Tuesday, December 29, 2015

โทษตัวเองจะดีกว่ามั๊ย


เราเคยมีเพื่อนบ้านที่เคยพักอยู่ชั้นล่างของตึก แต่ตอนนี้ได้โดนให้ย้ายออกจากตึกไปแล้ว สาเหตุเพราะว่า
  • เล่นดนตรีตอนดึก หลัง 4 ทุ่ม หลังเที่ยงคืน และชอบทำเสียงดังโครมครามตอนดึกๆ เหตุผลเพราะเขาไม่พอใจเพื่อนบ้านข้างๆห้องที่อยู่ติดกัน
ส่วนเราเองไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวอะไรกับเขาหรอก เพราะเราพักอยู่ข้างบนเพียงแต่ว่าครอบครัวเราต้องการนอนเวลากลางคืนหนะ เพราะเราเองต้องทำงานและลูกก็ต้องไปโรงเรียน พวกเราไม่ได้มีเวลาว่างเหมือนพวกคนว่างงานเหล่านี้ หรือพวกรับจ้างทั่วไปที่บางทีก็มีงานทำมั่ง บางทีก็ไม่มี

เสียงดังดึกๆดื่นๆครั้งแรกเราพอทนได้ แต่บ่อยๆเข้า ชักได้ใจเพราะไม่มีใครร้องเรียน สุดท้ายทั้งเราและเพื่อนบ้านรอบๆข้างก็ได้ทำการร้องเรียนไปที่บริษัทที่ดูแลตึก และสุดท้ายฝรั่งคนนี้ก็ต้องย้ายออกพร้อมกับสุนัขของเขา

อดีตเพื่อนบ้านคนนี้มีรถตู้ที่เขาดัดแปลงให้เป็นบ้านเคลื่อนที่ เพราะเขาเคยคิดว่าจะขับรถไปรอบๆประเทศ ไปหารับจ้างตามเมืองนั้นที เมืองนี้ที และเล่นดนตรีตามผับ เล่ล่อนไปเรื่อยๆ เพราะหย่าแล้วกับเมีย ลูก 2 คนก็ไม่ได้ดูแล สรุปแล้วคือ ชีวิตเขาดูๆแล้วมันก็เป็นพวก "ชีวิตบัดซบ" เพราะท้ายที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรเหลือเลย มีแค่รถกับสุนัข 1 ตัว

การที่คนที่ออสเตรเลียจะหาบ้านเช่าได้นั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะเจ้าของตึกเองหรือบริษัทที่ดูแลตึกก็ต้องดูว่า คนที่จะมาเช่าตึกหรือเช่าห้องนั้น มีคุณสมบัติ มีศักยภาพทางการเงินสามารถจ่ายค่าเช่าได้ตลอดไปหรือเปล่า

ถ้าหากการงานไม่มั่นคง เขาก็หาที่เช่าได้ยาก

อดีตเพื่อนบ้านคนนี้ก็เลือกที่จะทำตัวเป็นพวกเล่ล่อน คือนอนอยู่ในรถ และไปเช่าที่จอดรถตาม caravan park ต่างๆ หรือไม่ก็จอดรถนอนตามที่จอดรถสาธารณะตามทะเล แต่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น หรือ town council เองก็มีการห้ามจอดรถตามชายทะเล ในยามค่ำคืน เพื่อรักษาความเป็นระเบียบของเมือง

สุดท้ายชายคนนี้ก็ต้องย้ายที่จอดรถนอนตอนกลางคืนไปเรื่อย เพราะเดี๋ยวเจ้าหน้าที่ก็จะมาคอยไล่

ครั้นจะไปจอดตาม caravan park ถึงแม้ราคาจะถูกๆ ที่ Wollongong มีที่ให้จอดคืนละ $7 แต่บริษัท caravan park ก็ต้องการพวกที่จอดพักเป็นนักท่องเที่ยว คือมาจอดพัก 1-2 คืนแล้วก็เดินทางต่อ ไม่ใช่พวกเอารถตู้มาจอดพักเพื่อเป็นที่อยู่ถาวร สุดท้ายก็ต้องโดนไล่ออกจาก caravan park

ดูเอาเถอะคนเรา ถ้าทำตัวดี ไปที่ใหนคนก็รัก คนก็ชอบ แต่ถ้าทำตัวเป็นนักเลงกร่าง คอยหาเรื่องชาวบ้าน กัดคนนั้นที กัดคนนี้ที ต่อให้ไปอยู่ที่ใหนก็คงลำบาก

ทุกวันนี้ชายคนนี้ก็เปลี่ยนที่นอน ที่จอดรถตู้ไปเรื่อยๆ แต่เขาก็ยังอยู่แถว Wollongong เพราะเราเองก็ยังเห็นรถเขาวิ่งไปๆมาๆตามทะเล ตามที่จอดรถสาธารณะอยู่บ่อยๆ


ฝรั่งที่ "ชีวิตบัดซบ" หนะเหรอ มีเยอะแยะมากมาย พวกไม่เรียนหนังสือ ไม่มีทักษะในการทำงานในการทำมาหากิน สุดท้ายแล้วก็ต้องแบมือขอเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล ซึ่งก็เป็นเงินภาษี เป็นหยาดเหงื่อจากการทำงานของพวกเรานี่แหละ

ไม่ว่าจะที่เมืองไทย ที่ประเทศออสเตรเลีย หรือที่ใหนๆก็ตาม ถ้าคนเราเกิดมาแล้วไม่ดิ้นรน ไม่ปากกัดตีนถีบ วันๆได้แต่นอนคอยวาสนา รอเงินหล่นลงมาจากฟ้า รอเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล ชีวิตเขาก็คงจะอยู่แค่นี้แหละ

สุดท้ายแล้วเขาก็คงต้องโทษตัวเขาเอง ที่ชีวิตเขาต้องมาเล่ล่อนตอนวัยกลางคน (ตอนปลาย) ถ้าหากเขาทำตัวเป็นเพื่อนบ้านที่ดี บอกได้เลยว่าคงไม่มีใครไปร้องเรียนและสุดท้ายก็ต้องโดนไล่ออกหรอก 

ส่วนเรื่องการหางานทำก็เหมือนกัน คนเรานะถ้าอัธยาศัยดีสะอย่าง หนักเอาเบาสู้ คิดว่าต่อให้เขาไปหางานที่ใหนก็คงไม่มีปัญหา เพราะคนอัธยาศัยดีนะ คนอื่นสามารถรับรู้และสัมผัสได้ และคิดว่าทุกคนก็พร้อมที่จะให้งานทำ

แต่ก็ดูเหมือนว่าชายคนนี้เขาก็เลือกที่จะปล่อยทิ้งชีวิตของเขาไปวันๆด้วยการ ขับรถไปเรื่อยเปลื่อย นั่งๆนอนๆอยู่ในรถตู้ ดู TV เพราะเขาปรับรถตู้ทำเป็นแบบบ้านเคลื่อนที่ ดูๆแล้วชีวิตเขาก็คงต้องเล่ล่อนจากที่จอดรถที่หนึ่งไปอีกที่จอดรถที่หนึ่งแหละ

สุดท้ายแล้ว เขาก็คงต้องโทษตัวเอง เพราะทุกสิ่งอย่างที่มันเกิดขึ้นกับชีวิตเขา เขาเป็นคนสร้างมันขึ้นมาและเขาเองก็เป็นคนเลือกในสิ่งที่เขาทำและในสิ่งที่เขาเป็น

... เป็น...อยู่...คือ...


Monday, December 28, 2015

อดเปรี้ยวไว้กินหวาน


เมื่อเพื่อนสนิทกับครอบครัวเขาที่เป็นชาวพม่าแวะมาที่ Wollongong เราก็เลยออกไปเจอกัน ทานข้าวเที่ยงที่ร้านอาหารไทยใน Wollongong เราก็ได้พูดคุยกับเพื่อนและก็ภรรยาเขา ก็ถามสารทุกข์สุขดิบไปตามประสาเพื่อนเก่า เพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกัน

ภรรยาของแฟนเรียนจบหมอมาจากประเทศพม่า แต่การที่จบหมอมาจากประเทศพม่าไม่ได้หมายความว่าเขาสามารถมาเป็นหมอที่นี่ได้เลย เปล่าเลย เขาต้องผ่านการฝึกอบรมใหม่ และไปประจำอยู่ตามโรงพยาบาลตามเมืองรอบนอกเป็นเวลา 2 ปี ทุรกันดารมาก เมืองหนึ่งที่เขาต้องไปประจำปีแรก อยู่ห่างจากบ้านประมาณ 5-6  ชั่วโมง แต่เขาก็ต้องไป ทิ้งลูก ทิ้งสามีไปอยู่ถิ่นทุรกันดาร เป็นเวลา 1 ปีเต็มๆ เขาจะมาหาลูก มาหาสามีประมาณเดือนละครั้งเอง และเดือนต่อไปสามีกับลูกก็จะเป็นฝ่ายไปหา สลับกันไปมาอย่างนี้เป็นเวลา 1 ปีเต็มๆ

แต่ก็โชคดีที่มีแม่สามีช่วยดูแลลูกตอนนั้น

พอปีที่ 2 เขาก็ได้ย้ายจากโรงพยาบาลจากเมืองทุรกันดาร มาอยู่เมืองรอบนอกเหมือนเดิม แต่ก็ไม่ได้ทุรกันดารเหมือนปีแรกมาก คราวนี้เมืองที่เขาประจำอยู่ อยู่ห่างจากบ้านที่ Sydney ประมาณ 4 ชั่วโมง ซึ่งก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากเหมือนปีแรก แต่เขาก็กลับบ้านทุกอาทิตย์มาหาลูกมาหาสามีไม่ได้ เขาจะกลับมาทุก 2 อาทิตย์ เพราะการเดินทาง 4 ชั่วโมงทุกๆอาทิตย์ ไป-กลับก็ 8 ชั่วโมงแล้ว จะให้เดินทางทุกอาทิตย์ก็คงไม่ไหว และค่าน้ำมันเองก็แพงด้วย

เขากับหมอชาวต่างชาติ ชาวอินเดียที่ฝึกงานอยู่ด้วยกัน ก็เลยแชร์รถกันทุกๆ 2 อาทิตย์เพื่อขับรถกลับเข้า Sydney มาหาครอบครัวทุกๆ 2 อาทิตย์

เราเห็นเพื่อนและภรรยาเขาใช้ชีวิตอยู่แบบนี้ ช่วง 2 ปีแรกที่ภรรยาเขาต้องไปฝึกงานที่โรงบาลตามถิ่นชนบท บอกได้เลยว่าตอนนั้นสงสารและเห็นใจครอบครัวเพื่อนมากเลย เราเองก็ได้แต่ให้กำลังใจ ชีวิตคนเรามันต้องสู้จริงๆถึงจะอยู่รอด มันไม่ได้โรยไปด้วยกลีบกุหลาบเลย

พอครบ 2 ปี ภรรยาเพื่อนก็สามารถย้ายเข้ามาประจำอยู่ตามเมืองใกล้ๆบ้าน และสามารถทำงานที่คลีนิคได้ด้วย แต่ว่าช่วง 10 ปีแรก หมอที่จบจากต่างประเทศมาห้ามทำงานคลีนิคตามเมืองใหญ่ๆ เป็นระยะเวลา 10 ปี เพราะรัฐบาลต้องการให้หมอไปทำงานตามคลีนิคตามหัวเมืองรอบๆนอกมั่ง เพราะหมอตามเมืองใหญ่ๆมีเยอะมากแล้ว หมอตามเมืองรอบนอกยังขาดแคลน

ภรรยาเพื่อนเราก็ขับรถไปไม่ไกลมาก แค่ 40-45 นาที ก็ถือว่าอยู่เขตรอบนอกแล้ว ซึ่งไม่มีปัญหาอะไร เพราะขับรถแค่นี้เอง ที่ออสเตรเลียเราถือว่าเป็นเรื่องปกติ และหมอเองทำงานที่คลีนิครายได้ก็ดีอยู่แล้ว ชีวิตของเพื่อนและภรรยาก็เริ่มดีขึ้น แม่ก็ได้อยู่กับลูกและสามีทุกวัน ไม่ต้องแยกกันอยู่เหมือน 2 ปีแรก

มาวันนี้ 10 ปีผ่านไป ภรรยาเพื่อนเราสามารถทำงานในคลีนิคตามเมืองใหญ่ได้แล้ว ไม่มีข้อกำหนดอะไรอีกต่อไปเหมือนช่วงแรกๆ เราเห็นชีวิตครอบครัวของเพื่อนเราแล้ว เราก็จะยิ้มและชื่นชมชีวิตพวกเขาอยู่ในใจอยู่ลึกๆว่า ชีวิตเขาผ่านอะไรมามั่ง จากช่วง 2 ปีแรกที่ต้องไปฝึกงานตามโรงพยาบาลในถิ่นทุรกันดาร มันเป็นการอดเปรี้ยวไว้กินหวานจริงๆ เพราะบอกได้เลยว่าช่วง 2 ปีแรกของพวกเขาไม่ได้สบายเลย การแยกกันอยู่และก็มีลูกเล็กๆที่ต้องเลี้ยงดู ถ้าไม่อึดจริงก็คงลำบาก

อยากจะบอกทุกคนว่า ชีวิตคนเราไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ อดทนสักนิด อึดกันสักหน่อย อดเปรี้ยวไว้กินหวานกัน ชีวิตมันต้องเดินไปข้างหน้า ชีวิตมันจะต้องดีขึ้น

ชีวิตคนเรามันต้องสู้... ต้องสู้ จึงจะชนะ...

Saturday, December 26, 2015

เปลี่ยนจากคำดูถูกให้เป็นแรงบันดาลใจ จะดีกว่ามั๊ย?


การเดินทาง หรือไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามแต่ ดูเหมือนว่ามันจะขวากหนามเต็มไปหมดเลยนะ คนเราจะทำอะไรก็เหมือนกัน มันก็ชอบเหลือเกินที่จะมีมนุษย์บางกลุ่ม คนบางจำพวกที่จะต้องคอยกระแหนะกระแหน พูดจาถากถาง ดูถูกดูแคลน ไม่ให้กำลังใจไม่ว่า แต่พูดจาเหยียดหยามเนี๊ยะมันน่าเกลียดจริงๆ

แต่ก็นั่นแหละ เราเอาคำพูดอะไรต่อมิอะไรเหล่านี้มาเป็นแรงบันดาลใจดีกว่ามั๊ย เป็นแรงบันดาลใจเพื่อลบคำสบประมาทของใครสักคน

เราจำได้ว่าช่วงปีแรกๆของการเป็น อิมมิเกรชั่นเอเจนท์ (J Migration Team) เราก็ไม่ได้กำจะทำอะไรจริงจังเพราะคิดว่าลูกค้าอะไรที่ Wollongong เองก็คงไม่เยอะ ตอนนั้นเราก็ทำธุรกิจร้านอาหารของเราไป และก็ถือว่าธุรกิจร้านอาหารเป็นธุรกิจหลัก และธุรกิจอิมมิเกรชั่นเอเจนท์ เป็นแค่ธุรกิจเสริม ทำเป็นแค่ freelance เป็น pocket money อะไรก็ว่าไป

เนื่องด้วยว่า การเป็นอิมมิเกรชั่นเอเจนท์เนี๊ยะ เราจะต้องมีการต่อใบอนุญาติการประกอบวิชาชีพทุกๆปี และการที่เราจะต่อใบประกอบวิชาชีพเนี๊ยะ นอกจากเราจะต้องเรียนจบมาทางด้านกฏหมายอิมมิเกรชั่นแล้ว เราก็ต้องมีการเข้าอบรม seminar หรือ workshop เพื่อให้ได้แต้มครบ 10 แต้มทุกๆปี

ปีแรกๆเราก็ได้ไปเข้า seminar ที่ Sydney และก็ได้มีโอกาสเจอพี่คนไทยคนหนึ่งที่เป็นเจ้าของอิมมิเกรชั่นเอเจนท์เจ้าใหญ่ที่ Sydney เพราะเขาเปิดมานานแล้ว และเราเองก็เคยใช้บริการเขาเหมือนกัน เพราะเราก็เอาเพื่อนเราทำวีซ่านักเรียนมากับเอเจนท์ของพี่คนนี้

ซึ่งเป็นปกติของคนไทยอยู่แล้วที่เวลาเราเจอคนที่เรารู้จัก เราก็ยกมือไหว้ เช่นเดียวกัน เราก็เข้าไปทัก เข้าไปยกมือไหว้พี่คนนี้ แต่สิ่งคนนี้พูดออกมาก็คือว่า

"เป็นอิมมิเกรเจนท์ จะ  work เหรอ จะมี case ทำพอจ่ายค่า license หรือเปล่า?"

