Saturday, January 31, 2015

ปัญหาของเราที่มันจิ๊บๆ

เคยมีนะ ช่วงที่เหนื่อยและท้อ ไม่ว่ากับหน้าที่การงาน หรือการใช้ชีวิตทั่วไปก็ตามแต่ เนื่องด้วยตัวพี่ J เองก็ทำงานหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์ เป็นเจ้าของร้านอาหาร หรือทำงานเป็นอิมมิเกรชั่นเอเจนต์ โดยเฉพาะงานอิมมิเกรชั่นเอเจนย์นี่นะ พอเราได้ทำเยอะๆ เราเห็น case แทบทุกรูปแบบ เห็นชีวิตของคนหลากหลายครอบครัว เห็นการดำเนินชีวิตของคนมาแล้วทุกแบบ ทุกแนว เห็นบัญชี bank statement ของคนมาแล้วนับไม่ถ้วน บัญชี bank statement ของร้านอาหารไทยแถวนี้ ก็เห็นมาเกือบหมดแล้วแทบทุกร้าน

บางทีเราก็เหนื่อยเพราะเราเองก็ทำงานคนเดียว ดูแลคนทั้งครอบครัวที่นี่ และก็ครอบครัวที่เมืองไทยด้วย บางทีเราก็เหนื่อยกับการที่ต้องเป็นต้นไม้ใหญ่คอยเป็นที่พักอาศัยให้กับพวกนกตัวเล็กๆ

แต่พอเราได้เห็นชีวิตของคนหลากหลายครอบครัว หลากหลายรูปแบบ เห็นการดิ้นรนของคนเพื่อที่จะมีชีวิตที่ดีกว่าเดิม มันทำให้เรารู้เลยว่า ชีวิตเราหนะ ดีกว่าคนอื่นเยอะ เพียงแค่ถ้าช่วงใหนเราเหนื่อย เราท้อ เราก็หยุด หรือลองเดินถอยหลังสัก 1 ก้าวดู หันซ้าย หันขวา มันคงมีทางออกที่ดีกว่า มันคงมีทางไป มันคงมีทางที่สามารถผ่อนคลายสถานการณ์ได้

บางทีการที่เราได้สัมผัสชีวิตคนอื่น ได้รู้ได้เห็นชีวิตคนอื่นในมุมลึกๆ มันทำให้เรารู้เลยว่า ปัญหาของเรานั้นมันดูจิ๊บๆ ไปเลยทีเดียว ดังนั้นนเรานะ ควรพึงพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี และก็ไม่มองข้ามสิ่งต่างๆสิ่งที่ดีงามรอบๆตัวเรา ความสุขเหรอ มันอยู่แค่เอื้อมนี้เอง ไม่ต้องไปขวานขวาย ไม่ต้องไปไขว่คว้า คนเราถ้านั่งอยู่เฉยๆ นั่งนิ่งๆ จิตใจสงบ แค่นี้ก็สุขได้จ๊ะ ความสุขไม่จำเป็นต้องซื้อมาด้วยเงินทอง ความสขไม่จำเป็นต้องไปวิ่งตามหา มันอยู่รอบๆกายเรานี่แหละ เพียงแต่เราจะค้นหามันเจอหรือเปล่าแค่นั้นเอง

หากวันนี้คุณมีปัญหา ลองหันไปมองรอบๆข้างดูว่าคนอื่นคนรอบข้างเรา ชีวิตเค๊าเป็นยังไงกัน แล้วลองเอามาเปรียบเทียบดูนะว่าชีวิตเรากับชีวิตคนอื่นเค๊า มันเป็นยังไงบ้าง พอเราเห็นชีวิตคนอื่นแล้ว มันอาจจะทำให้เราฮึดที่จะสู้กับชีวิตเราก็ได้

ปัญหาอะไรก็ตามแต่ ให้เราจำไว้เสมอว่า ปัญหาทุกอย่างมีทางออก เพียงแค่มันอาจจะใช้เวลามาก หรือเวลาน้อยแค่นั้นในการแก้ปัญหา ก็แค่นั้นเอง


Saturday, January 10, 2015

เค๊าอาจจะไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเราก็ได้

เคยเกิดขึ้นกับเราหรือเปล่าเอ่ย ที่บางทีเราอยากจะทำอะไร หวังดีอะไรกับใครสักคน เราอยากแนะนำและทำอะไรให้เพราะเราเห็นว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่คนบางคน เค๊าอาจจะทำอะไรจนเป็น routine ไปหมดเสียแล้ว จะให้มาเปลี่ยนแปลงอะไรก็คงยาก ต่อให้เราหวังดีอะไรต่อเค๊าก็เถอะ

