้วหละ

We are still learning everyday....don't we??

พี่ J

Wednesday, July 10, 2013

กระแดะ

กระแดะ จากคนข้างโต๊ะที่สนามบินสุวรรณภูมิ @Suvarnabhumi airport

กระแดะ คือ การยืนตระโกนผ่านหัวฉันเพื่อสั่งอาหาร
กระแดะ คือ การพูดเสียงดังทำให้ฉันไม่ได้อ่านหนังสือหรือจิบกาแฟเงียบ
กระแดะ คือ การพูดเสียงดังทำเป็นผู้รู้อาหารฝรั่ง เราอยู่เมืองนอกมา 20 ยังไม่พูดอะไรสักคำ
กระแดะ คือ การพูดเสียงดังวิเคราะและวิจารณ์ว่ากาแฟที่ร้านนี้เป็นยังไง อยากแสดงตัวว่าเป็นผู้รู้เรื่องการแฟ เอ่อ อยากจะบอกว่ากาแฟทุกร้านที่นี้ ไม่ได้เรื่องสักร้านจ๊า เราไปเรียน course ทำกาแฟที่ TAFE มา ยังไม่พูดอะไรสักคำ

กระแดะ คือ การพูดเสียงดัง คุยกันเรื่องงาน ทำเป็นผู้รู้ ว่าดูงานมาเยอะ บินมาหลายต่างประเทศว่างั้นเถอะ เออ ถ้าเราเป็นคนทำงานที่บริษัทคู่แข่ง ก็รู้เรื่องของเค๊าหมดแล้วสิ ความลับของบริษัททำไมพวกคุณๆท่านๆไม่ไปคุยกันในบริษัทหละครับ

กระแดะ คือ การพูดเพื่อให้ตัวเองดูดี เล่นกอร์ฟ นั่น นี่ โน่น โอ้ยรำคาญหู

เอ่อ เราทำงานมาเยอะแล้ว เจอคนมาเยอะ แค่นั่งโต๊ะข้าง ก็รำคาญแล้วหวะ

Sunday, July 7, 2013

มีลูกเอาไว้ใช้จริงเหรอ

มีเพื่อนๆและคนใกลัเคียงบอกว่ามีลูกเอาไว้ใช้ตอนแก่ อืมมมมมม ไม่รู้สินะ เรามีลูกเพราะว่าความรัก เราไม่ได้มีลูกเพื่อเอาไว้ใช้ตอนแก่ คนที่ต้องการให้ลูกมาดูแลหนะ เคยถามเค๊าหรือเปล่าว่าเค๊าจะดูแลเรามั๊ย เราคาดหวังอะไรมากเกินไปหรือเปล่า เราเคยคิดบ้างมั๊ยว่าพวกเค๊าก็คงจะมีชีวิตของพวกเค๊าเหมือนกัน ชีวิตเค๊าไม่ได้มาถูกมัดอยู่กับเรา

ถ้าเราผลิตลูกมาเพื่อเอาไว้ใช้ตอนแก่ ก็แสดงว่าเราเห็นแก่ตัวสิ เราไม่ได้ผลิตเค๊าเพื่อให้เค๊ามาเป็นคนเลี้ยงดูเรา เราผลิตเค๊าออกมาเพราะความรัก และความรักก็ไม่ต้องการอะไรตอบแทนทั้งสิ้น

ที่แน่ๆคือ ไม่ต้องคาดหวังอะไร ดีที่สุด
พึ่งตัวเอง ดีที่สุด

ตอนแก่ ก็อยู่กับธรรมชาติ ชีวิตเรียบง่าย ดีที่สุด
ตายไปก็เผา ก็เท่านั้นเอง ไม่ต้องคิดอะไรมาก คนเราเกิดมา ก็แก่ ก็เจ็บ แล้วก็ตาย ช่างเป็นอะไรที่น่าเบื่อ น่าสังเวชจริงๆ