ค่า license ก็คือค่าต่อทะเบียนใบประกอบวิชาชีพนะครับ ซึ่งปีหนึ่งก็ประมาณ $5,000 เพราะบวกนั่น นี่ โน่น ค่าประกัน ค่า seminar ค่า workshop

เราเองก็นึกในใจว่า เออ ไม่เข้าไปทักสะก็สิ้นเรื่อง ป่วยการที่เราไปยกมือไหว้แก วันนั้นแกก็เป็นป้ามาเลยนะ แต่งตัวธรรมดา ไม่ได้แต่งหน้า อยากจะบอกว่าหน้าตาป้าโทรมมากเลย...

จากวันนั้น มาจนถึงวันนี้ เราก็ไม่เคยได้เจอพี่ (ป้า) คนนี้อีกเลย ก็เลยไม่ได้มีโอกาสกลับไปบอกแกว่า เรามี case ทำพอจ่ายค่า license ทุกๆปี ยังไม่เจ๊งจ๊ะ

อยากจะบอกและเป็นกำลังให้ทุกคนที่เลือกจะทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำว่า ให้เปลี่ยนคำดูถูกเหยียดหยามพวกนั้นมาเป็นกำลังใจและแรงบันดาลใจในการทำงาน ทำงานของตัวเองให้เต็มที่ ดูแลลูกค้าของตัวเองให้ดีที่สุด แล้วลูกค้าเขาจะบอกปากต่อปากเอง แล้วสักวันหนึ่ง วันนั้นก็คงมาถึง วันที่หลายๆคนเขาต้องกลืนคำพูดเหล่านั้นของเขาเอง

Sunday, December 20, 2015

ไม่ต้องโกหกก็ได้นะ


การพูด “โกหก” เป็นแค่การปิดบังความจริงอย่างหนึ่ง ไม่ใช้การ “ลบเลือน” ความจริง…หากเราเป็นคนที่มักสร้างเรื่องโกหกอยู่เป็นประจำ เราจะรู้ว่าเมื่อเริ่มต้นผูกเรื่องด้วยการโกหกแล้ว เราก็ต้องสานต่อด้วยการโกหกในครั้งต่อๆไป เท่าที่สังเกตุเห็นนะ ไม่ช้าหรือเร็วความจริงที่ถูกปิดบังก็จะปรากฏขึ้นมาสักวัน

คนหลายคนก็โกหกสะจนเป็นนิสัยไปแล้ว พูดจาอะไรออกมา แบบว่า ขอโกหกไว้ก่อนก็แล้วกัน มันชิน!!!

การ “โกหก” มันทำให้ชีวิตเรายุ่งยากนะ แต่ทำไมคนบางคนถึงเลือกที่จะ “โกหก” ก็ไม่รู้… 

OK.... เราเข้าใจแหละว่าแต่ละคนมีเหตุผลอะไรที่แตกต่างกันออกไป แต่ละคนมีเหตุผลของใครของมัน บางคนก็ทำไปเพราะความจำเป็น ทำไปเพื่อไม่อยากให้คนรอบข้างเดือดร้อน ไม่อยากให้คนรอบข้างเป็นห่วง แต่รู้มั๊ยว่าการที่คนรอบข้างหรือคนใกล้ตัวเค๊ามารู้ทีหลังนั่นแหละ มันยิ่งน่าเป็นห่วง เพราะปัญหาบางอย่างมันจวนเจียนจะเกินแก้ โดยเฉพาะปัญหาเรื่องการเงินและหนี้สิน

หากเราโกหกใครสักคน คนใกล้ตัว ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนรอบๆข้างหรือคนในครอบครัวหรือใครก็ตามแต่ รู้มั๊ยว่าปัญหาบางอย่างมันสามารถแก้ไขได้ตั้งแต่เนิ่นๆ อย่าปล่อยให้มันยืดยาว มีปัญหาอะไร ก็แนะนำให้บอก ให้ปรึกษากับคนรอบๆข้าง อย่าปล่อยให้มันเรื้อรัง เพราะปัญหาบางอย่างถ้ามันได้มาถึงจุดจุดหนึ่งแล้วมันอาจจะแก้ไขยากก็ได้ อย่างเช่นปัญหาเรื่องการเงินและเรื่องหนี้สินเป็นต้น อย่าปล่อยให้เรื้อรัง...

ดังนั้นในบางเรื่องที่เราคิดว่า “เออ....ไม่เป็นไรหรอก” คงไม่สร้างความเดือดร้อนอะไรให้แก่ใครหรอก ก็อาจจะไม่จริงเสมอไป โดยเฉพาะกับคนใกล้ตัวที่เค๊าพร้อมจะให้ความช่วยเหลือเราได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว ดังนั้นถ้าหากเรามีอะไร ประสบปัญหาอะไรมาก็ต้องบอกกันตั้งแต่เนิ่น ไม่ต้องโกหก มีอะไรจะได้รีบช่วยๆกันแก้ไข ก่อนที่มันจะสายเกินแก้

Monday, December 7, 2015

หูทวนลม


รู้มั๊ยทำไมเด็กๆหรือคนหลายๆคนเวลาเราพูดเราอะไรกับเค๊า เค๊าถึงทำเป็นหูทวนลม นั่นอาจเป็นเพราะเค๊าเบื่อที่จะฟัง หรือไม่ก็ขาดความเคารพหรือเปล่า

ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ไม่ต้องโทษใคร เราเองต่างหากที่ควรจะต้องกลับหันมามองดูตัวเองว่า สิ่งที่เราพร่ำพูดไปมันมีประโยชน์ มันมีสาระอะไรหรือเปล่า หรือสิ่งที่เราพูดไป มันเป็นแค่เพียงเพราะเราอยากจะบ่น อยากจะพูด เพื่อตอบสนองความต้องการของเราเท่านั้น 

ถ้าหากมันเป็นแค่เพียงเพราะเราอยากจะบ่น มันก็เป็นอะไรที่ป่วยการ เป็นอะไรที่ไม่เกิดประโยชน์ สิ่งที่เราพร่ำเพ้อพูดไปมันก็กลายเป็นอะไรที่น่าเบื่อ น่ารำคาญ แทนที่อะไรที่เราพูดไป คนที่ฟังเค๊าจะเก็บเอาไปคิด เก็บเอาไปไตร่ตรอง แต่เปล่าเลย มันตรงกันข้าม มันก็เลยกลายเป็นว่าคนฟัง ทำเป็นหูทวนลมไปเลย สรุปว่าคนที่พร่ำพูด พร่ำบ่น มันก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรขึ้นเลย เพราะอีกฝ่ายเค๊าไม่ได้ให้ความสนใจอะไรเลย

ดังนั้นคนที่ชอบพร่ำพูด นั่น นี่ โน่น ก็ต้องดูด้วยว่า สรุปแล้วไอ้ที่เราพูดๆอะไรลงไปเนี๊ยะ มันมีคนฟังเรามั๊ย มันเกิดประโยชน์อะไรหรือเปล่า หรือมันเสียเวลาเราเฉยๆ ถ้าพูดไปแล้ว พร่ำไปแล้ว มันไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรเลย สู้เราเลิกพร่ำพูด พร่ำบ่นจะดีกว่ามั๊ย มันน่าจะดีสำหรับทั้ง 2 ฝ่ายนะ ทั้งคนพูดและคนฟัง คนพูดเองก็จะได้ไม่ต้องเปลืองพลังงานและเสียเวลาในการพูด ป่วยการที่จะพูด

ดังนั้นถ้าเราคนที่เป็นผู้ใหญ่ ถ้าเห็นเด็กๆคนใหนทำเป็นหูทวนลมเวลาเราพูด เราเองก็ต้องพิจารณาตัวเองแล้วหละว่าเราหนะขี้บ่นอะไรเกินไปหรือเปล่า ถ้าเราปล่อยวางได้ เลิกพูด เลิกบ่นจะดีกว่ามั๊ย...

Sunday, November 29, 2015

ป้า ต้องปล่อยวาง


เรารู้จักคุณป้าท่านหนึ่งที่ออสเตรเลีย คุณป้าจะมาช่วยดูแลหลานทุกๆปี เพราะพ่อกับแม่ของหลานต้องทำงาน ไม่ค่อยได้มีเวลาดูแลลูกสักเท่าไหร่

ป้าก็จะเป็นคนขี้บ่นนิดหนึ่ง ตามประสาคนแก่ที่ยังปลงไม่ตก ปล่อยวางยังไม่ได้ ห่วงอะไรไปหมดทุกอย่าง

ป้ายังมีความคิดและการปฏิบัติเดิมๆในการเลี้ยงดูหลานคือ พูดจาตวาดหลานอะไรแร็งๆ บ่นอะไรซ้ำๆซากๆ ซึ่งก็บอกได้เลยว่าไม่เป็นผล เพราะคุณป้าเองก็มาเลี้ยงหลานได้แป๊บๆ เดี๋ยวก็กลับเมืองไทยแล้ว ป้าไม่ได้อยู่ที่ออสเตรเลียถาวร

บางทีเราก็อยากจะบอก อยากจะพูดกับป้าว่า วิธีการเลี้ยงหลานของป้าไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่ แต่เราก็พูดอะไรมากไม่ได้ เพราะเราเองก็เป็นเด็ก เราอายุน้อยกว่า ตามประเพณีไทยเรา เด็กก็ต้องให้ความเคารพกับผู้ใหญ่และผู้ที่สูงอายุ ดังนั้นการที่เราจะพูดจะอะไรกับป้า เราก็ต้องระวัง อีกอย่างเราก็ไม่ใช่คนในครอบครัวเค๊าเสียด้วยสิ เราก็แค่คนไทยที่รู้จักกันที่ออสเตรเลีย ก็แค่นั้นเอง

ถ้าเป็นไปได้เราเองก็อยากจะบอกให้ป้าแกปล่อยวางมากกว่า เพราะเด็กสมัยนี้เหรอ ตวาดไปก็เท่านั้น พูดเสียงดังไปก็เท่านั้น เด็กๆเค๊าชอบทำหูทวนลมกัน จริงๆแล้วคุณป้าเดินทางเข้าออกออสเตรเลียมาเลี้ยงหลานได้ 16 ปีแล้ว ป้าน่าจะรู้นะว่าวิธีการเลี้ยงหลานของป้ามันไม่ได้ผล

การว่ากล่าว ตักเตือน หรือสั่งสอนเด็ก บางทีถ้าเราปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพ่อแม่เค๊าก็จะดีกว่า เรามีหน้าที่แค่ช่วยดูแลสวัสิดการของเด็ก ดูแลเรื่องอาหารการกินและความเป็นอยู่เวลาพ่อแม่เค๊าไปทำงานก็พอแล้ว เรื่อง discipline เด็ก อบรมบ่มนิสัยอะไรนั้น ปล่อยให้พ่อแม่เค๊าจัดการกันเองจะดีกว่า

ถึงแม้ว่าเราเป็นย่า เป็นยาย เราก็ไม่ใช่พ่อแม่เค๊า บางทีพูดอะไรไปมันก็ป่วยการเปล่าๆ สู้คุณป้าปล่อยวางลงไปนิดหนึ่ง ทำตัวชิวๆสบายๆ ป้าเองก็จะได้ไม่เครียด เพราะดูๆแล้วเครียดไปก็ไม่เกิดประโยชน์

การเลี้ยงดูเด็กแบบสมัยเก่าๆ แบบตะคอกและตวาด มันหมดสมัยแล้วหละ มันไม่ได้ผล มันไม่ work เอาเวลาเราไปทำอะไรอย่างอื่นจะดีกว่ามั๊ย....

Friday, November 13, 2015

เล่นหวย รวยหรือจน


เล่นหวย รวยหรือจน หวยเป็นความหวังลมๆแล้งๆหรือเปล่า เล่นหวยแล้วรวยมั๊ย เดี๋ยวเรามาอ่านกัน

เรามั่นใจว่าคนไทยแทบจะทุกภาค ทุกเหล่ากอ โดยเฉพาะกลุ่มคนรากหญ้าหรือผู้มีรายได้น้อยด้วยแล้วละก็ จะรู้จักมักคุ้นกับการเล่นหวยกันเป็นอย่างดี… บางคนก็ได้บ้าง นั่น นี่ โน่น นิดหน่อย บางคนก็เล่นสะจนหมดตัว … 
แต่กระนั้นก็เถอะ มันไม่ได้ทำให้คนเล่นหวยลดน้อยลงไปเลย… ในทางกลับกัน หลายๆคนทุ่มทุนสร้างกันไปเลยทีเดียว เพียงเพื่อหวังใช้โชคชะตา หวังรวยทางลัดแบบไม่ต้องออกแรงอะไรเลย คิดเอาง่ายว่าเล่นไปแล้วคงจะ "รวย" เร็ว

จากการสังเกตุเราอยากจะแยกกลุ่มคนที่เล่นหวยเป็นสองประเภทใหญ่ๆด้วยกัน ประเภทแรก 
พวก “ซื้อหวยเล่นๆสนุกๆ” กับ ประเภทที่สอง พวก “ซื้อหวยแบบจริงจังกะเอารวย” ซื้อจนกลายไปเป็นอาชีพ กลายเป็นนิสัย ติดงอมแงม

1. “ซื้อหวยเล่นๆสนุกๆ”

ลักษณะนิสัยของนักเล่นหวยในกลุ่มนี้ดูจะไม่ค่อยเป็นปัญหาสักเท่าไหร่ เพราะส่วนมากพวกเค๊าจะซื้อในจำนวนเงินที่น้อย เช่น งวดละ 100 - 200 บาท หรือถ้าเป็นหวยรัฐบาลก็อาจจะครั้งละ 1-2 ใบ ก็ซื้อเพื่อความสนุกๆเล่นๆเฉยๆ แต่ก็แอบหวังอยู่ลึกๆว่าอาจจะถูกบ้าง แต่อย่าลืมนะครับว่า
นี่คือจุดเล็กๆ จุดเริ่มต้นที่ทำให้คนเริ่ม "ติด" เพราะยังไงเสีย "หวย" มันก็คือการพนันเราดีๆนี่เอง "ติด" เพราะว่าอารมณ์ตื่นเต้น ได้ลุ้น

2. “ซื้อหวยกะเอารวย”

จากการสังเกตุ คนกลุ่มนี้แหละเป็นกลุ่มคนที่มักสร้างปัญหาให้กับตัวเองและสังคม เพราะพวกเขาจะซื้อหวยด้วยความจริงจัง ซื้อชนิดที่ว่าหากถูกขึ้นมาครั้งหนึ่งต้องได้เงินมหาศาล หวังรวยแบบง่ายๆ ทางอ้อม แต่ก็อยากจะให้จำไว้เสมอว่า อะไรที่มันได้มาง่ายๆมันก็เสียไปได้ง่ายๆ เช่นเดียวกัน ฉันใดก็ฉันนั้น

คนกลุ่มนี้จะทุ่มทุนในการซื้อเป็นจำนวนมาก งมงายไร้สาระ คนที่ถูกหวย สุดท้ายแล้วก็จะเอาเงินที่ถูกกลับมาซื้อใหม่อยู่ดี สุดท้ายตังค์ที่ได้จากการซื้อหวยมันก็อยู่กับเราไปได้ไม่นาน แล้วปัญหาเรื่องเงินอะไรต่างๆก็จะตามมา ครอบครัวแตกร้าว
สามีภรรยามีการแยกทางกันก็มีเยอะแยะ การงานไม่ทำ กลายเป็นปัญหาสังคมอีก น่าเบื่อ...