ลูกๆเด็กๆถ้าเค๊าติดเกมส์มาก ไอ้เราก็มีวิธีและก็ lifestyle ที่เราอยากจะแนะนำว่าพ่อแม่จะต้องทำอย่างไร อะไร ยังไงบ้าง จะต้องเอาใจใส่หรือเข้มงวดอะไรตรงใหน จะมี strategies ยังไงที่สามารถค่อยๆเป็นค่อยๆไปในการเปลี่ยนแปลง lifestyle ของลูกๆเพื่อให้เค๊าเป็นคนมีคุณภาพมากกว่านี้ เพราะเราเป็นอาจารย์สอนเด็กและก็เป็นคนรักการอ่านพวกหนังสือวิชาการอะไรต่างๆอยู่แล้ว เราคิดว่าเรามีความรู้ มีอะไรดีๆเราก็อยากแนะนำ เพราะตัวเราเองก็ทำมาแล้วและมันได้ผล

ไอ้การที่ปล่อยปละละเลยให้ลูกนอนดึก 5 ทุ่ม เที่ยงคืนอะไรหนะ ไม่ใช่เรื่อง แล้วก็ปล่อยให้เด็กเค๊านอนตื่นสายสะจนเป็นนิสัย ปิดเทอมวันๆก็ไม่ทำอะไร เล่มเกมส์อยู่แต่ในห้อง แล้วเด็กจะเติบโตเป็นคนมีคุณภาพได้อย่างไร อย่างนี้แหละน๊า เค๊าเรียนกว่า "พ่อแม่รังแกฉัน"

ไอ้เรารึก็แบบว่ากระตือรือร้น อยากจะเสนอแนะอะไรในทางที่ดีให้ แแต่ถ้าเค๊าไม่ได้สนใจอะไรเลย เพราะนั่นมันเป็น routine ของพวกเค๊า เราก็ไม่รู้จะไปเสียเวลาทำไมน๊อ ก็คงต้องปล่อยไปตามเวรตามกรรมของใครของมันก็แล้วกัน ชี้ทางสว่างให้แล้ว แต่ถ้าไม่สนใจเราก็จะเอาเวลาและ energy ของเราไปทำอะไรอย่างอื่นดีกว่า เราเอาเวลามาใส่ใจตัวเราเองและก็คนในครอบครัวเราดีกว่า

เราอาจจะสงสารและหวังดี แต่ถ้าเค๊าไม่คิดที่จะช่วยเหลือตัวเองหรือทำอะไรเพื่อที่จะปรับปรุงคุณภาพชีวิตครอบครัวเค๊า มันก็คงเป็นปัญหาของเค๊าแล้วหละ เราเป็นคนนอกก็คงได้แต่หวังดีอยู่ห่างๆ


Sunday, January 4, 2015

เวลาไปวัด ต้องสำรวมกายและใจ

คนเรานะ เวลาเข้าวัดเข้าวา โดยเฉพาะเด็กวัยรุ่นนะ ถ้ารู้จักสำรวมกายสำรวมใจมั่งก็ดี คนเรามาวัดก็มาเพื่อแสวงหาความเงียบ ความสงบ ไม่ได้มาเพื่อสังสรรค์กัน คนส่วนใหญ่ก็คงลืมจุดนี้ไปมั๊ง

ไม่รู้นะ เรามาวัด เราก็อย่างนั่งเงียบๆ สงบ ไม่วุ่นวายกับใคร เพราะถ้าเราอยากจะสังสรรค์เฮฮาปาร์ตี้อะไรเราก็คงไปเฮฮาปาร์ตี้กันที่อื่น

โดยเฉพาะพวกทำตัวกุ๊กกิ๊ก เก๋ไก๋ มาถ่าย selfie กันเนี๊ยะ คืออยากจะบอกว่า พวกเธอไร้สาระกันมาก ขอบอก

ไม่เข้ากับสถานที่สะเลยจริงๆ อันนี้ขอตำหนิ

ก็อย่างว่าแหละนะ ถ้าเด็กวัยรุ่นเราเข้าวัดกันมากกว่านี้ เรียนรู้และศึกษาอะไรกันมากกว่านี้ อะไรต่อมิอะไรที่ไม่เหมาะไม่สมในวัดก็คงจะเกิดขึ้นน้อยกว่านี้