ดังนั้น ถ้าใครปลงได้ ปล่อยวางได้ ชีวิตก็จะมีความสุข
ไม่ต้องไปคิด ไปคาดหวังอะไร กับใครทั้งสิ้น ชีวิตเรียบๆง่ายๆ ไม่หวือหวา


Thursday, July 4, 2013

พุทธพาณิชน์

พุทธพาณิชน์ มีจริงหรือเปล่าเราไม่รู้ แต่ที่แน่ๆเราไม้่ไม่สนับสนุนพุทธพาณิชน์ เราไม่เชื่อว่าการทำบุญทำกุศลนั้นต้องมีการเสียเงินเสียทอง

ศาสนาพุทธไม่ได้สอนให้คนต้องมีการเช่า หรือซื่อขายวัตถุมงคลหรือวัตถุต่างๆ
มีพระห้อยคอ แต่ศีล 5 ไม่ครบ จะได้บุญได้กุศลจริงเหรอ
เช่าพระมาองละหลายๆบาท จะได้บุญเท่ากับคนที่มีศีลบริสุทธิ์มั๊ย
บริจาคเงินเข้าวัดเยอะๆ จะได้กุศลเท่ากับช่วยเหลือคนยากที่เค๊าต้องการความช่วยเหลือมั๊ย

บุญกุศล ซื้อมาไม่ได้ ต้องปฏิบัติเอง ต้องทำเอง
ไม่ว่าชายหรือจริง สามารพทำบุญได้เท่าเทียมกัน ผู้เป็นแม่ก็ไม่ต้องมารอเกาะผ้าเหลืองลูกชาย ผู้หญิง หรือผู้เป็นแม่เอง ก็สามารถปฏิบัติ สร้างบุญ สร้างกุศลเองได้ ไม่ต้องอาศัยคนอื่นสร้างให้
ทุกสิ่งอย่างสามารถทำด้วยตัวเราเอง

สร้างบุญ สร้างกุศล ไม่จำเป็นต้องเสียเงินแม้แต่บาทเดียว
ศึกษาธรรมะให้ถ่องแท้ แล้วจะรู้ว่า พุทธพาณิชน์เป็นสิ่งไม่จำเป็น
พุทธพาณิชน์  มีไว้สำหรับผู้ที่ยังไม่รู้ ไม่ตื่น ไม่เบิกบาน

ถ้าหากรู้แล้ว ตื่นแล้ว เบิกบานแล้ว ความสุขอยู่ในใจ ทำอะไร อยู่ที่ใหนๆ มีเงินเท่าไหร่ ก็สุขใจได้
ไม่จำเป็นต้องซื้อหาบุญ


Saturday, June 22, 2013

เกิดเป็นคนเนี๊ยะมันลำบากจริงๆ

ทำไมนะการที่เราเกิดมาเป็นคนเนี๊ยะ ชีวิตมันต้องดิ้นรนจังเลย ทำโน่น ทำนี่ ทำงานหาเงินเลี้ยงครอบครัว   บางทีก็ต้องหาเงินเลี้ยงครอบครัวญาติๆด้วย

เบื่อชีวิตที่ต้องทำโน่นทำนี่เพื่อคนอื่น บางทีเราก็สงสัยว่า สรุปแล้วคนเราเกิดมาเพื่ออะไรกันเนี๊ยะ เกิดมาเพื่อลำบากเหรอ เกิดมาทำใช้กรรมเก่าจริงเหรอ ไม่รู้นะว่ากรรมเก่ามีจริงหรือไม่มีจริง แต่บอกได้เลยว่า เบื่อๆ เซ็งๆมากเลย

เราไม่รู้หลอกนะ ว่าชาติที่แล้ว หรือชาติหน้ามีจริงหรือเปล่า เราเป็น scientist ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องพวกนี้ แต่ถ้าเลือกได้ ไม่ขอมาเกิดอีกละกัน