คนกลุ่มนี้พอวันใกล้หวยออกก็จะชอบตระเวนไปด้วยกันกับกลุ่มคนที่คลั่งหวยด้วยกัน พวกฝันลมๆแล้งๆ เที่ยวหาเลขเด็ดตามสถานที่ต่างๆไปทั่ว เสียเงินเสียทอง และยังเสียเวลาอีกด้วย พวกนี้เป็นพวกหนักสังคม พวกสังคมไร้สาระ หวังรวยทางลัด

จริงอยู่ที่ “หวย” อาจเปลี่ยนฐานะคนได้เพียงในชั่วข้ามคืน แต่เราก็ต้องดูความน่าจะเป็นด้วยว่ามันมากน้อยแค่ใหน เพราะทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนมาจาก “โชคชะตา” ซึ่งหาความแน่นอนอะไรไม่ได้เลย อีกทั้งเรายังไม่สามารถควบคุมปัจจัยอะไรได้เลย สรุปคือเสี่ยงดวงกันดีๆนี่เอง 


คิดจะรวยทางลัดเหรอ พวกคนที่ออกไปตามหาเลขเด็ดหนะเหรอ เอาเวลามาทำการทำงานจะดีกว่ามั๊ย... จะไปเสียเงินเสียทอง เสียเวลาอะไร ทำไมกันเนี๊ยะ ไม่เข้าใจ

ไม่รู้สินะเรายังไม่เห็นใครรวยได้เพราะหวยสักที


ลองคำนวณดูนะว่าในแต่ละเดือนเราหมดเงินในการวัดดวงไปเท่าไหร่…. มันมากพอที่จะนำเงินเหล่านั้นไปลงทุนทำอะไรสักอย่างหรือเปล่า… 
เราเอาเงินทุนเหล่านั้นไปเอาอะไรอย่างอื่นจะดีกว่ามั๊ย

สรุปแล้ว เล่นหวย รวยหรือจน ก็เก็บเอาไปคิดกันเองก็แล้วกันนะครับ

Sunday, November 1, 2015

Melbourne Cup

เดือนพฤศจิกายนของทุกปีที่ออสเตรเลีย ที่รัฐวิคตอเรีย Victoria วันอังคารแรกของเดือนก็จะมีการแข่งม้า เรียกว่า Melbourne Cup ซึ่งเป็นการแข่งม้าระดับโลก จะมีม้ามาจากทุกมุมทุกประเทศของโลกส่งม้าเข้ามาแข่งขัน และเงินรางวัลก็หลายล้านเหรียญออสเตรเลียเลยทีเดียว เงินรางวัลเป็นหลักล้านเหรียญครับพี่น้อง ดังนั้นที่ Victoria จึงจัดให้ Melbourne Cup เป็นวันหยุดราชการ

เราเข้าใจนะครับว่างานใหญ่แบบนี้ มันก็เป็นการดึงดูดเงินนักท่องเที่ยวให้มาเที่ยวที่ Melbourne กิจการร้านค้า ขายดิบขายดี โรงแรมและร้านอาหาร ไม่ต้องห่วงครับ โกยเงินกันเป็นกอบเป็นกำ สร้างรายได้ให้กับรัฐ Victoria เป็นอย่างมากมายมหาศาล ในขณะเดียวกันรัฐอื่นๆอย่างเช่นรัฐ New South Wales เอง จริงๆแล้วเราก็ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับรัฐ Victoria เค๊าเลยนะ แต่ก็อย่างว่าแหละ มนุษย์เราสามารถหาเหตุผลในเรื่องของการกิน เล่น เที่ยว ได้ง่ายๆ

ที่รัฐ New South Wales เองก็จะมีโปรโมชั่นตามร้านอาหาร โรงแรมหรือผับต่างๆ จะมีการจัดฟังก์ชั่นกัน จัด Melbourne Cup lunch กัน ทั้งๆที่เราก็ไม่ได้เป็นอะไรกันกับรัฐ Victoria เลย ก็ไม่รู้นะว่าที่รัฐอื่นจะเป็นอย่างรัฐ New South Wales หรือเปล่า

บริษัทอะไรต่างๆก็ประมาณว่าทำงานกันแค่ครึ่งวันเพราะพอตกเที่ยงปุ๊บ ก็จะไป Melbourne Cup lunch ตามผับ ตามโรงแรมกัน คือเริ่มกินกันตั้งแต่เที่ยงจนบ่าย และก็เลยต่อกันไปจนถึงเย็น พอประมาณ 5 โมงเย็นก็จะมีแต่คนเมาเดินข้ามถนนกัน เวลาคนเมาเดินข้ามถนนกันเนี๊ยะ คือประมาณว่าเค๊าคือเจ้าถนน เราขับรถก็ต้องให้เค๊าไปก่อน จะถูกจะผิดจราจรค่อยว่ากันทีหลัง เพราะว่ามันเป็น Melbourne Cup ครับพี่น้อง

แต่ที่เราไม่เข้าใจก็คือ Melbourne Cup จริงๆแล้วมันก็คือการแข่งม้าเราดีๆนี่แหละ เพียงแต่รัฐ Victoria เค๊าโปรโมตดีจนกลายเป็นกีฬาระดับโลก แต่จะมีมั่งมั๊ยที่ใครสักคนมองลงไปลึกๆว่า จริงๆแล้วการแข่งม้ามันก็คือการเล่นพนันในอีกรูปแบบหนึ่ง เป็นการทรมารสัตว์ในอีกรูปแบบหนึ่ง ถ้าม้าวิ่งแข่งแล้วล้ม แล้วขาหัก สิ่งที่มนุษย์เราทำกัน ไม่ใช่เอาม้าไปรักษานะครับ ทางสัตวแพทย์จะฉีดยาฆ่าม้าไปเลย 

สรุป ชีวิตของสัตว์พวกนี้เกิดมาเพื่อให้ความบรรเทิงแก่มนุษย์เหรอ
สรุป มนุษย์คิดกันได้แค่นี้เองเหรอเนี๊ยะ เรามาถึงจุดนี้กันแล้วใช่มั๊ย จุดที่เอารัดเอาเปรียบชีวิตของผู้อื่นเพื่อที่จะแสวงหาผลประโยชน์ของตัวเอง
เรามาถึงจุดนี้กันแล้วใช่มั๊ย ที่วันแข่งม้ากลายเป็นวันหยุดราชการ ถึงแม้ว่าจะแค่รัฐเดียวก็เถอะ

อยากจะรู้จริงๆ...

มันช่างเป็นอะไรที่น่าสมเภชจริงๆนะ... ชีวิตมนุษย์เรา




Saturday, October 31, 2015

นอนคอยวาสนา


เคยได้ยินมั๊ยเอ่ย มีหลายๆคนชอบพูดว่า “เวลาจะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งอย่าง” ได้ยินคำพูดแบบนี้ มันฟังๆดูแล้วก็เหมือนพวกคนสิ้นหวังหรือคนที่ไม่คิดจะทำอะไรเลย เพียงเพราะคิดว่า ตนเองทำอะไรไม่ได้…จึงเลือกที่จะใช้เวลาเป็นข้ออ้าง ว่าอย่างไรเสีย เวลาจะทำหน้าที่เปลี่ยนแปลงทุกๆสิ่งอย่าง…ด้วยตัวของมันเอง 

เปรียบได้กับการที่เราซื้อเมล็ดพืชมาหนึ่งถุง เราหวังที่จะรับประทานผลของมัน แต่เมื่อเราได้เมล็ดของมันมาแล้ว หากเราไม่ยอมทำอะไรกับเมล็ดนั้น ไม่ยอมเอามันออกมาจากถุง ไม่ยอมเตรียมดินผสมปุ๋ยให้มัน และไม่ยอมปลูกมันลงไปในกระถาง ท้ายที่สุดเมล็ดนั้นก็ยังคงเป็นเมล็ดอยู่อย่างนั้น ไม่มีวันที่จะเจริญเติบโต ออกกดอกออกผลไปได้อย่างแน่นอน

ไม่ต่างไปจากชีวิตของคนเรา… สิ่งที่เราทำ มันจะเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง แต่สิ่งที่เราไม่ทำ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ใหนมันก็จะเหมือนเดิมอยู่อย่างนั้น…

มนุษย์ทุกคนบนโลกนี้มีความเหมือนกันในจุดที่ สามารถคิดได้ว่าสิ่งใดควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ หรือสิ่งใดทำแล้วจะมีโอกาสประสบความสำเร็จ สิ่งใดทำแล้วอาจล้มเหลว…แต่สิ่งที่ทำให้มนุษย์แต่ละคนแตกต่างกันคือการเอาชนะความคิดนั้นด้วยการกระทำ…


หลายๆคนมักจินตนาการถึงแต่ความคิดที่สวยงามไว้เสมอ มีเพียงส่วนน้อยที่จะลุกขึ้นมาทำตามที่ตัวเองคิดอย่างจริงจัง เหตุผลที่เป็นเช่นนี้เพราะมนุษย์ส่วนใหญ่ไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลง จึงไม่กล้าที่จะลงมือทำสิ่งต่างๆ… ทำไมมนุษย์ส่วนใหญ่ถึงไม่กล้าที่จะเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงหละ?... นั่นก็เพราะพวกเค๊าคิดว่า การเปลี่ยนแปลงมันเสี่ยง หากเค๊าลงมือทำบางสิ่งบางอย่างลงไป มันอาจจะเปลี่ยนแปลงออกมาในทางที่ดีหรือไม่ดีก็ได้…คนส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะอยู่เฉยๆอย่างที่ตัวเองเป็น โดยที่ไม่ยอมทำอะไรเลย แม้ตัวเองคิดว่าถ้าได้ทำอะไรในสิ่งนั้นแล้วชีวิตจะมีโอกาสเจริญก้าวหน้าขึ้นก็ตาม 

อย่าหยุดความคิดดีๆเอาไว้เพียงเพราะความขลาดกลัว ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกไม่มีใครสามารถเนรมิตรขึ้นมาได้ มันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเวลาที่เปลี่ยนแปลงไป แต่มันเกิดขึ้นเพราะการกระทำของเราเอง… 

จงเอาชนะความกลัวของเรา แล้วกล้าที่จะลงมือทำในสิ่งที่คิด “ทุกอย่างบนโลกนี้ไม่มีสิ่งใดที่จะการันตีได้ว่า เมื่อเราทำสิ่งนั้น เราจะประสบความสำเร็จ 100% เพียงแต่ถ้าเราไม่ทำ โอกาสสำเร็จจะเป็น 0% แน่นอน…”


แล้วคุณหละ เป็นพวก “นอนคอยวาสนา” หรือเปล่า 

Saturday, October 24, 2015

ถูกที่ถูกเวลา


“ถูกที่ถูกเวลา”... มันเป็นคำหรือวลีสั้นๆที่แฝงแง่คิดและคำสอนอะไรหลายๆอย่างเลยทีเดียว ทั้งในแง่ของการพูด การกระทำ และการคิด ซึ่งหากผู้ที่เข้าใจและปฏิบัติให้สอดคล้องกับมัน คือ พูดให้ถูกที่ถูกเวลา ทำให้ถูกที่ถูกเวลา และ คิดให้ถูกที่ถูกเวลา…จะคิดจะทำอะไรก็จะเจอแต่สิ่งที่ดีๆ

เราเองก็เป็นอีกคนหนึ่งที่เห็นด้วยและยึดถือปฏิบัติตามคำดังกล่าว วันนี้เราก็เลยถือโอกาสที่จะเขียนอะไรที่เกี่ยวกับการกระทำและการพูดที่ “ถูกที่ถูกเวลา” เพื่อให้คนอื่นได้อ่านกันมั่ง และเชื่อว่าหากใครได้ปฏิบัติตามแนวทางเหล่านี้แล้ว ไม่ว่าใครจะทำอะไรก็ตาม…โอกาสที่จะเจอคำว่า 
พลาด นั้นมีน้อย

“ไม่สัญญาอะไรใดๆ ในช่วงที่มีความสุข”

ช่วงชีวิตที่เรียกว่า “มีความสุข” ถือว่าเป็นช่วงที่พิเศษที่สุดสำหรับมนุษย์เราแล้วครับ มันเป็นอารมณ์ที่มนุษย์ทุกคนต่างแสวงหา และเมื่อเราตกอยู่ในอารมณ์หรือความรู้สึกนี้แล้ว อะไรทุกอย่างมันก็ดูสวยงาม โลกสีชมพูไปหมด เชื่อสิครับไม่ว่าคนอื่นจะพูดเรื่องน่าเศร้า หรือยั่วโมโหอะไรยังไง เราก็จะไม่โกรธไม่โมโหอะไรง่ายๆ นอกจากนั้น หากมีใครมาขออะไรจากคนที่กำลังมีความสุข คนที่ตกอยู่ในอารมณ์สวยงาม อารมณ์สีชมพูแบบนี้ก็มักจะยอมและชอบให้คำมั่นสัญญาอะไรสวยหรูไปหมด…

เรื่อง สัญญา ก็เช่นกันครับ “ทำไมจึงไม่ควรสัญญาใดๆกับใคร ในขณะที่เรามีความสุข” นั่นก็เพราะอารมณ์ที่เรียกว่า“มีความสุข”เป็นอารมณ์หนึ่งที่ไม่ต่างไปจากอาการ “เมา”…เช่นเดียวกัน เคยสังเกตุมั๊ยครับว่าคนเมา ไม่ว่าจะเมาเหล้า เมาบุหรี่ หรือสิ่งเสพติดทั้งหลายอะไรก็ตามแต่ เมื่อเราพูดเราขออะไรเค๊า หรือให้เค๊าสัญญาอะไรนะ เค๊าแทบจะไม่ปฏิเสธอะไรเราเลย เพราะพวกเค๊ากำลังเพลิดเพลินไปกับอาการ “เมา” จนขาดความยั้งคิดและเหตุผลประกอบในการตัดสินใจ ไม่ว่าใครจะพูดอะไรก็จะเห็นด้วยไปหมด...