ส่วนผู้ใหญ่ที่มาด้วยกัน ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรเลย ไม่บอกไม่สอน ไม่กล่าวตักเตือน สรุปคือพอๆกัน ไอ้เอาหรึก็คนแปลกหน้า จะไปพูดไปจาอะไรมากเดี๋ยวเค๊าหาว่าไปใส่เกือกอีก ไม่เข้าเรื่อง

เห็นแล้วก็อุบาทห์หูอุบาทห์ตาน๊อ

Friday, January 2, 2015

The rising of ridiculous demanding customers

ช่วงนี้มีข่าวออกหนังสือพิมพ์บ่อย เรื่องผู้โดยสารทางเครื่องบินที่เรื่องมาก อยากได้โน่นอยากได้นี่ เมื่อเดือนที่แล้วก็มีข่าวของนักท่องเที่ยวชาวจีน ที่ก่อเหตุวุ่นวายบนสายการบินของ AirAsia เที่ยวบินจากเมืองไทยไปเมืองจีน

ช่วงนี้เศรษฐกิจของประเทศจีนเริ่มสะพัด คนจีนเริ่มเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศกันมากขึ้น เนื่องจากเป็นประเทศปิด พวกเค๊าเหล่านี้คงไม่ค่อยรู้จักมารยาททางสังคมกันสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะพวกที่เดินทางต่างประเทศครั้งแรก คงไม่รู้ว่าสายการบิน budget air หรือสายการบิน low cost มีความแตกต่างทางด้านบริการกับสายการบิน full service ยังไง

ซื้อตั๋วกันมาถูกๆ แต่อยากได้บริการแบบ first class มันก็คงเป็นไปไม่ได้

ล่าสุดที่ผู้โดยสารของการบิน AirAsia โวยวายว่าเค๊าไม่ได้นั่งด้วยกันกับแฟน จริงๆถ้าอยากนั่งด้วยกัน ก็พากันจ่ายเงินเพิ่มเพื่อสามารถเลือกที่นั่งเองได้ ก็สิ้นเรื่อง เพราะสายการบิน budget air ถ้าอยากได้อะไรเพิ่มเติมก็ต้องซื้อ ก็ต้องจ่ายเพิ่ม ก็แค่นั้นเอง ก็หมดเรื่อง ไอ้พวกที่จ่ายน้อยๆแล้วอยากได้โน่นอยากได้นี่ น่าเบื่อจริงๆ ที่น่าสงสารก็พวกพนักงานที่ทำงานบนเครื่องบิน ที่ต้องมารองรับอารมณ์ของพวกไร้สาระพวกนี้ และที่น่าเกลียดไปกว่านี้ก็คือ แฟนผู้ชายก็โวยวายเป็นภาษาจีนว่าเค๊ามีตังค์จ่ายนะ เออ ถ้ามีตังค์จ่ายแล้วทำไมไม่ไปนั่งพวก first class ก็ไม่รู้นะ

ที่หนักไปกว่านี้ แฟนผู้หญิงก็ไม่พอใจเวลาพนักงานเค๊าเสริฟพวก noodle cup สาด noodle cup ซึ่งมีน้ำร้อนอยู่ข้างในใส่หน้าพนักงาน จนเครื่องบินต้องบินกลับมาจอดที่เมืองไทย เพื่อรักษาพยาบาลพนักงานบนเครื่องบิน และก็เอาผิดผู้โดยสารด้วย

ที่แย่ไปกว่านี้ กฏหมายที่เมืองไทยก็หล๊อแหละเหลือเกิน ปรับผู้โดยสารไม่กี่ร้อยที่โวยวายบนเครื่องบิน และปรับไม่กี่พันเองข้อหาสาดน้ำร้อนลวกหน้าพนักงาน จริงๆมันน่าจะปรับให้หนักไปกว่านี้และสายการบิน AirAsia เองก็น่าจะ ban ผู้โดยสารเหล่านี้ไปตลอดชีวิต อย่างนี้แหละเมืองไทยกฏหมายอะไรก็ไม่เข้มงวดกันสักอย่าง สหภาพแรงงานก็ไม่ได้เรื่อง ไม่ได้ดูแลปกป้องคุ้มครองพนักงานอะไรเลย มันเป็นอะไรที่น่าสมเพศจริงๆ