สิ่งที่ต้องการมากที่สุดคือ สันโดษ ความเงียบสงบ ปราศจากผู้คน ไม่มีภาระ ไม่มีพันธะ
คนเราเนี๊ยะ เกิดมา แล้วก็แก่ แล้วก็เจ็บ แล้วก็ตาย ช่างเป็นอะไรที่น่าเบื่อจริงๆ

Sunday, June 9, 2013

Things are just happen

มีหลายๆครั้งที่อะไรที่เราไม่ได้คาดคิดกับเหตุการณ์บางอย่างก็เกิดขึ้นกับเรา พี่ J เองไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้งานประจำถาวรทางด้านการสอน เพราะจริงๆแล้ว พี่ J ไม่ได้ plan จะได้งานประจำถาวร เพราะจริงๆแล้วที่ plan เอาไว้ปีนี้คือ จะสอนแค่ casual โรงเรียนนั้นที โรงเรียนนี้ที เพราะพี่กะว่าจะสอน อาทิตย์สัก 3-4 วันก็พอ เพราะไม่อยากสอนเต็มอาทิตย์ ก็กะจะเอาเวลามาเร่งแรื่องเรียนโทให้มันรีบจบๆไป จะได้ต่อป.เอก และหางานสอนที่มหาลัย

แต่เราก็ดันมาได้งานประจำ และเป็นตำแหน่งถาวรสะด้วยสิ ไม่ใช่ ต่อสัญญาปีต่อปี ง่ายๆ สั้นๆ ก็คือสามารถเป็นอาจารย์สอน high school ที่เป็นโรงเรียนรัฐบาลในรัฐนี้ ได้ไปจนตาย ถ้าไม่อยาก retire นะ เรารึก็รีบคว้าไว้เลย เพราะมีเพื่อนครูหลายคนที่เค๊า ต่อสัญญาปีต่อปี ไม่ได้ตำแหน่งถาวรสะที บางคนก็ต่อสัญญาปีต่อปี เป็น 10 ปี มาแล้วก็มี ไม่รู้ว่าปีใหนเค๊าเลิกต่อสัญญา ก็ซวยไป

ทีแรก พี่ J ก็กะว่า ไปทำ fulltime สักปีหนึ่ง ปีหน้าแล้วลดลงเป็น part-time ให้เหลืออาทิตย์ละ 4 วันก็พอ แต่ปรากฏว่าโรงเรียนที่พี่ J ได้ตำแหน่งถาวร นักเรียนน่ารักมาก สุภาพกว่าโรงเรียนเดิมๆที่พี่ J เคยสอนมา และเพื่อนๆที่คณะก็นิสัยดีมากเลย ดูแลซึ่งกันและกัน เป็นสภาพการทำงานที่ดีมาก เราก็เลยคิดว่า เอ๊ะถ้ามันหนึ่งเราไม่อยู่ เราไปเรียน ป.เอก แล้วเราลาออกไปสอนที่มหาลัยหละ นักเรียนพวกนี้จะเป็นอย่างไร โรงเรียนจะเป็นอย่างไร เพราะทางโรงเรียนหวังกับเราไว้มาก เค๊าดีใจที่โรงเรียนได้อาจารย์ทางด้าน IT มาสอนวิชา IT จะได้เลิกใช้อาจารย์จากคณะอื่นมาสอน IT สักดี

ในขณะเดียวกัน เราก็อยากที่จะ slow down แล้ว ไม่อยากทำงาน fulltime แล้ว เพราะไม่ได้มีความจำเป็นหรือต้องการอะไรมากมายกับชีวิตนี้แล้ว คิดว่าเพียงพอและก็พอเพียงกับทุกๆสิ่งที่มีอยู่ อยากจะนั่งอยู่บ้านเฉยๆ relax ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องคิดอะไร ทำงาน 3-4 วันก็อยู่ได้สบายๆ อยากจะเอาเวลาที่มีมาเรียน ป.เอก จะได้เดินทางไปบรรยายที่โน่นที ที่นี่ที ชิวิตจะได้ ชิวๆ

เราก็ไม่เคยคิดว่าจะมาเจอโรงเรียนที่ดีๆแบบนี้ เพราะที่ผ่านๆมา เจอแต่นักเรียนที่ไม่ค่อยสนใจเรื่องการเรียน นิสัยห่วย หยาบคาย อะไรต่างๆนาๆ

มาเจอโรงเรียนนี้ ก็ทำเราอึ้งไปได้เหมือนกัน คิดไม่ออก บอกไม่ถูกว่าจะเลือกเอาทางใหน เพราะทุกทางเป็นทางเลือกที่ดีๆทั้งนั้น

It's a good problem indeed....