ซึ่งไม่แตกต่างไปจากคนที่กำลัง “มีความสุข” สักเท่าไหร่นัก เพราะอารมณ์นี้มันทำให้คนเราเพลิดเพลิน จนขาดความยั้งคิดได้เช่นเดียวกัน เพราะเรากำลังอยู่ในอารมณ์ของโลกสวย โลกสีชมพู ดังนั้นถ้าเราไปให้คำมั่นสัญญาอะไรกับใครไว้ในช่วงที่อยู่ในอารมณ์แบบนี้ โอกาสที่เราจะผิดสัญญากับเค๊าก็อาจจะเป็นไปได้สูง เพราะด้วยความเพลินเพลินกับความสุขในตอนนั้นทำให้คนส่วนใหญ่ที่ตกอยู่ในอารมณ์เหล่านี้คิดไม่ถี่ถ้วนว่าสิ่งที่ตัวเองไปให้คำมั่นสัญญาอะไรกับใครเอาไว้นั้นจะทำได้หรือไม่ เราจะรักษาคำมั่นสัญญาอะไรได้มั๊ย มันเป็นการสัญญาที่ไม่ได้ใช้เหตุผลเป็นที่ตั้งสักเท่าไหร่ แต่เป็นการสัญญาโดยใช้อารมณ์ล้วนๆ อารมณ์โลกสวย อารมณ์โลกสีชมพู

“ไม่ตอบโต้ ในขณะที่กำลังโกรธ”

อารมณ์ “โกรธ” เป็นอารมณ์หนึ่งที่รุนแรงและฉุนเฉียว เราเชื่อว่าไม่มีใครที่ไม่เคยผ่านช่วงอารมณ์นี้มาก่อน ลองสังเกตุดูนะ หากเราโกรธใครสักคนในหัวและความคิดของเราจะมีแต่ความคิดในทางลบกับคนๆนั้น

การที่เราไม่ควรตอบโต้อะไรใครในขณะที่เรากำลังโกรธ นั่นก็เพราะว่าในยามที่เราโกรธ เราจะทำอะไรลงไปโดยไม่คำนึงถึงผลของการกระทำที่ตามมาเท่าไหร่นัก ในยามที่เราโกรธหรือหงุดหงิด สิ่งที่ควรทำที่สุดคือการสงบนิ่งและสงบสติอารมณ์ เพราะหากเราตอบโต้อะไรลงไปในเวลาที่เราโกรธ ไม่ว่าจะด้วยการใช้กำลัง หรือด้วยคำพูดก็ตาม ผลที่จะได้รับย่อมไม่ใช่ผลดีสักเท่าไหร่

“ไม่ตัดสินใจ ในขณะที่เรากำลังเศร้า”

คนเราไม่ควรตัดสินใจอะไรในขณะที่กำลังโศกเศร้าหรือเสียใจ…นั่นก็เพราะว่าเวลาที่คนเรามีอาการโศกเศร้าหรือเสียใจกับเรื่องอะไรสักอย่าง คนเรามักขาดสติและชอบที่จะประชดประชันตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ก็อาจจะตัดสินใจหรือทำอะไรลงไปโดยไม่คิดคำนึงถึงผลกระทบที่จะตามมาเท่าไหร่นัก... ไม่ต้องอะไรอื่นไกลเลย เราลองสังเกตุจากคนที่อกหักรอบๆตัวเราดูนะ คนอกหักจะมีอาการโศรกเศร้า และหลายๆคนมักจะทำอะไรลงไปด้วยการประชดประชันตัวเอง เช่น ไม่ยอมทานอาหารจนตัวเองผอมซูบโดยไม่คิดถึงสุขภาพตัวเอง เสพยาเสพติดเพื่อประชดรักโดยไม่มองถึงผลเสียที่จะตามมา อย่างนี้เป็นต้น

ดังนั้นหากเราอยู่ในภาวะเสียใจหรือโศกเศร้า สิ่งที่ควรทำคือการสงบสติอารมณ์ หากมีเรื่องที่ต้องคิดหรือต้องตัดสินใจ เราต้องตั้งสติให้มั่นแล้วถามตัวเองเสมอว่าการตัดสินใจอย่างนี้ใช่การประชดตัวเองหรือเปล่า ลองมองถึงผลที่จะเกิดว่าทำให้ตัวเองดีขึ้นหรือจะทำให้ตัวเองแย่ลง

การทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ถูกที่ ถูกเวลา เป็นสิ่งสำคัญนะครับ…หากเราไม่อยากขึ้นชื่อว่าได้ทำอะไร “พลาด”ไป…เราควรตระหนักไว้ว่า

“ไม่สัญญาอะไรใดๆ ในช่วงที่มีความสุข

ไม่ตอบโต้ ในขณะที่กำลังโกรธ

ไม่ตัดสินใจ ในขณะที่เรากำลังเศร้า”



Friday, October 9, 2015

ความพยายาม


ตอนนี้เรา “กำลังพยายาม” ที่จะทำอะไรอยู่หรือเปล่าเอ่ย…ถ้าใช่ เราก็หวังใจว่าบทความบทนี้จะสามารถสร้างพลังและกำลังใจให้แก่ใครบางคน…ไม่มาก ก็น้อย…นะครับ

เราเคยสังเกตุมั๊ยว่า คนที่ประสบความสำเร็จในสิ่งที่เค๊าคาดหวัง พวกเค๊าเหล่านั้นใช้ความพยายามมากกว่า 90% เพื่อให้ได้มาในสิ่งที่เค๊าต้องการ ส่วนอีก 10% ที่เหลือ อาจจะเป็นโชคชะตา วาสนา โอกาส หรืออะไรก็ตามแต่ซึ่งไม่ใช่ปัจจัยที่คนเราจะสามารถควบคุมมันได้…

Thomas Edison, เป็นนักประดิษฐ์ที่โด่งดังคนหนึ่งของโลก เค๊าเป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องจากทั่วโลกว่าเป็น หนึ่งใน 100 คนที่สำคัญที่สุดในช่วง 1,000 ปีที่ผ่านมา เหตุที่ทุกคนให้การยกย่อง 
Thomas Edison ก็เพราะเค๊าได้ประดิษฐ์สิ่งของและมีสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์ต่างๆเป็นจำนวนมากถึง 1,200 ชิ้น และมีหลายๆชิ้นเลยครับ ที่คนปัจจุบันยังคงใช้ประโยชน์จากมันอยู่ อย่างเช่น “หลอดไฟ”…

เมื่อพูดถึงหลอดไฟแล้ว สิ่งประดิษฐ์ชิ้นนี้ถือว่าเป็นชิ้นสำคัญของเค๊าเลยก็ว่าได้ เพราะนอกจากมันจะได้มาอย่างยากลำบากแล้ว มันยังเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่สร้างประโยชน์ให้กับมนุษย์เราอย่างมหาศาล และสิ่งประดิษฐ์ชิ้นนี้ก็เช่นเดียวกันครับ ที่สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ ของนักประดิษฐ์คนนี้ได้ดีที่สุดเลย 

เหตุที่เรากล่าวว่าผลงานชิ้นนี้สะท้อนถึงความพยายามของ
เค๊าได้เป็นอย่างดีนั้น นั่นก็เพราะว่างานประดิษฐ์หลอดไฟของเค๊านั้นไม่ง่ายเลยครับ เพราะเค๊าใช้เวลาในการทดลองมันอย่างยาวนาน นับครั้งแล้วเกินกว่า 10,000 ครั้ง จนมีนักข่าวถามเค๊าว่า เค๊าไม่รู้สึกย่อท้อบ้างเลยเหรอ หรือรู้สึกว่ามันล้มเหลวบ้างเลยเหรอ แต่เค๊ากลับตอบพวกนักข่าวไปด้วยหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสว่า การที่เค๊าทำไม่สำเร็จมากว่า 10,000 ครั้ง นั่นเค๊าไม่ถือว่ามันเป็นความล้มเหลวหรอกนะ แต่นั่นมันคือการค้นพบวิธีที่จะทำให้ไม่สำเร็จถึง 10,000 วิธีต่างหากหละ ซึ่งเมื่อเค๊าสามารถหลีกเลี่ยงวิธีการพวกนั้นได้ เค๊าก็จะทำการทดลองได้สำเร็จในที่สุด

และนี่คือผลของความพยายามของ Thomas Edison ครับ เค๊าเป็นนักวิทยาศาสตร์อีกผู้หนึ่งที่มีความเชื่อมั่นในความพยายามเป็นอย่างยิ่ง ครั้งหนึ่งเคยมีนักข่าวมารุมถามเค๊าว่าเค๊าคิดอย่างไร กับการที่ตัวเองถูกขนานนามจากคนทั่วไปว่าเป็นอัจฉริยะ…

เค๊าบอกว่า…อัจฉริยะในความหมายของเค๊า ประกอบด้วยไปด้วยพรสวรรค์เพียงแค่ 1% ส่วนอีก 99% มาจากความพยายาม Thomas Edison มีความพยายามครับ ไม่ใช่แค่ความพยายามธรรมดาด้วยนะเพราะถึงแม้ว่าเค๊าจะทำอะไรไม่สำเร็จในครั้งแรก เค๊าก็ยังลุกขึ้นมาทำในครั้งที่สอง ครั้งที่สาม ครั้งที่สี่ และครั้งต่อๆไป โดยไม่ย่อท้อ จนสุดท้ายเค๊าก็ประสบความสำเร็จ…และนี่แหละครับ คือความพยายามที่ทำให้คนทั่วไปมองเขาว่าเป็นอัจฉริยะ

นอกจาก Thomas Edison จะเป็นที่น่ายกย่องในเรื่องของความพยายามแล้ว สิ่งที่ทำให้
เค๊ามาถึงจุดที่ประสบความสำเร็จได้อีกประการหนึ่งก็คือ “วิธีการคิด” ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากครับ เค๊าคิดในแง่บวกเสมอ…เค๊ามองสิ่งที่ทุกคนเรียกว่าความล้มเหลว เป็นบทเรียน…นั่นก็คือ การทดลองที่ผิดพลาด ถ้าหากเค๊ามองว่าการทดลองที่ผิดพลาดนับหมื่นๆครั้งเป็นความล้มเหลวอย่างที่คนทั่วไปโดยส่วนใหญ่มองกัน ป่านนี้เราก็คงไม่มีหลอดไฟใช้กันอย่างแน่นอน แต่ Thomas Edison กลับมองว่า การทดลองที่ล้มเหลวนั้น เป็น “การค้นพบวิธีการทดลองใหม่ ที่จะทำให้ไม่สำเร็จ”…เมื่อคิดได้เช่นนี้ มันทำให้ดูเหมือนว่า ยิ่งทดลองก็ยิ่งได้ประโยชน์…ถ้าไม่ได้ความสำเร็จ ก็ได้รู้วิธีที่ทำแล้วล้มเหลวเผื่อจะได้ไม่ทำอีก… 

ซึ่งด้วยความคิดแบบนี้เอง ทำให้การทดลองของเค๊าแม้จะล้มเหลวสักกี่ครั้ง เขาก็จะไม่ย่อท้อที่จะทำมันต่อไป มันเป็นการสร้างพลังที่ดีมาก ดังนั้น “การคิดบวก” ก็ถือเป็นพลังที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งเช่นกันครับ ที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ 

ใครก็ตามที่กำลังพยายามทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่…เราพบเจอความล้มเหลวมากี่ครั้งแล้ว…มากเท่า Thomas Edison หรือยัง 

ถ้ายัง เราก็ควรที่จะพยายามต่อไป

หากเราคิดว่าทางที่เรากำลังเดินไปอยู่นั้นเป็นทางที่ถูกต้องแล้ว ก็แนะนำให้เดินต่อไปนะครับ อย่าหวาดหวั่นกับอุปสรรคปัญหาต่างๆ เพราะความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมเกิดขึ้นได้หลังจากการฝ่าฟันปัญหาอุปสรรคต่างๆ…ความสำเร็จเหล่านั้น อาจเกิดขึ้นห
ลังจากการฝ่าฟันปัญหาอุปสรรคต่างๆหรือความล้มเหลวครั้งที่ 99 หรือครั้งที่ 10,000 ก็อาจเป็นได้…อย่าท้อแท้ที่จะต้องเจอกับอุปสรรคขวากหนามที่ขวางกั้นอยู่ข้างหน้า เก็บความล้มเหลวเหล่านั้นมาเป็นประสบการณ์ มาสอนตัวเอง เพื่อต่อยอดไปสู่เส้นทางของความสำเร็จต่อไป

คนเราจะประสบความสำเร็จได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นอัจฉริยะเสมอไป คนเราสามารถประสบความสำเร็จได้เพราะความพยายามก็มีเยอะแยะ ถมเถไป

แล้วเราหละ....วันนี้ได้พยายามทำอะไรมั่งหรือยัง...

Sunday, October 4, 2015

ดี ชั่ว อยู่ที่ตัวทำ


สืบเนื่องมาจากเมื่อเดือนที่แล้วที่เราได้กลับไปเมืองไทย เราก็ได้มีโอกาสได้เจอะเจอผู้คนในครอบครัวและญาติๆที่ได้เดินทางไปงานแต่งงานที่จังหวัดแถวๆภาคใต้ด้วยกัน พวกเราก็พักกันที่โรงแรมเดียวกัน เพราะงานแต่งก็จัดกันที่นั่น เนื่องด้วยเราได้อยู่รวมๆกันพร้อมหน้าพร้อมตากับคนในครอบครัวและญาติๆ เราก็ได้สังเกตุเห็นการเปลี่ยนแปลงของหลานๆเราคือ ตอนนี้เค๊าโตกันหมดแล้ว เรียนจบกันหมดแล้ว ทำงานกันไปหมดแล้ว ไม่มีอีกต่อไปแล้วเด็กๆตัวเล็กๆไปโรงเรียน ไปทำกิจกรรมหลังเลิกเรียนกับเพื่อนๆ กิจกรรมของหลานๆที่นานๆทีได้มาเจอกันตอนนั้คือการไป "ดื่มเหล้า" กันตามร้านๆใกล้ๆโรงแรม

เราก็ไม่ได้ไปด้วยกับเค๊าหรอกหนะ แต่วันรุ่งขึ้นพวกน้าๆก็จะแซวหลานๆเรื่องการดื่ม เพราะรู้สึกว่านี่เป็นการรวมตัวกันที่แบบครบเครือญาติจริงๆ เราก็ไม่ได้คัดค้านเรื่องการดื่มเหล้าหรอกนะ ถึงแม้จะไม่เห็นด้วยก็ตาม ก็คิดว่าเด็กๆหลานๆโตกันหมดแล้ว ก็คิดว่าอะไรดี อะไรไม่ดีให้เค๊าคิดกันเอาเองก็แล้วกัน เราก็คงจะแค่ทำตัวเป็นตัวอย่างของเราต่อไป คือไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ แต่เราไม่จำเป็นต้องไปบังคับหรือบ่นอะไรกับเด็กๆหลานๆกัน เค๊าโตๆกันหมดแล้ว เค๊าคิดเองได้ บางทีบอกไปก็แค่นั้นแหละ

ที่น้าๆแซวพวกหลานๆก็เพราะว่ามีหลานคนหนึ่ง อายุน้อยที่สุดและก็เริ่มทำงานได้ประมาณแค่ปีกว่าๆเอง เริ่มจะมีรายได้เป็นของตัวเองได้ไม่นาน ก็เลยเกิดการแซวกันบ้างเล็กน้อย ส่วนเราก็ได้แต่นั่งฟัง เพราะไม่อยากให้เสียบรรกาศในการพูดคุย ต่อให้เราเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยเรื่องของการดื่มเหล้าก็ตาม สิ่งที่หลานเราตอบน้าๆกลับมา ซึ่งก็เป็นแบบทีเล่นทีจริงแหละนะว่า "เชื้อพ่อเค๊าแรง" พอเราได้ยินประโยคนี้จากหลาน เราก็เกิดฉุกคิดขึ้นมาว่า เออ ไม่จริงนะ คนเรามันจะดี จะชั่ว มันอยู่ที่ตัวทำหนิ ไม่ใช่เกี่ยวอะไรกับคนอื่น ไม่ได้เกี่ยวว่าเชื้อพ่อจะแรงหรือเปล่า

ก็เข้าใจนะว่าหลานเราก็แค่พูดเล่นเฉยๆ ไม่ได้ซีเรียสอะไรมากมาย แต่ก็อยากจะเอามาฝากเป็นแง่คิดกับหลายๆคนว่า คนเรานะเกิดมา ดี ชั่ว อยู่ที่ตัวทำแหละ เราจะคิดจะทำอะไร ก็ไม่ต้องไปพาดพิงถึงคนอื่น เพราะเค๊าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรในการตัดสินของการกระทำของเรา

Saturday, September 26, 2015

น้องหนูหัวใจ selfie

การกลับไปเมืองไทยเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว สิ่งหนึ่งที่สังเกตุเห็นมากที่สุดก็คือ คนถ่าย selfie เยอะมาก สำหรับคนที่ไม่รู้ว่า selfie คืออะไร selfie ก็คือการเอากล้องจากมือถือถ่ายรูปตัวเอง ก็ถือประมาณว่า โพสต์ท่าโน้น โพสต์ท่านี้ แล้วก็ถ่ายรูปตัวเอง ส่วนมากก็จะถ่ายได้เฉพาะหน้า เพราะกล้องอย่างมากก็ยื่นไปได้ไกลสุดก็แค่สุดมือตัวเอง นอกเสียจากจะมีการซื้อ selfie stick หรือไม้ยื่นที่ใช้ถ่าย selfie ซึ่งตอนนี้ ไปใหนต่อใหนก็เห็นนักท่องเที่ยวคนจีนบ้าเห่อใช้ selfie stick กันจังเลย เดินไปแหล่งท่องเที่ยวที่ใหนก็เจอพวกใช้ selfie stick น่ารำคาญ เพราะ s/he ก็ไม่ได้สนใจมองดูทางเดินอะไรเลย เดินไปถ่าย selfie ไป ชนคนนั้นทีชนคนโน้นที น่ารำคาญที่สุด

คนส่วนมากที่เราสังเกตุเห็นก็จะประมาณว่า แอ๊คชั่นท่าสวยๆ ทำหน้าบ๊องแบ๊ว ถ่าย selfie แล้วก็เอาลง social network กัน และแล้วก็มีอยู่ case หนึ่งที่เราได้เห็นมาในระยะเผาขน เรานั่งเครื่องจากดอนเมืองไปกระบี่ ก็มีน้องหนู 2 คนเป็นเพื่อนกัน ดูท่าทางเหมือนพึ่งจะเคยนั่งเครื่องบินเป็นครั้งแรก เค๊า 2 คนถูกนั่งแยกจากกัน อยู่แถวเดียวกัน แต่คนละฝั่ง น้องคนหนึ่งนั่งติดฝั่งเรา พอน้อง 2 คนนี้นั่งประจำที่นั่งตัวเองเท่านั้นแหละ โอ้... พระแม่เจ้า ชักมือถือกันออกมาถ่าย selfie โพสต์ท่านั้นทีท่าโน้นทีกัน ต่างคนต่างถ่าย selfie กัน เหมือนโลกทั้งใบมีเค๊าอยู่บนโลกนี้แค่คนเดียว เค๊าไม่ได้สนใจอะไรใครเลย โพสต์กันใหญ่ แอ๊คชั่นกันใหญ่ คงคิดว่าตัวเองเป็นนางแบบ คงนึกว่าตัวเองสวย จริงๆหน้าตาน้องเค๊าก็พอใช้ได้นะ แต่พอเห็นท่า selfie ของแต่ละคนแล้ว บอกได้เลยว่า "ขายไม่ออก" จริงๆ เพราะท่าแต่ละท่าเนี๊ยะ เค๊าทำหน้าตาบ๊องแบ๊ง คิกคุเกินไว ไม่ได้คิดว่ามีคนมองพวกเค๊าอยู่อะไรกันเลย

เราก็นั่งอยู่ข้างๆ ก็ได้แต่แอบมองแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เพราะน้องเค๊าก็คิดว่าเราเป็นชาวต่างชาติเพราะเราหน้าตาออกแนวอินเตอร์เกินเหตุและก็นั่งอ่านหนังสือภาษาอังกฤษ

เห็นท่า selfie ของน้องหนู 2 คนนี้แล้วก็ตลกในความไร้สาระของเด็กๆ ในใจเราก็คิดว่า จะถ่ายอะไรกันนักกันหนาเนี๊ยะ มันตื่นเต้นกับการนั่งเครื่องบินขนาดนั้นเลยเหรอ แล้วท่าแต่ละท่าเนี๊ยะ ช่างคิด ช่างสรรหาท่าแอ๊บแบ๊วกันจริง

นี่ไม่ใช่แค่บนเครื่องเท่านั้นนะที่เราเจอ ตอนนั่งรอเครื่องอยู่ที่สนามบินดอนเมืองก็เหมือนกัน หันไปทางใหนก็เห็นแต่คนถ่าย selfie กัน สรุปคือมันหมดสมัยที่จะขอร้องให้คนข้างๆถ่ายรูปให้แล้วเหรอเนี๊ยะ สรุปคนเราไม่ต้องมีการพูดคุยสนทนากับคนข้างๆกันแล้วใช่มั๊ย เกิดอะไรขึ้นกับสังคมสมัยนี้

ทุกวันนี้เดินไปทางใหนเห็นคนถ่าย selfie แล้วบอกได้เลยว่ารู้สึกสมเพชอย่างแรง... 

พวกมีความมั่นใจในตัวเองสูง มากเกินเหตุ...

Wednesday, September 23, 2015

คนไทยพูดจาไพเราะ


จากการกลับไปเมืองไทยเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เราก็ได้สัมผัสกับคนไทยแทบจะทุกรูปแบบ ไม่รู้นะ อาจจะเป็นเพราะว่าเรามาอยู่เมืองนอกนานเกินไปหรือเปล่า การไปกลับไปเมืองไทยครั้งนี้ เรามีแต่การเดินทาง และก็เดินทาง 

บินจากกรุงเทพไปกระบี่ ขับรถจากกระบี่ไปนครศรีธรรมราช ขับรถไปโน่นมานี่ เจอผู้คนหลากหลาย อยู่ไม่กี่วันก็บินกลับ

เราเป็นคนไทยก็จริง แต่เนื่องด้วยเราไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองไทยนานแล้ว อะไรต่อมิอะไรมันก็ดูแปลกหูแปลกตาไปหมด แล้วมาคราวนี้เราก็ไปต่างถิ่นเสียด้วยสิ เดินทางคนเดียวด้วยนะ เดินทางคนเดียว แต่ไม่เดียวดายนะครับ

อยากจะประกาศให้โลกรู้ว่า เราคนไทยพูดจาไพเราะมากนะครับ เพราะเราไปใหน แบบว่างงๆต่างถิ่น อยากรู้อะไร อยากถามอะไรทุกที่ทุกแห่ง คนไทยทุกคนเต็มใจช่วย พูดจาไพเราะ การกลับไปเมืองไทยครั้งนี้ถึงแม้ว่าจะแค่ 4-5 วันเอง แต่บอกได้เลยว่าความประทับใจในน้ำใจของคนไทย กิริยามารยาท การพูดการจา ประเทศไทยกินขาดครับ 

นี่เป็นครั้งที่ 2 ของการมาภาคใต้ของเรา ประทับใจทุกครั้ง ครั้งแรกมาภาคใต้ในฐานะนักท่องเที่ยว ไปเที่ยวที่ภูเก็ต ไปใหนมาใหนก็จะไปกับบรษัททัวร์ แต่มาคราวนี้เรามาธุระ เช่ารถขับเอง อยากไปใหนก็ได้ไป เดินทางแบบคนท้องถิ่น ไม่ได้เดินทางแบบนักท่องเที่ยว แบบนี้เราได้สัมผัสกับชีวิตคนพื้นที่จริงๆ 

ความประทับใจเนี๊ยะ มันบรรยายออกมาเป็นตัวหนังสือยากนะ ของบางอย่างมันต้องประสบด้วยตัวของตัวเอง 

คนไทยนอกจากจะพูดจาไพเราะแล้ว ทุกคนหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส เราสอบถามอะไรใครนะ ยังไม่เห็นใครหน้าบูดหน้าบึ้งเลยนะ ชีวิตทุกคนดูเรียบง่าย ไม่วุ่นวาย 

ไปอยู่เมืองไทยยังไงก็ไม่อดตายครับ ที่หลายๆคนบอกว่าเมืองไทยเป็น สยามเมืองยิ้ม ท่าจะเป็นอย่างที่เค๊าพูดจริงๆ ขับรถที่เมืองไทยเหรอ ไม่ต้องใช้ GPS ครับ จอดรถข้างทาง ยกมือไหว้สวยๆ ยิ้มงามๆ อยากรู้อะไรเหรอ เค๊าตอบให้หมดแหละ 

นี่เราไม่ได้คิดไปเองใช่มั๊ย...
เราไม่ได้หลงใหลเมืองไทยสะจนอะไรก็ดูดีไปหมดใช่มั๊ย...

หลายๆคนอาจพบเจอประสบการณ์มาทุกรูปแบบ ทั้งประสบการณ์ที่ดีและร้าย แต่ขอบอกได้เลยว่าการกลับไปเมืองไทยในครั้งนี้ โลกดูสวยงาม....ครับ

Sunday, September 20, 2015

ยายที่ยังไม่ยอมแก่

post นี้ก็สืบเนื่องมาจากการเดินทางกลับไปเมืองไทยเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนะครับ เหตุการณ์เกิดขึ้นที่ดอนเมือง

ในขณะที่เราจะทำการ check-in กระเป๋าเรา จะเดินทางไปกระบี่ ก็มีคุณยายคนหนึ่ง ขอเรียกว่า "ยาย" นะครับ ไม่ใช่ป้า เพราะบอกได้เลยว่ายายแกอายุคงจะประมาณ 70 แล้วหละ ถ้า 50-60 เนี๊ยะ เราเรียก "ป้า" ยังพอไหว

คุณยายดูท่าทางแล้วก็คงเป็นคนไทยเชื้อสายจีน เพราะผิวพรรณอะไรก็ดูขาวเนียน ยายยังทำตัว "หน้าเด้ง" อยู่ คือแต่งหน้ามาสะหนาปึ๊ก คิดว่าสาวๆหลายๆคนคงมิกล้าอาจหารเหมือนคุณยายท่านนี้ คุณยายก็ถือไม้เท้าช่วยเดินด้วยนะ ขอบอก

เรื่องก็มีอยู่ว่า พนักงานชายที่ทำงานอยู่ตรงเครื่อง x-ray ที่ scan กระเป๋านั้นเป็นเด็กหนุ่มรุ่นๆหลาน คิดว่าอายุน่าจะประมาณแค่ 25-26 เอง ยังเป็นเด็กอยู่ ยายก็แบบว่า

ยาย: น้องๆ ดูกล่องให้พี่หน่อย

โอ้ ยาย... แร็งมาก

ยายมาแบบว่า เรียกตัวเองว่า "พี่" แล้วเรียกพนักงานรุ่นหลาน รุ่นเหลนว่า "น้อง" เลยนะ ได้ข่าวว่ายายยังถือไม้เท้าช่วยเดินอยู่เลยนะยาย ให้ตายเถอะ คือแบบว่า คุณยายเธอ ช่างกล้า มาก...

เราก็ยืนรอเอากระเป๋าเราอยู่ข้างๆ คือแอบคิดในใจว่า "ยาย ถ้ายายเรียกตัวเองว่าป้าเนี๊ยะ เรายังพอรับไหวนะยาย" แต่มาแบบว่า "น้องๆ ดูกล่องให้พี่หน่อย" เนี๊ยะสิ คือแบบว่า "I am งง" ไปเลย 

คือ...ยายแกคิดอะไรยังไงของแกเนี๊ยะ ไม่เข้าใจ สงสัยยายแกเป็น "สาวมั่น" นะเนี๊ยะ มั่นใจเกินเหตุ

เราก็ไม่ได้เห็นปฏิกิริยาอะไรของพนักงานที่เครื่อง x-ray กระเป๋าเลยนะ สงสัยทำเป็นหูทวนลม แต่เรานี่สิคนยืนอยู่ข้างๆ แทบจะเก็บอาการขำไม่อยู่

สรุปคือ ยายที่ยังไม่ยอมแก่ ว่างั้นเถอะ

อะ ยอมๆกันไป สิทธิของใครสิทธิของมัน... เดี๋ยวยายน้อยใจ

Saturday, September 19, 2015

คำว่า "ขี้"


สืบเนื่องมาจากการกลับเมืองไทยเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เราได้ไปเข้าห้องน้ำที่สนามบินดอนเมือง ก็ได้ยินคนพูดโทรศัพท์ว่า "กำลังขี้อยู่" เราก็นึกในใจว่า เออ คนเรามันพูดคำว่า "ขี้" กันจนเป็นเรื่องธรรมดาแล้วเหรอเนี๊ยะ อะไรกัน...

ไม่รู้นะ เราไม่ใช่ผู้ดีอะไร ก็แค่คนเดินดินธรรมดาคนหนึ่ง แต่เราไม่เคยพูดคำว่า "ขี้" จะเข้าห้องน้ำ ก็บอกว่า "เข้าห้องน้ำ" ไปสิ ทำไมต้องแบบว่าใช้คำว่า "ขี้" ด้วยนะไม่เข้าใจ คือเราไม่ต้องการที่จะเห็นภาพอะไรขนาดนั้น รู้มั๊ย...

เวลาพูดก็แบบว่าเกรงใจคนฟังนิดหนึ่งก็จะดีมากเลย หรือไม่ก็เกรงใจคนที่อยู่รอบข้างๆที่เค๊าแอบมาได้ยินไอ้คำพวกนี้โดยที่ไม่ได้ตั้งใจหน่อยก็ดีเหมือนกัน แบบว่าจะเป็นพระคุณอย่างสูง

อยากจะบอกว่าถ้าคนเลิกพูดคำว่า "ขี้" เวลาตัวเองจะเข้าห้องน้ำนะครับ โลกจะดูสวยขึ้นมาทันทีเลยครับ

ดูจากภาพประกอบ blog วันนี้เสียก่อน "โลกสวย" นะครับ ไม่มี  "ขี้"...


Tuesday, September 15, 2015

จะรีบร้อนไปใหน


ช่วงนี้เราได้มีโอกาสกลับมาจากเมืองไทยก็ได้สังเกตุเห็นอะไรหลายๆอย่างที่อยากจะนำมาเล่าสู่กันฟัง

คนสมัยนี้ก็ไม่รู้เป็นอะไรกันนักกันหนานะ ช้านิดช้าหน่อยก็รู้สึกว่ารอไม่ได้กันเลย และบางทีก็แบบว่าทำตัวรีบเร่งโดยที่ไร้สาระ ยกตัวอย่างเช่น

  • เวลาพนักของสายการบินเรียกให้ผู้โดยสารขึ้นเครื่อง ปกติแล้วพนักงานเค๊าก็จะประกาศให้ผู้โดยสารขึ้นเครื่องตามแถวที่นั่ง ซึ่งผู้โดยสารที่อยู่แถวในสุดก็ควรที่จะขึ้นเครื่องก่อน เพราะถ้าผู้โดยสารที่อยู่ต้นๆเครื่องขึ้นก่อนแล้วหละก็ กว่าผู้โดยสารจะจัดการสัมภาระของเค๊าเสร็จ กว่าจะนั่ง กว่าจะอะไรก็จะกีดขวางทางการจราจรของคนอื่นเค๊า ทำให้เกิดการล่าช้า แต่ก็มีผู้โดยสารหลายๆคน อะไรก็ไม่รู้ รู้สึกว่าจะรีบร้อนกันไปหมด พอพนักงานของสายการบินประกาศให้ขึ้นเครื่องแค่นั้นแหละ ไม่ได้ฟังไม่ได้ดูเลยว่าตอนนี้เค๊ากำลังให้ผู้โดยสารแถวใหนขึ้นเครื่องก่อน คนประเภทนี้ก็จะรีบกุลีกุจอจะมาขึ้นเครื่องก่อนทันทีเลย ซึ่งจริงๆแล้ว ไม่ว่าเราจะขึ้นเครื่องช้ากว่า หรือเร็วกว่า สรุปแล้วเราก็ถึงที่หมายเหมือนๆกัน พร้อมๆกัน
  • และอีกประเภทหนึ่งก็คือ เครื่องบินพึ่งจะลงจอด ประตูเครื่องอะไรก็ยังไม่เปิด แต่ผู้โดยสารก็รีบลุกขึ้นยืนรออยากจะออกหรือลงจากเครื่องกันสะแล้ว กว่าประตูเครื่องจะเปิด และกว่าความพร้อมอะไรหลายๆอย่างของพนักงานบริการบนเครื่องบินด้วย สรุปถ้าประตูเครื่องบินยังไม่เปิด หรือพนักงานบนเครื่องยังไม่พร้อม ผู้โดยสารก็ต้องยืนรออยู่บนเครื่องอยู่ดี เสียเวลาอยู่ดี แออัดยัดเยียดกันด้วย ซึ่งจริงๆแล้วเราคิดว่าถ้าผู้โดยสารนั่งรออีกสักหน่อยนะ 5-10 นาทีคงจะไม่เป็นไร ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเค๊าจะรีบร้อนไปใหนกัน อะไรกันนักกันหนา เราคิดว่าจะยังไงเสีย นั่งรออยู่บนเครื่องก็ยังดีกว่ายืนรออยู่บนเครื่อง
  • ช่วงนี้ที่เมืองไทยมีบริการของสายการบินแบบประหยัดเยอะแยะมากมาย และพวกสายการบินแบบประหยัดเหล่านี้เค๊าก็จะไม่ค่อยมีสะพานเชื่อมระหว่างประตูผู้โดยสารกับลำเครื่องบินกัน หลายๆบริษัทก็จะมีบริการรถบัสนำส่งผู้โดยสารจากลำเครื่องบินเข้าสู่อาคารผู้โดยสาร คนพวกนี้ก็จะรีบกุลีกุจอ ลุกลี้ลุกลนที่จะขึ้นรถบัสกัน จริงๆแล้วจะรอรถบัสอีกคัน หรือรอรถบัสอีกรอบหนึ่งก็คงไม่เป็นไร เพราะกระเป๋าอะไรเองก็ยังต้องรอโหลด กว่าจะโหลดกระเป๋าอะไรเสร็จก็คงจะอีกนาน คิดว่ารอรถบัสอีกคันอีกรอบคงจะไม่เสียหายอะไรนะ
ก็ไม่เข้าใจนะว่าคนเราจะรีบเร่งไปใหนกัน อะไรกันหนักหนา ทำไมนะคนเราไม่ลองหยุดนิ่งมั่ง ทำอะไรช้าๆดูมั่ง ชีวิตจะได้ไม่ต้องเร่งรีบ จะได้ไม่ดูวุ่นวายจนเกินไป เพราะบางทีชีวิตเรามันก็ดูรีบเร่งเกิน รีบเร่งกันจนเกินเหตุ จากสถานการณ์ 3 สถานการณ์ที่เกี่ยวกับการเดินทางโดยเครื่องบินที่ยกตัวอย่างมา เราจะเห็นว่ารีบเร่งไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร...


Sunday, September 13, 2015

ลดเพื่อสร้าง



เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่า สมบัติ เงินทอง เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับมนุษย์ในยุคปัจจุบัน มันเป็นอะไรที่มนุษย์ทุกคนในสังคมแบบทุนนิยมแสวงหา และปรารถนามาครอบครอง…สังคมปัจจุบันหากจะวัดอำนาจกันก็คงต้องวัดกันที่สิ่งนี้ "ทรัพย์สมบัติ ทรัพย์สิน เงินทอง" ซึ่งมันอาจจะไม่ใช่เครื่องมือวัดที่ถูกต้องก็ได้ แต่คนเราก็ชอบใช้ของพวกนี้เป็นเครื่องมือการวัดอำนาจและอวดฐานะกันเหลือเกิน

ยิ่งผู้ใดมีสมบัติ เงินทองมากเท่าไหร่ ผู้นั้นดูเหมือนจะมีสิทธิ มีเสียง มีโอกาส มากกว่าคนอื่น ถึงแม้กฎหมายจะบอกเอาไว้ว่าทุกคนในสังคมมีสิทธิเท่าเทียมกันก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าธรรมเนียมการปฏิบัติของคนในสังคมนั้นกลับตรงกันข้าม ผู้คนเลือกที่จะปฏิบัติและเกรงใจต่อผู้มั่งคั่งด้วยสมบัติและฐานะ…ไม่ผิดเลยครับถ้าเราจะพูดว่า "มนุษย์ในสังคมปัจจุบัน ประเมินกันที่ฐานะ" 

จะสังเกตุเห็นว่าหากเรามี สมบัติหรือเงินทองที่มากมายแล้วละก็ เราก็กลายเป็นคนสำคัญ เป็นคนที่มีคุณค่าขึ้นมาทันที เหมือนทุกสิ่งอย่างมันสามารถเสกได้อย่างง่ายดาย อะไรประมาณนั้น

หลายๆคนที่มีสิ่งที่เรียกว่า สมบัติหรือเงินทองมากๆ เค๊าเหล่านั้นก็อาจจะไม่จำเป็นที่จะต้องอ่อนน้อมถ่อมตนอะไรต่อใครๆ… ซึ่งมันก็ทำให้คนเราหยิ่งจองหอง หรือบางคนก็พูดจายกตนข่มท่าน อาจจะมีทั้งที่ตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ แต่บอกได้เลยว่ามันเป็นอะไรทีแย่

หลายคนๆมีหลากหลายวิธีในการก่อร่างสร้างตัว ในการสร้างฐานะ

บางคนก็มุ่งมั่นในการทำงาน แต่บางคนก็เลือกที่จะเกาะพ่อแม่กินก็มี อะ ไม่เป็นไร เราไม่ได้คิดจะเขียนเรื่องเกาะพ่อแม่กินตอนนี้ เอาไว้โอกาสหน้าก็แล้วกัน 

คนเราหา คนเราสร้าง เพื่อที่จะสร้างฐานะกัน เพื่ออยากที่มีอำนาจกัน เพื่อที่อยากจะให้คนอื่นเกรงใจเรา มันเป็นเหตุผลของการหา เหตุผลของการสร้างที่ถูกต้องแล้วเหรอ

เราหา เราสร้าง เรารู้จักคำว่า "พอ" มั๊ย เพราะถ้าเราไม่รู้จักพอ หาเท่าไหร่ก็คงไม่มีวันจบสิ้น เราก็ยังคงต้องหาไปเรื่อยๆ อยู่อย่างนั้นเป็นวัฏจักรที่ไม่มีวันสิ้นสุด


อย่างไรก็ตาม ถ้าเรารู้จักคำว่าพอ เราก็ไม่ต้องไปดิ้นรนอะไรมากมาย ขอแค่เรามีอยู่อย่างเหลือเก็บ เหลือประทังชีวิต เลี้ยงลูกเลี้ยงหลานและมีเหลือพอที่จะช่วยเหลือสังคมบ้าง…วิธีการสร้างสมบัติเท่าที่เราพอจะมีกิน มีใช้ และมีเก็บ ให้มากขึ้นนั้นไม่ใช่การแสวงหาธุรกิจใหม่ๆมาทำ หรือการมองหางานที่ได้เงินเดือนดีๆเสมอไป เอาอาจทำได้ง่ายๆด้วยการ “ลดความต้องการ” หรือความโลภในตัวของเราให้น้อยลง ก็เป็นได้

นี่เป็นอีกวิธีหนึ่งของการ ลดเพื่อสร้าง

ยิ่งถ้าเรามีความอยากมี ความอยากได้น้อยลง อะไรอะไรที่เรามีอยู่ ก็ดูเหมือนจะมีมากขึ้นมาทันที ทุกอย่างมันดูเหมือนมีเกินพอเสียด้วยซ้ำ คือมันมากเกินที่เราอยากจะมีอยากจะได้ นี่แหละหลักของการ ลดเพื่อสร้าง

ชีวิตกับการแสวงหามันน่าจะเพียงพอแล้ว…สร้างความสุขให้กับตัวเองบ้างก็ดีนะครับ…เปลี่ยนวิธีการสร้างสมบัติและวิธีการเสาะแสวงหาแบบเดิมๆ จากการใช้ความโลภเป็นรากฐานมาสร้างและการเสาะแสวงหา 
ด้วยการ “ลด” ลดความอยากมี ลดความอยากได้ จะดีกว่ามั๊ย 

คนที่มีความสุข ไม่ใช่คนที่ "มี" มากที่สุด แต่อาจเป็นคนที่มีน้อย แต่ว่ามีมากกว่าสิ่งที่เค๊าต้องการก็อาจเป็นได้…

ถ้าเราลด ละ เลิก ความโลภไปได้บ้าง เราก็ไม่จำเป็นต้องไปวิ่งตามและเสาะแสวงหาอะไรมากมาย

ชีวิตที่สามารถ ลด ละ เลิก ความโลภไปได้บ้าง เราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปแสาะแสวงหาอะไรต่างๆมากมายเพื่อมาตอบสนองความต้องการที่เราอยากมีอยากได้อะไรมากมาย

ดังนั้น การลดเพื่อสร้าง ไม่ใช่สิ่งที่อะไรที่ทำไม่ได้ ไม่ใช่อะไรก็ไกลเกินเอื้อม หากเราลองหยุด... หยุดสักนิด หยุดกับทุกสิ่งอย่าง แล้วมาลองคิดไตร่ตรองดูว่า สรุปแล้วชีวิตเราต้องการอะไร อะไรต่างๆที่เราหามา มันมากเกินพอ มันมากเกินความจำเป็นหรือเปล่า

ถ้าหากเรามา ลดเพื่อสร้างกัน ชีวิตเราจะเต็มอิ่มและมีความสุขมากกว่านี้กันมั๊ย

มาลองดูกันนะครับ ว่าการ "ลดเพื่อสร้าง" เนี๊ยะทำได้จริงมั๊ย มันจะทำให้เรามีความสุข และค้นหาตัวเองได้ดีจริงๆมากน้อยแค่ใหน

ทดลองการใช้ชีวิตแบบ ลดเพื่อสร้าง กันดูนะครับ ได้ผลอะไร ยังไงก็นำมาเอาเผื่อแผ่กันด้วยนะครับ

Sunday, September 6, 2015

เรียงลำดับความสำคัญของชีวิต



เคยถามตัวเองบ้างมั๊ยว่า อะไรเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต

ไม่รู้สินะ รู้สึกว่า ทุกช่วงชีวิต เราจะมีคำตอบที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ณ ตอนนั้นๆ

ตอนเป็นเด็กเราอาจจะไม่ได้คิดอะไรมากมาก แต่พอโตเป็นผู้ใหญ่ เราก็เริ่มที่จะคิด เริ่มที่จะวางแผนอะไรกับชีวิต และก็เริ่มที่จะเรียงลำดับความสำคัญของชีวิต ซึ่งก็ไม่มีอะไรผิดและถูก แน่นอนว่าเมื่อเวลาผ่านไปทุกสิ่งทุกอย่างก็ยอมเปลี่ยนแปลงไปเป็นเรื่องธรรมดาไม่มีสิ่งไหนอยู่เหนือกาลเวลา

ชีวิตเราก็ต้องปรับให้เข้ากับสถานการณ์นั้น และก็ต้องมีการเรียงลำดับความสำคัญของชีวิตกันใหม่อยู่เรื่อยๆ

บางครั้งที่เรามีความสุขมากๆ เราก็อยากจะเก็บช่วงเวลาดีๆนั้นเอาไว้ อยากใช่มั๊ยหละ อยากเก็บเอาเวลาช่วงที่มีความสุขเอาไว้ อยากเก็บเอาไว้ในขวดแก้ว

ผู้คน หรือ สิ่งของต่างๆ ล้วนแล้วแต่มีความสำคัญกับเรา ไม่มากก็น้อย ถ้าเราขาดใครบางคนหรือสิ่งของบางอย่าง เราอาจรู้สึกว่าชีวิตเราขาดหายอะไรไปเลยก็ว่าได้ ดังนั้นเราต้องไม่มองข้ามคนรอบๆข้าง หรือสิ่งของต่างๆที่อำนวยความสะดวกให้กับเรา

คนสมัยก่อนเมื่อสิ่งของพังจะนิยมเอาไปซ่อมจนกว่าจะซ่อมไม่ได้และจะไม่นิยมซื้อใหม่ ซึ่งผิดกับค่านิยมในปัจจุบัน เราสังเกตได้ง่ายๆจากวัตถุสิ่งของในปัจจุบัน คนเราชอบซื้อชอบใช้อะไรตามกระแสนิยม มือถือมั่งหละ รถมั่งหละ อวดกันเข้าไป มีเงินเมื่อไหร่ เปลี่ยนมือถืออีกแล้ว เปลี่ยนรถกันอีกแล้ว สรุปแล้วคิดว่าพวกสิ่งของวัตถุนิยมพวกนี้ มีความสำคัญกับชีวิตเรามากเลยเหรอ เรามาลอง เรียงลำดับความสำคัญของชีวิตกันใหม่น่าจะดีกว่ามั๊ย...

สิ่งของอะไรที่สำคัญ บุคคลคนใหนที่สำคัญกับชีวิตเรา ถ้าเรามาลองเรียงลำดับความสำคัญของชีวิตกันใหม่ และดูแลบุคคลเหล่านั้น สิ่งของเหล่านั้นน่าจะดีกว่านะ

สิ่งของและคนก็เหมือนกัน ฉันใดก็ฉันนั้น เราถ้าไม่ดูแลบุคคลและสิ่งของที่มีความสำคัญต่อเรา ถ้าเราไม่ดูแลจิตใจคนรอบข้าง หรือมัวแต่คิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนตัวของเราแล้ว จนลืมคิดถึงความรู้สึกของคนรอบๆข้าง หากวันใดที่เค๊าไม่อยู่ แล้วเราก็จะรู้ว่า วันเวลา สิ่งของบางอย่าง เราไม่สามารถเรียกหวนกลับคืนมาได้

ของบางอย่างถ้าพังแล้ว ก็ถือว่าพังเลย ซ่อมไม่ได้

มิตรภาพใจบางอย่าง ถ้าได้พังแล้ว ก็ถือว่าพังเลย ซ่อมไม่ได้เหมือนกัน

ชีวิตมนุษย์เรา ถ้าได้ไปแล้ว ลาสังขารแล้ว เราก็เรียกกลับมาไม่ได้เช่นกัน

ฉันใดก็ฉันนั้น...

แนะนำให้ดูแลรักษาสิ่งของ และจิตใจของคนที่เรารักให้ดี เรียงลำดับความสำคัญของชีวิตให้ถูก

ก่อนที่จะสายจนเกินไป...


Friday, September 4, 2015

เวลาและความฝัน



เคยเป็นแบบนี้กันมั่งมั๊ยเอ่ย ว่าทำไมเราต้องเจอกับความผิดพลาดอีกแล้ว? 

ทำไมชีวิตเราต้องมาเจอกับอะไรที่แย่ๆแบบนี้?

หลายๆครั้งเราอาจเคยได้ยินคำพูดเหล่านี้ออกมาจากตัวเราเองหรือมาจากคนที่ใกล้ตัวเรา

คำพูดและความคิดเหล่านั้นอาจเกิดขึ้นมาจากบางสิ่งบางอย่างที่ไม่เป็นไปตามต้องการ หรือไม่เป็นไปตามใจเราที่หวังเอาไว้

เมื่อเราหวังเอาไว้สูงเวลาเราผิดหวังก็ย่อมจะเจ็บเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์โลก

แต่คนเราก็ต้องมีความหวังกับเรื่องอะไรต่างๆในชีวิต ถ้าไม่อย่างงั้นชีวิตก็ขาดรสชาติ

ในชีวิตปัจจุบันเราต่างดำเนินชีวิตไปด้วยความฝัน ความหวังบนพื้นฐานของโลกแห่งความเป็นจริง

แต่เราจะฝันและหวังอย่างไร
ไม่ให้เราเสียใจ?