Wednesday, April 24, 2013

น้องที่น่าชื่นชม

พี่ J รู้จักน้องคนหนึ่งเพราะเค๊ามาใช้บริการโอนเงินที่ร้านบ่อย (ร้านนี่ทำธุรกิจทุกอย่าง) เรารึก็ไม่ได้สนิทกับน้องเค๊าอะไรมากมาย เจอกันน้องเค๊าก็ยกมือไหว้ ก็แค่นั้นเอง เวลาน้องเค๊ามาโอนตังค์เค๊าก็ฝากไว้กับพนักที่ร้าน ไม่ค่อยได้เจอเรา แต่เราก็สังเกตุว่าน้องเค๊าโอนตังค์บ่อยมาก ก็มีครั้งหนึ่งได้เจอน้องเค๊า เราก็ไม่กล้าถามมาก เดี๋ยวหาว่าเราไปยุ่งเรื่องชาวบ้าน น้องเค๊าก็บอกว่าทำงานที่นี่ทั่วๆไป ก็ได้แต่เดาๆว่าถ้าไม่ทำงานร้านอาหารไทย ก็คงทำร้านนวดไทย

เราก็ได้แต่แอะใจเล็กๆ เพราะดูๆน้องเค๊าก็น่าจะเป็นคนมีฐานะ เพราะไม่งั้นก็คงไม่มีเงินมาเรียนเมืองนอก หรือไม่ก็เป็นเด็กทุน แต่เดี๋ยวนี้ก็ไม่ค่อยเห็นเด็กทุนนะ มีแต่ทุนพ่อแม่เป็นส่วนใหญ่ เราก็ไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี และก็ไม่รู้ background ของน้องเค๊าอะไรมากมาย

มาช่วงหลังก็เห็นน้องเค๊าโอนน้อยคง ก็อาจเป็นเพราะไม่ได้ทำงานมาก หรือเปล่า ไม่แน่ใจ

แต่ที่แน่ๆ ถ้าคนจะโอนตังค์แล้วโอนน้อยๆ ก็คงแสดงว่าคนที่เมืองไทยมีความจำเป็นจริงๆ ก็ดูเหมือนว่าน้องเค๊าก็ support ครอบครัวเค๊าที่เมืองไทยไปด้วย หรืออะไรสักอย่างซึ่งเราเองก็ไม่รู้

แต่ก็แอบเป็นกำลังใจให้กับคนที่สู้ชีวิตก็แล้วกันนะครับ ขอให้ทำดีแล้วได้ดี พระคุ้มครอง

Sunday, April 21, 2013

ความแตกต่าง

พี่ J รู้จักน้องๆครอบครัวหนึ่ง ซึ่งก็ถือว่ามีฐานะดีครอบครัวหนึ่ง ก็ไม่ใช่แค่ฐานะดีธรรมดา ถือว่าฐานะดีมากก็แล้วกัน เพราะส่งลูกๆมาเรียน high school กันที่นี่ตั้งแต่เด็ก และค่าเทอม high school ที่นี่สำหรับเด็กต่างชาติก็แพงน่าดู