จริงๆแล้วคำตอบนี้ก็คงจะหลากหลาย ขึ้นอยู่กับความหวังและความต้องการที่จะไขว่ขว้าของแต่ละคน

แต่เมื่อเราลองถามตัวเราเองว่าในชีวิตเรา มีหลายครั้งมั๊ยที่เราปล่อยให้ความฝันปล่อยผ่านไปโดยที่เราไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย

เราอยากเรียนหนังสือให้เก่ง 


เราอยากทำงานตำแหน่งดีๆ

เราอยากมีอาชีพนี้ นั่น นี่ โน่น

หรือว่าความฝันต่างๆอีกมากมายที่เราเคยฝันและเราปล่อยผ่านไปโดยที่ไม่ได้ลงมือทำอะไรเพื่อให้ความฝันนั้นเป็นจริง และเมื่อเวลาผ่านไปเรากลับมาเสียดายที่เราไม่ได้ทำความฝันนั้นให้เป็นจริง เพรา

เราไม่สามารถย้อนเวลากลับคืนมาเพื่อทำความฝันนั้นให้เป็นจริงได้นะครับ เวลาไม่มีวันหวนกลับ ดังนั้นหากเรามีความฝันหรือความหวังอะไรก็ตามแต่ เราควรที่จะทำวันนี้ให้ดีที่สุด ทำให้ดีที่สุดเพื่อที่จะให้ความฝันหรือความหวังเราเป็นจริง

โอกาสในชีวิตไม่ได้เข้ามาหาเราบ่อยๆ และบางครั้งเมื่อโอกาสเข้ามาหาเราในจังหวะที่เราไม่พร้อม เราอาจจะสูญเสียโอกาสนั้นไปอย่างน่าเสียดาย

จะดีกว่าไหมถ้าเราทำสามารถทำตัวให้พร้อมกับความฝันอยู่เสมอ พยายามปรับปรุงความสามารถของเราให้ใกล้กับความฝันที่เราหวังเอาไว้ สำรวจตัวเองว่าคุณสมบัติอะไรที่เราขาดไป หรือเสริมสร้างจุดแข็งที่เรามีอยู่แล้ว ให้เพียงพอและพร้อมกับความฝันของเราอยู่เสมอ

ปัญหาในปัจจุบันที่เราพบเจอกันมากก็คือ ตอนนี้ส่วนใหญ่คนไม่รู้ว่าความฝันที่แท้จริงแล้วของตัวเองคืออะไร

ส่วนใหญ่เรานั้นใช้ชีวิตไปตามกระแสสังคมหรือกระแสทุนนิยมที่หล่อหลอมให้เราต้องมีเงินทองมากมาย มีหน้าที่การงานในสังคมที่ดี มีกระเป๋ารองเท้าหรือเสื้อผ้าราคาแพง เอาไว้ใส่เพื่อแสดงฐานะทางสังคมที่แตกต่างกัน 


ทุนนิยมบางประเภทสอนเราว่าต้องมีการผลิตที่มากที่สุดและเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และขายให้ได้มากที่สุด สอนให้พนักงานทำงานแบบถวายตัวเพื่อบริษัท และลดค่าแรงพนักงานน้อยลงเพื่อทำกำไรอันสูงสุดของบริษัท แต่พนักงานโรงงานผลิตรองเท้าบางคนกลับไม่มีรองเท้าจะใส่

จริงๆแล้วเราอยากมีชีวิตแบบนี้กันหรือเปล่า ?

ไม่มีใครให้คำตอบแทนเราได้ อยู่ที่ชีวิตเราเลือกเองมากกว่าว่าความฝันและความหวังที่แท้จริงแล้วในชีวิตเราเป็นแบบไหน ถ้าหากเรายังไม่รู้ความฝันในตัวเอง ปล่อยให้ชีวิตเราไหลไปตามกระแสสังคม สุดท้ายเราก็จะกลายเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่เกิดมาแล้วไม่ได้สร้างอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองหรือสังคมเลย


ชีวิตเรา เราต้อง take control หรือจัดการและจัดสรรหาอะไรต่างๆให้กับชีวิตเราเอง จะมามัวรอคอยคนอยู่ผลักดันเราอยู่ไม่ได้ ชีวิตเรา ความฝันและความหวังอะไรต่างๆ ตัวเราเองต้องเป็นคนขับเคลื่อ 

แนะนำให้หาตัวเองให้เจอ และรู้ว่าความฝันและความหวังในชีวิตเราจริงๆแล้วคืออะไร ทำอะไร ยังไง ถึงจะได้สิ่งๆนั้นมา ทำอะไร ยังไง ความฝันหรือความหวังถึงจะกลายเป็นจริง...

Wednesday, September 2, 2015

จริงๆแล้วสิ่งที่ลูกต้องการคือ "เวลา"


คนเราเกิดมาทุกคน ต้องทำมาหากิน หาเลี้ยงชีพ แต่บางทีเราก็ลืมไปว่า สรุปแล้วสิ่งสำคัญจริงๆในชีวิตคืออะไร เงินหรืออะไรกันแน่

ถามว่าเงินมีความจำเป็นต่อการดำเนินชีวิตมั๊ย ก็มีนะครับ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เงิน ต้องเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต เงิน ไม่ใช่เครื่องวัดความสุขของชีวิต

 คนทำงานลืมหน้าลืมหลัง พ่อแม่ไม่มีเวลาให้ลูก อะไรประมาณนี้ ถ้าเป็นแบบนั้น สรุปแล้วเราทำงานตัวเป็นเกลียวหาเงินมาเพื่ออะไรเหรอ ถ้าการทำงานหาเงิน แล้วเราต้องแยกกันอยู่กับครอบครัว เจอกันอาทิตย์ละไม่กี่ครั้ง หรือกลับบ้านมา เวลาก็ไม่ตรงกับลูกๆ กลับเข้าบ้านมาตอนเช้า อยู่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ลูกหลับอยู่ ตื่นมาไม่ได้เห็นหน้าพ่อหรือแม่ แต่โดยส่วนมากแล้ว แม่จะคลุกคลีอยู่กับลูกมากกว่า คนที่เป็นคนออกไปทำงาน หาเงินนอกบ้าน หรือไปไกลจะเป็นพ่อมากกว่า

ถ้าเป็นแบบนั้น แล้วเราจะทำงานหนัก ทำงานไกลๆจากบ้านไปทำไมหละ สู้หาอะไรทำใกล้ๆบ้านทำดีกว่ามั๊ย จะได้อยู่กับครอบครัวแบบพร้อมหน้าพร้อมตา เอาแค่แบบว่า มีน้อยใช้น้อยค่อยบรรจงน่าจะดีกว่ามั๊ย

คนที่ชอบใช้ข้ออ้างว่าต้องไปทำงานหาเงินเลี้ยงครอบครัว คนเราถ้าไม่ได้อยู่ด้วยกัน แล้วจะเรียกว่าเป็นครอบครัวได้ยังไง

คนเราชอบอ้างว่า ที่ทำงานหนัก ทำงานไกลๆบ้าน ก็ทำไปเพื่อลูก เพื่อลูก เพื่อลูก และก็ เพื่อลูก จะเรียกว่าทำเพื่อลูกได้เต็มปากเต็มคำได้หรือเปล่า ถ้าเราไม่ได้ใช้เวลาอันมีค่าอยู่กับลูกเลย

เงิน ซื้อเวลาให้กับลูกได้มั๊ย แบบนี้จะเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของ "พ่อแม่รังแกฉัน" หรือเปล่า

สรุปแล้วการออกจากบ้านไปทำงานนั้น คนบางคนทำอะไรเพื่อตัวเองหรือเปล่า มีความต้องการที่จะออกจากบ้านเป็นทุนเดิมอยู่แล้วหรือเปล่า เอาครอบครัวซึ่งตัวเองแทบจะไม่มีเวลาให้มาเป็นข้ออ้างหรือเปล่า เอาลูกที่ตัวเองแทบบจะไม่ได้คลุกคลีมาเป็นข้ออ้างหรือเปล่า

เงินทองของนอกกาย ไม่เอามาเป็นเครื่องวัดความสุขจะดีกว่ามั๊ย

เปลี่ยนจากการแยกกันอยู่ ให้มาเป็นใช้เวลาอยู่ด้วยกัน อยู่กับลูก อยู่กันแบบพร้อมหน้าพร้อมตาเป็นครอบครัว จะดีกว่ามั๊ย

คิดว่าสุดท้ายแล้ว สิ่งที่ครอบครัวและลูกต้องการ น่าจะเป็น "เวลา" มากกว่า ยังไงเสียเราก็คิดว่าเวลานั้นมีค่ากว่าเงินเป็นใหนๆ

สองมือ ปากกัดตีนถีบ คิดว่ายังไงก็ไม่อดตาย...

Sunday, August 30, 2015

ไข่ในหิน


ใหนๆเราได้เขียนเรื่อง "พ่อแม่รังแกฉัน" ไปแล้ว ก็คงต้องต่อด้วยเรื่อง "ไข่ในหิน" สักหน่อย เพราะดูแล้วคาบเกี่ยวกันได้มากเลย

การที่พ่อแม่หลายๆคน รวมไปถึงปู่ย่าตายายด้วย เลี้ยงลูกเลี้ยงหลานแบบเอาอกเอาใจ ประคบประหงมแทบทุกอย่าง บริการคุณลูกสุดที่รักทุกอย่าง เลี้ยงลูกแบบไข่ในหิน มดไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม ลูกอยากได้อะไร อยากทำอะไร สรรหาให้หมดเลย

ปู่ย่าตายายก็เหมือนกัน ตัวดีเลยเชียวหละ

อุ๊ย..... ลูกจะไปโรงเรียนแล้ว ต้องถูกเชือกรองเท้าให้คุณลูกสะหน่อย
อุ๊ย..... ลูกจะเดินไปขึ้นรถ ต้องถือกระเป๋าให้ลูกสะละ

อะไรกันเนี๊ยะ เป็นอะไรกันมากหรือเปล่า

เด็ก ป.3-ป.4 ถ้ายังต้องให้พ่อแม่ หรือปู่ย่าตายายผูกเชือกรองเท้าให้เนี๊ยะก็แย่แล้วนะ ที่บอกว่าแย่เนี๊ยะ ไม่ใช่ว่าเด็กแย่นะครับ พ่อแม่นั่นแหละที่แย่ ไม่หัด หรือฝึกสอนให้ลูกเค๊าทำเอง ของแค่เนี๊ยะ ถ้าเด็ก ป.3-ป.4 แล้วยังทำเองไม่ได้ พ่อแม่กรุณาพิจารณาตัวเองอย่างด่วน

เด็กๆเค๊าเริ่มโตแล้ว ถ้าหากเราไม่หัดให้เค๊าทำอะไรด้วยตัวเองนะ งอมืองอเท้า โตขึ้นมาก็จะทำอะไรเองไม่เป็น พวกที่เลี้ยงลูกแบบไข่ในหินแบบเนี๊ยะ สรุปคือลูกโตมาเอาตัวไม่รอด แล้วเราก็คงต้องเลี้ยงดูเค๊าไปจนวันตาย

เดี๋ยวพอลูกโตขึ้นสักหน่อยนะ จะกลายมาเป็นภาระเรา ไม่ต้องไปโทษใครครับ โทษตัวเองแหละดีที่สุด เลี้ยงลูกไม่โตสักทีหนิ 

รักมาก เป็นไงหละ...

Saturday, August 29, 2015

ชีวิตที่ท้าทาย


ในการเดินทาง ถ้าเราเดินทางเรียบๆง่ายๆ เราจะได้เรียนรู้แค่เพียงแค่ระยะทาง…แต่ถ้าเราปีนป่ายเขา เราจะได้ทั้งระยะทาง และความสูง

ชอบประโยคนี้ครับ เพราะมันสะท้อนได้ถึงความทะเยอทะยานของมนุษย์ที่แตกต่างกันออกไป…บางคนเดินทางเพียงเพื่อให้ตนได้ก้าวไปข้างหน้า ในตำแหน่งที่ไกลกว่าเดิม...ในขณะที่บางคนเดินทางเพื่อให้ตนเองไปในตำแหน่งที่ไกลกว่าเดิมด้วย และสูงขึ้นด้วย…


เดินทางบนถนนเรียบๆ… แน่นอนครับ ขึ้นชื่อว่าถนนเรียบๆง่ายๆ…มันย่อมสบายกว่าการปีนป่ายเขาอย่างแน่นอน เพียงแค่ขาของเราทั้งสองข้างก้าวซ้าย สลับขวาไปเรื่อยๆ ตามท้องถนน…ไม่ต้องเสี่ยงอันตรายอะไร หรือเผชิญอุปสรรคที่ท้าทายอะไรมากมาย เพียงเท่านี้เราก็จะได้ระยะทางที่ไกลขึ้นแล้ว…ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับคนทำงาน คนที่ชอบเดินทางเรียบๆง่ายๆก็มักจะเป็นคนที่ไม่ค่อยมีความทะเยอทะยานหรือกระตือรือร้นอะไรสักเท่าไหร่ พวกเค๊าเหล่านั้น…มักพอใจในงานที่ทำ เงินเดือนที่ได้รับ และสถานะที่เป็นอยู่ การเดินทางของคนกลุ่มนี้ ก็จะเป็นอะไรที่ เรื่อยๆ เอื่อยๆ เปื่อยๆ เฉื่อยๆ แฉะๆ สะสมระยะทางจากการเดินทางของตนไป ซึ่งหากเรียกตามภาษาแรงงานก็คงจะเป็นอายุประสบการณ์การทำงานละมั้ง แต่ถึงแม้คนเหล่านั้นจะมีประสบการณ์การทำงานมากก็จริง แต่ด้วยความที่เขาไม่คิดจะไต่เต้า ดิ้นรนขวานขวาย จึงทำให้ตำแหน่งหรือสถานะของเค๊ายังคงที่อยู่อย่างเดิม เช่น เป็นพนักงานบริษัทอยู่ตั้งแต่เริ่มทำงาน ทำงานไป 10 ปีก็ยังคงเป็นพนักงานบริษัทอยู่อย่างนั้น หรือ เป็นลูกจ้างในห้างสรรพสินค้า จนเวลาผ่านไป 5 ปี ก็ยังคงเป็นลูกจ้างอยู่อย่างนั้น ไม่คิดที่จะเปิดกิจการเป็นของตัวเองเสียที… 


ปีนเขา…

นักเดินทางประเภทนี้จะมีลักษณะนิสัยที่แตกต่างไปจากคนที่ชอบเดินทางเรียบๆง่ายๆอย่างสิ้นเชิง พวกเค๊าชอบความท้าทาย และพร้อมที่จะเผชิญกับมันและหาวิธีการเพื่อผ่านพ้นมันไปด้วยตนเองเสมอ และสิ่งที่รอคอยบรรดานักปีนเขาเหล่านี้อยู่ ไม่ใช่ความจำเจซ้ำซากสองข้างทางถนนครับ แต่เมื่อเค๊าพยายามจนสุดความสามารถและได้ขึ้นไปอยู่บนยอดภูเขาแล้ว พวกเค๊าจะมองเห็นวิวที่สวยงาม เห็นในมุมที่หลายๆคนไม่เคยเห็น และได้ยืนอยู่ในที่ที่หลายๆคน ไม่เคยได้ยืน …ซึ่งหากเทียบกับชีวิตการทำงาน คนที่ชอบปีนป่ายเขา ชอบความท้าทาย ชอบที่จะพัฒนาตัวเอง 

คนประเภทนี้จะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองไปยื่นอยู่ในจุดที่สูงกว่าเดิม ซึ่งแน่นอนที่สุดครับ…การที่จะไปให้ถึงจุดที่สูงกว่าเดิมได้นั้น คือต้องทำในสิ่งที่ยากขึ้น ทำในสิ่งที่ท้าทายมากยิ่งขึ้น เช่น 

  • เค๊าเบื่อที่จะเป็นลูกจ้างบริษัทเพราะเงินเดือนน้อย จึงมีความคิดที่จะลาออกมาเปิดกิจการเพื่อเป็นเจ้าของกิจการเอง การลาออกและลงทุนเปิดกิจการนี่แหละครับถือเป็นการเดินออกมาจากทางเรียบๆง่ายๆเพื่อตัดสินใจปีนป่ายขึ้นไปบนภูเขา ตามหาฝัน ซึ่งเป็นการทำในสิ่งที่เสี่ยง และยากกว่าเดิม…


แน่นอนครับ การทำเช่นนี้อาจมีทั้งโอกาสล้มเหลว และประสบผลสำเร็จ 

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เราไม่สามารถปฎิเสธได้เลยว่า การทำอะไรที่ท้าทาย เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่จะทำให้พวกเค๊าเหล่านั้นก้าวหน้า และอยู่ในตำแหน่งที่สูงขึ้น…

การเดินทางทั้งสองรูปแบบไม่มีรูปแบบใหนถูก หรือแบบใหนผิดครับ…

หากการเป็นพนักงานบริษัท หรือตำแหน่งที่เรายืนอยู่ในปัจจุบันคือความสำเร็จในชีวิต และไม่ต้องการไขว่คว้าสิ่งใดเพิ่มเติมให้เหน็ดเหนื่อยแล้ว…การเดินทางเรียบๆง่ายๆจะเป็นการเดินทางที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ที่มีความคิดแบบนี้ 

แต่หากเรายังต้องการที่จะได้รับสิ่งแปลกๆใหม่ๆเพิ่มขึ้นในชีวิต อยากได้หรืออยากทำอะไรที่มันท้าทายไปกว่านี้ ไม่ใช่หยุดความคิดเพียงแค่พนักงานบริษัทธรรมดา แต่อยากลองเป็นผู้จัดการบริษัท หรือเปิดบริษัทเอง สิ่งเดียวที่จะทำให้เราไปถึงเป้าหมายได้คือการเดินทางไปให้ไกล และไปให้สูง 

ลองดูนะครับ…อย่ากลัวที่จะทำในยิ่งที่ยาก ไม่มีผู้ประสบความสำเร็จคนใหน ได้ความสำเร็จมาอย่างง่ายดายอย่างแน่นอน ก่อนจะมาถึงจุดที่เค๊ายืนอยู่ เราคิดว่าพวกเค๊าเหล่านั้นคงได้ผ่านเรื่องราวที่ลำบากมาแล้วนับไม่ถ้วน 

ความสำเร็จของพวกเค๊าเหล่านั้นล้วนแต่เกิดขึ้นจากการ “ปืนป่ายเขา” ด้วยกันแทบทั้งนั้น…

Friday, August 28, 2015

ได้คืบจะเอาศอก


คนเรานี่นะพอเราขอร้องใคร ขอความช่วยเหลืออะไรจากใคร เราก็ต้องรู้จักคำว่าพอ คำว่าหยุด อย่าเป็นคนพวกได้คืบจะเอาศอก เพราะบางทีคนอื่นเค๊าช่วยเหลือเรา ก็เพราะเค๊าเห็นว่าคนเรามันได้เกิดมาร่วมโลกกันแล้วก็เลยช่วยๆกันไป แต่ทุกอย่างมันก็ต้องมีขอบเขต ตัวเราเองเราก็ต้องรู้จักเกรงอกเกรงใจคนอื่นด้วย อย่าคิดเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว ไม่ดี

จงอย่าเป็นคนพวกตัดช่องน้อยแต่พอตัว คิดอะไรเอาง่ายๆ เพราะหากเราคิดเอาแต่จะได้ฝ่ายเดียว พวกได้คืบจะเอาศอกเนี๊ยะ คนอื่นคงหนีหายกระเจิดกระเจิงกันไปหมด ถ้าตัวเราเองไม่ชอบพวกได้คืบจะเอาศอก ตัวเราเองด้วยก็ต้องไม่ทำตัวเป็นพวกได้คืบจะเอาศอก เช่นเดียวกัน

คนเราถ้าคิดจะงบกันไปนานๆ ไปมาหาสู่กันไปนานๆ ช่วยเหลือเกื้อกูลกันในยามยาก มันก็ต้องพบกันครึ่งทาง ตัวเราเองก็ไม่ควรไปเบียดเบียนคนอื่น หรือถ้าจะเบียดเบียนบ้างเล็กน้อยในยามยาก ก็อย่าให้มันบ่อยมากเกินไป ถี่มากเกินไป ไม่ดี

พวกได้คืบจะเอาศอกนี้ สังเกตุว่าจะเป็นมักง่าย คิดเอง เออเอง ง่ายๆสั้นๆ ไม่มองการไกล ถ้าเป็นแบบนี้อยู่ล่ำไป สักวันหนึ่งก็คงต้องอยู่คนเดียว หัวเดียวกระเทียมลีบ

Thursday, August 27, 2015

พ่อแม่รังแกฉัน


เคยเจอบ้างมั๊ย ที่พ่อแม่บางคนเลี้ยงลูกแบบตามใจทุกอย่าง ลูกอยากได้อะไรก็ต้องได้ ต้องสรรหาสิ่งนั้นมาให้ลูก รู้หรือไม่ว่าการที่เรา พ่อแม่สรรหาอะไรต่างๆนาๆมาให้ลูกนั้น บางสิ่งบางอย่าง อะไรที่มันได้มาง่ายๆ คนเราก็อาจจะไม่เห็นคุณค่า โดยเฉพาะเด็กๆที่ถูกตามใจมาตั้งแต่เด็ก อยากได้อะไร อยากได้หมดเลย เหมือนบรรดาลสิ่งของได้จากฟ้า 

ถ้าเด็กเกิดมาไม่เคยเจอความยากลำบากเลย เด็กก็จะไม่เห็นคุณค่าของชีวิต ไม่มีภูมิคุ้มกัน ภูมิต้านทานของชีวิต พออยู่มาวันหนึ่งประสบปัญหาอะไรนิดหน่อยในชีวิต ก็ทำตัวเปราะบาง รับไม่ได้กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โทษคนอื่น โทษคนรอบข้าง ไม่จะเคยโทษตัวเอง

สรุปแล้วการที่เราประเคนอะไรทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามีให้กับลูกๆนั้น เป็นการดีหรือเปล่า ลองคิดให้ดีๆ มันเป็นการรังแกลูกหรือเปล่า เราจะอยู่ดูแลลูกไปได้ตลอดชีวิตหรือเปล่า ถ้าอยู่มาวันหนึ่ง เราไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว จะเกิดอะไรขึ้น เคยคิดไว้บ้างมั๊ย 

อย่ามัวแต่คิดว่า ทิ้งมรดกทิ้งเงินทิ้งทองไว้ให้ลูกก็เพียงพอแล้ว เออ แล้วถ้าลูกมันได้มรดกมาง่ายๆ คิดหรือเปล่าว่าเค๊าจะสามารถดูแลมรดกนั้นต่อไปได้ หรือสุดท้ายแล้วลูกก็จะล้างพลาญมรดกไปจนหมด สุดท้ายก็เอาตัวเองไม่รอดอยู่ดี สุดท้ายก็คงต้องเดือดร้อนคนรอบข้างอยู่ดี

เรามาลองฝึกฝนให้ลูกได้พบได้เจอกับความผิดหวังกันบ้างจะดีมั๊ย
ฝึกฝนให้เค๊ารู้จักเอาตัวรอดได้ในสังคม เค๊าจะได้มีภูมิต้านทานชีวิตที่ดี นั่นแหละควรเป็นหน้าที่ที่แท้จริงของพ่อแม่ พ่อแม่ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ให้ตลอดไป ลูกต่างหากหละที่ต้องฝึกที่จะขวานขวายหาในสิ่งที่เค๊าต้องการด้วยตัวของเค๊าเอง

พ่อแม่รังแกฉัน มีอยู่จริง ถ้าหากเราเป็นหนึ่งในนั้น ลองคิดดูใหม่มั๊ย ลองปรับปรุงแก้ไขสถานการณ์ก่อนดีมั๊ย ก่อนที่มันจะสายเกินไป

พ่อแม่รังแกฉัน แก้ไขได้ เปลี่ยนแปลงได้ หากเรารู้เท่าทัน...

Tuesday, August 25, 2015

ว่าด้วยเรื่องแรงบันดาลใจ


หลายๆคนคงได้ยินคำๆนี้กันมามาก…บางคนอาจสงสัยว่าแรงบันดาลใจสำคัญอย่างไร…ทำไมต้องสร้าง…แล้วมันมีผลดีต่อเรายังไง?

เราเชื่อว่าหลายๆคนต้องเคยผ่านจุดที่เรียกว่า “ได้รับแรงบันดาลใจ” กันมาแล้วทั้งสิ้น…ไม่เชื่อก็ลองนึกย้อนไปในอดีตนะครับ เริ่มตั้งแต่ตอนยังเป็นเด็กเลยก็ได้ เคยบ่นกับคุณพ่อคุณแม่หรือไม่ว่าอยากได้สิ่งของ นั่น นี่ โน่น บ่นเข้ามากๆพ่อแม่ก็อาจจะตั้งเงื่อนไขขึ้นมาว่า “สอบให้ได้ที่ 1 สิ ถ้าสอบได้แล้วจะซื้อให้” ได้ยินอย่างนั้นแล้วเราเลยก็ฮึด ตั้งใจอ่านหนังสือ ตั้งใจเรียนให้ได้ที่ 1 เพื่อหวังสิ่งที่เราปรารถนา…

เงื่อนไขที่พ่อแม่วางไว้นั่นแหละครับ คือ “แรงบันดาลใจ” เป็นสิ่งที่กระตุ้นให้คนคนนั้นมีกำลัง ลุกขึ้นมาต่อสู้กับอุปสรรค เพื่อให้ได้ในสิ่งที่เราต้องการ…และหากเราสังเกตุให้ดี การทำสิ่งใดโดยไม่มีแรงบันดาลใจ กับ การทำสิ่งใดโดยมีแรงบันดาลใจ มันต่างกันนะครับ

อย่างหลังนี่จะมีโอกาสประสบความสำเร็จสูงกว่าอย่างแรก เช่น เราทำงานเก็บเงินโดยไม่ได้ตั้งเป้าหมายเอาไว้ ไม่ได้มีแรงบันดาลใจอะไรในการเก็บเงิน การเก็บเงินของเราก็จะเป็นไปอย่างเรื่อยๆ เอื่อยๆ เฉื่อยๆ แฉะๆ ได้บ้างไม่ได้บ้างก็ว่ากันไป 

แต่ถ้าเราตั้งเป้าไว้ว่า อีกสองเดือนจะเก็บเงินซื้อของอะไรสักอย่าง เท่านั้นแหละครับ เงินเก็บของเราจะขึ้นอย่างรวดเร็วกันเลยทีเดียว ความตั้งใจในการเก็บจะเพิ่มขึ้น และเราก็จะเห็นคุณค่าของเงินมากยิ่งขึ้นด้วย และนี่ก็คือพลังส่วนหนึ่งของ “แรงบันดาลใจ” นั่นเองครับ 

เมื่อเห็นแล้วว่ามันสำคัญแค่ไหน ประเด็นต่อไปคือ จะสร้างมันได้อย่างไร?...
จริงๆแล้วการให้คำตอบสำหรับคำถามนี้ ไม่ได้ยากเลยครับ เพราะ “แรงบันดาลใจ” เราสามารถหาได้จากรอบๆตัวเรา ซึ่งนั่นก็อยู่ที่ว่าเราอยากได้แรงบันดาลใจในการทำอะไร โดยแต่ละเรื่องย่อมมีวิธีสร้างแรงบันดาลใจที่แตกต่างกันไปครับ เช่น
  • หากเราเป็นนักเรียน นักศึกษา และเวลาสอบก็ใกล้เข้ามาทุกที แต่ไม่ว่าจะทำยังไงเราก็ยังไม่มีอารมณ์อ่านหนังสืออยู่ดี พยายามแล้วพยายามอีกก็ล้มเหลว สิ่งเดียวที่จะทำให้เราฮึดสู้ และลุกขึ้นมาอ่านหนังสือ คือต้องสร้าง “แรงบันดาลใจ” ครับ และการสร้างแรงบันดาลใจในการอ่านหนังสือนั้น เราก็ทำได้โดยการเปลี่ยนบรรยากาศจากอ่านหนังสือที่บ้าน…ลองไปอ่านหนังสือตามห้องสมุด ซึ่งจะได้เห็นคนที่กำลังอ่านสือเตรียมสอบเช่นเดียวกันกับเรา เมื่อเราเห็นเขาขยันแน่นอนครับเราจะตั้งคำถามขึ้นมาทันทีว่า “เรามัวแต่ทำอะไรอยู่” หลังจากนั้นมันก็จะเกิดแรงผลักดันบางอย่างให้เราลุกขึ้นมาจับหนังสือ…หรือหากเราคิดว่าวิธีนี้ไม่เหมาะสม เราก็อาจใช้วิธีอย่างอื่นด้วยก็ได้ เช่น จินตนาการตอนเราสอบตก หรือติด F ดูสิครับ อารมณ์มันจะประมาณไหน หรือไม่ก็ ลองหาเรื่องราวของคนที่เค๊าเรียนจบและประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน และมีชีวิตที่สุขสบาย เอามาลองนั่งอ่านดูสิครับ มันอาจจะเป็นแรงผลักดันให้เราอยากอ่านหนังสือเพื่อที่จะได้เรียนจบ และสอบผ่านอย่างเขาก็ได้นะ... 

  • หรือหากเราเป็นนักธุรกิจ แล้วไม่ประสบณ์ผลสำเร็จในการประกอบกิจการ แน่นอนครับ ความล้มเหลวเป็นหนทางซึ่งนำไปสู่ความท้อแท้ เสียอกเสียใจ ดังนั้นกำลังใจจากคนรอบข้างจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก นอกจากกำลังใจแล้ว สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่จะทำให้เราลุกขึ้นมาสู้ชีวิต และทำธุรกิจต่ออย่างไม่ท้อถอย นั่นก็คือ “แรงบันดาลใจ” นั่นเอง การสร้างแรงบันดาลใจในการประกอบธุรกิจนั้นก็มีหลายวิธีเช่นเดียวกันครับ เช่น อ่านเรื่องราวของนักธุรกิจที่เคยประสบปัญหามาแล้ว จนสุดท้ายมาประสบความสำเร็จ 

ที่เขียนมาทั้งหมด เป็นแค่ปลีกย่อยของเรื่อง “แรงบันดาลใจ” ในการดำเนินชีวิตนะครับ การสร้าง “แรงบันดาลใจ” นั้น โดยวิธีการของแต่ละคนนั้นก็ย่อมแตกต่างกันออกไป แล้วแต่สถานการณ์ แล้วแต่ปัญหาของแต่ละคนที่พบเจอ…

แรงบันดาลใจเปรียบเสมือนพลังมหาศาลของจิตใจ เราควรจะสร้างมันให้มีอยู่ตลอดเวลา สุดท้ายไม่ว่าเราจะทำสิ่งใดก็ตาม มันจะช่วยให้เราทำสิ่งนั้นไดดีขึ้น ไม่ท้อแท้ ไม่สิ้นหวัง 

ก็ขอแนะนำนะครับ ลองมองไปรอบๆตัวเราดูนะครับ พอมีอะไรจะเป็น “แรงบันดาลใจ” ให้เราได้มั๊ย...