พี่ J เห็นน้องคนนี้ตั่งแต่เด็ก เค๊าเคยมาเยิ่มพี่สาวเค๊า ตอนนั้นน้องเค๊าเรียนประถมอยู่ที่เมืองไทย แล้วก็มาเรียน high school ที่นี่ 2-3 ปีก่อนก็เป็นเด็กอยู่ แต่มาปีนี้ ตอนนี้เริ่มอยู่ ม.4 น้องเค๊าก็เริ่มถือกระเป๋าหลุยส์ เราก็สังเกตุว่า เออ ฐานะคนเราเนี๊ยะมันต่างกันจริงๆเลยเน๊อะ น้องๆก็เริ่มใช้ของ brand name ตั้งแต่เด็ก ในขณะที่เด็กๆหลายๆคน ม.4 เนี๊ยะ ยังไม่รู้เลยว่ากระเป๋าหลุยส์คืออะไร ถ้าเป็นเด็กบางคนเงินจะกินข้าวยังไม่มีเลย

แต่ก็อย่างว่าหละนะ น้องเค๊าเกิดมาบนกองเงินกองทอง ซึ่งก็ถือว่าโชคดี พี่ J จำได้ว่า ตอนที่พี่ J เป็นเด็ก ม.4 อยู่ที่เมืองไทย ของ brand name อะไรเราก็ไม่รู้จักเลย เพราะวันๆก็เอาแต่เรียน

ความแตกต่างทางสังคม ความแตกต่างทางฐานะนี่มันเห็นกันได้ชัดจริงๆ

Sunday, February 24, 2013

สู้ชีวิต

พี่ J ได้มีโอกาสได้สัมผัส กับครอบครัวและญาติๆของชาวพม่าครอบครัวหนึ่ง เห็นการต่อสู้และดิ้นรนชีวิตของพวกเค๊าแล้ว รู้สักว่าปัญหาชีวิตของพวกเรา มันดูจิ๊บๆไปเลย เพราะพวกเค๊าผ่านปัญหาการเมืองเยอะแยะมากมาย หลายๆคนมาที่ออสเตรเลีย เพื่อที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้น ชาวพม่าครอบครัวนี้ รู้สึกว่าทั้งตระกูลจะเป็นหมอหรือไม่ก็วิศวกร เปรียบเทียบกับเราแล้ว รู้สึกว่าเราโง่ขึ้นมาทันทีเลย family หนึ่งจะมีหมออะไรกันได้เยอะแยะ เรารึก็งง ทำไมเค๊าเก่งจัง

แต่ก็อย่างว่าแหละประเทศพม่า ผ่านปัญหามาเยอะแยะมากมาย ต่อให้เป็นหมอหรือวิศวกร ความเป็นอยู่ก็คงไม่ได้อยู่สบายอย่างที่เราๆคิดกัน เห็นแล้วเราก็อดคิดสงสารไม่ได้ว่า เออ ถ้าเค๊าได้มาเป็นหมอหรือวิศวกรที่ออสเตรเลีย หรือที่เมืองไทยนะ ชีวิตความเป็นอยู่ของเค๊าคงจะสบายไปหลายร้อยเท่า

เห็นแล้วเราก็อยากจะช่วยพวกเค๊าทุกอย่างเพื่อให้เค๊าได้มาอยู่ที่นี่ ได้เริ่มต้นชีวิตใหม่

วันใหนเหนื่อย วันใหนหมดกำลังใจในการทำงาน หลับตาคิดถึงพวกเค๊าเหล่านั้น ปัญหาของเราเล็กลงไปทันที

สู้ชีวิตกันต่อไปนะครับ พวกเรา อย่าท้อ เพราะยังมีอีกหลายคนที่ชีวิตเค๊าไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เค๊ายังไม่ท้อเลย 


Thursday, February 21, 2013

ขยะสังคม

มีอยู่วันหนึ่ง พี่ J นั่งอยู่ที่คลีนิค เนื่องด้วยคลีนิคที่พี่ J นั่งอยู่ มันติดกับร้านขายยาพอดี ในขณะที่นั่งรอ เราก็เห็นเด็กกลุ่มวัยรุ่นกลุ่มหนึ่ง แต่งตัวเซอร์ๆเดินเข้าออกในร้าน พากันหัวเราะคิกคัก ไม่ได้สนใจคนรอบข้าง มองดูออกทันทีเลยว่า พวกนี้เป็นพวก junkies พวกไม่ทำงาน วันๆรอรับเงินจากรัฐบาล ไอ้เราหรึก็ทำงานแทบตายกว่าจะได้เงินมาแต่ละบาท แต่ละดอลล์ เห็นเด็กพวกนี้แล้วก็เหนื่ยอใจ บางทีเราก็สงสัยว่า เอ๊ะ ถ้าเค๊าไปโรงเรียน ไปเรียนหนังสือ เค๊าก็น่าจะมี skill สามารถหางานทำได้นะ หรือเค๊าเลือกทางออกที่ง่ายๆ ที่สบายๆ คือไม่ทำอะไรเลย ไม่เรียน ไม่ทำงาน รอเงินจากรัฐบาลทุก 2 weeks

เราก็ได้แต่คิดอยู่ในใจว่า ถ้ารัฐบาลบังคับเด็กๆพวกนี้ไปเรียนอะไรก็ได้ที่ TAFE หรือที่ senior college ชีวิตพวกเค๊าก็น่าจะค่ามากกว่านี้นะ ไม่ใช่ปล่อยชีวิตไปวันๆ ไร้จุดหมายเช่นนี้ ไร้จุดหมายไม่เป็นไร แต่มาเป็นภาระสังคมนี่สิ รับไม่ได้จริงๆ

เห็นแล้วก็เหนื่อยใจ พ่อแม่พี่น้องเอ๊ย

Sunday, January 13, 2013

รักพ่อค่ะ รักแม่ค่ะ

รักพ่อค่ะ รักแม่ค่ะ 
เอ่อ......แล้วหนูเคยบอกพ่อกับแม่หรือเปล่าจ๊ะ หรือว่าบอกแต่ facebook. เผอิญพ่อกับแม่ ใช้ facebook ไม่เป็นด้วยสิ แล้วอย่างเนี๊ยะ พ่อกับแม่จะรู้มั๊ยหละ

การที่เรารักใครสักคน โดยเฉพาะพ่อกับแม่ พี่ J แนะนำให้แสดงออกให้เค๊ารู้ไปเลยว่าเรารักเค๊า ชีวิตคนเราไม่มีอะไรแน่นอนนะ ถ้าเราไม่บอกรักวันนี้ เราจะรู้อย่างไงว่าพรุ่งนี้เรายังจะมีโอกาสอยู่ ไม่เราหรือเค๊าอาจจะไปจากโลกนี้ก็ได้

อย่าดำเนินชีวิตด้วยความประมาท อย่าคิดว่าพรุ่งนี้จะมาถึง รักพ่อแม่ บอกรักเลยวันนี้ และทุกๆวัน หรือไม่ก็แสดงให้เค๊ารับรู้ว่าเรารัก อย่าปล่อยให้เค๊าอ้างว้าง อย่าปล่อยให้เค๊า insecure ว่าวันหนึ่งเราจะดูแลเค๊าหรือเปล่าเมื่อตอนเค๊าแก่เฒ่า

ถ้ากับแฟน เราจุ๊บ จุ๊บ kiss kiss ลง facebook
กับพ่อ กับแม่ เราก็ จุ๊บ จุ๊บ kiss kiss ได้ ไม่ต้องอายใคร จริงๆแล้วมันเป็นสิ่งที่ไม่น่าอายด้วยซ้ำ มันเป็นสิ่งที่หลายๆคนอิจฉาต่างหาก

วันนี้คุณ kiss kiss จุ๊บ จุ๊บ คุณพ่อ คุณแม่ ของคุณหรือยัง
วันนี้คุณ บอกรัก คุณพ่อ คุณแม่ ของคุณหรือยัง

ขอให้ชีวิตทุกคนเต็มไปด้วยความรักนะครับ ความรักที่สัมผัสได้ อย่ามามีแต่ความรักบน facebook เลย