Sunday, August 30, 2015

ไข่ในหิน


ใหนๆเราได้เขียนเรื่อง "พ่อแม่รังแกฉัน" ไปแล้ว ก็คงต้องต่อด้วยเรื่อง "ไข่ในหิน" สักหน่อย เพราะดูแล้วคาบเกี่ยวกันได้มากเลย

การที่พ่อแม่หลายๆคน รวมไปถึงปู่ย่าตายายด้วย เลี้ยงลูกเลี้ยงหลานแบบเอาอกเอาใจ ประคบประหงมแทบทุกอย่าง บริการคุณลูกสุดที่รักทุกอย่าง เลี้ยงลูกแบบไข่ในหิน มดไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม ลูกอยากได้อะไร อยากทำอะไร สรรหาให้หมดเลย

ปู่ย่าตายายก็เหมือนกัน ตัวดีเลยเชียวหละ

อุ๊ย..... ลูกจะไปโรงเรียนแล้ว ต้องถูกเชือกรองเท้าให้คุณลูกสะหน่อย
อุ๊ย..... ลูกจะเดินไปขึ้นรถ ต้องถือกระเป๋าให้ลูกสะละ

อะไรกันเนี๊ยะ เป็นอะไรกันมากหรือเปล่า

เด็ก ป.3-ป.4 ถ้ายังต้องให้พ่อแม่ หรือปู่ย่าตายายผูกเชือกรองเท้าให้เนี๊ยะก็แย่แล้วนะ ที่บอกว่าแย่เนี๊ยะ ไม่ใช่ว่าเด็กแย่นะครับ พ่อแม่นั่นแหละที่แย่ ไม่หัด หรือฝึกสอนให้ลูกเค๊าทำเอง ของแค่เนี๊ยะ ถ้าเด็ก ป.3-ป.4 แล้วยังทำเองไม่ได้ พ่อแม่กรุณาพิจารณาตัวเองอย่างด่วน

เด็กๆเค๊าเริ่มโตแล้ว ถ้าหากเราไม่หัดให้เค๊าทำอะไรด้วยตัวเองนะ งอมืองอเท้า โตขึ้นมาก็จะทำอะไรเองไม่เป็น พวกที่เลี้ยงลูกแบบไข่ในหินแบบเนี๊ยะ สรุปคือลูกโตมาเอาตัวไม่รอด แล้วเราก็คงต้องเลี้ยงดูเค๊าไปจนวันตาย

เดี๋ยวพอลูกโตขึ้นสักหน่อยนะ จะกลายมาเป็นภาระเรา ไม่ต้องไปโทษใครครับ โทษตัวเองแหละดีที่สุด เลี้ยงลูกไม่โตสักทีหนิ 

รักมาก เป็นไงหละ...

Saturday, August 29, 2015

ชีวิตที่ท้าทาย


ในการเดินทาง ถ้าเราเดินทางเรียบๆง่ายๆ เราจะได้เรียนรู้แค่เพียงแค่ระยะทาง…แต่ถ้าเราปีนป่ายเขา เราจะได้ทั้งระยะทาง และความสูง

ชอบประโยคนี้ครับ เพราะมันสะท้อนได้ถึงความทะเยอทะยานของมนุษย์ที่แตกต่างกันออกไป…บางคนเดินทางเพียงเพื่อให้ตนได้ก้าวไปข้างหน้า ในตำแหน่งที่ไกลกว่าเดิม...ในขณะที่บางคนเดินทางเพื่อให้ตนเองไปในตำแหน่งที่ไกลกว่าเดิมด้วย และสูงขึ้นด้วย…


เดินทางบนถนนเรียบๆ… แน่นอนครับ ขึ้นชื่อว่าถนนเรียบๆง่ายๆ…มันย่อมสบายกว่าการปีนป่ายเขาอย่างแน่นอน เพียงแค่ขาของเราทั้งสองข้างก้าวซ้าย สลับขวาไปเรื่อยๆ ตามท้องถนน…ไม่ต้องเสี่ยงอันตรายอะไร หรือเผชิญอุปสรรคที่ท้าทายอะไรมากมาย เพียงเท่านี้เราก็จะได้ระยะทางที่ไกลขึ้นแล้ว…ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับคนทำงาน คนที่ชอบเดินทางเรียบๆง่ายๆก็มักจะเป็นคนที่ไม่ค่อยมีความทะเยอทะยานหรือกระตือรือร้นอะไรสักเท่าไหร่ พวกเค๊าเหล่านั้น…มักพอใจในงานที่ทำ เงินเดือนที่ได้รับ และสถานะที่เป็นอยู่ การเดินทางของคนกลุ่มนี้ ก็จะเป็นอะไรที่ เรื่อยๆ เอื่อยๆ เปื่อยๆ เฉื่อยๆ แฉะๆ สะสมระยะทางจากการเดินทางของตนไป ซึ่งหากเรียกตามภาษาแรงงานก็คงจะเป็นอายุประสบการณ์การทำงานละมั้ง แต่ถึงแม้คนเหล่านั้นจะมีประสบการณ์การทำงานมากก็จริง แต่ด้วยความที่เขาไม่คิดจะไต่เต้า ดิ้นรนขวานขวาย จึงทำให้ตำแหน่งหรือสถานะของเค๊ายังคงที่อยู่อย่างเดิม เช่น เป็นพนักงานบริษัทอยู่ตั้งแต่เริ่มทำงาน ทำงานไป 10 ปีก็ยังคงเป็นพนักงานบริษัทอยู่อย่างนั้น หรือ เป็นลูกจ้างในห้างสรรพสินค้า จนเวลาผ่านไป 5 ปี ก็ยังคงเป็นลูกจ้างอยู่อย่างนั้น ไม่คิดที่จะเปิดกิจการเป็นของตัวเองเสียที… 


ปีนเขา…

นักเดินทางประเภทนี้จะมีลักษณะนิสัยที่แตกต่างไปจากคนที่ชอบเดินทางเรียบๆง่ายๆอย่างสิ้นเชิง พวกเค๊าชอบความท้าทาย และพร้อมที่จะเผชิญกับมันและหาวิธีการเพื่อผ่านพ้นมันไปด้วยตนเองเสมอ และสิ่งที่รอคอยบรรดานักปีนเขาเหล่านี้อยู่ ไม่ใช่ความจำเจซ้ำซากสองข้างทางถนนครับ แต่เมื่อเค๊าพยายามจนสุดความสามารถและได้ขึ้นไปอยู่บนยอดภูเขาแล้ว พวกเค๊าจะมองเห็นวิวที่สวยงาม เห็นในมุมที่หลายๆคนไม่เคยเห็น และได้ยืนอยู่ในที่ที่หลายๆคน ไม่เคยได้ยืน …ซึ่งหากเทียบกับชีวิตการทำงาน คนที่ชอบปีนป่ายเขา ชอบความท้าทาย ชอบที่จะพัฒนาตัวเอง 

คนประเภทนี้จะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองไปยื่นอยู่ในจุดที่สูงกว่าเดิม ซึ่งแน่นอนที่สุดครับ…การที่จะไปให้ถึงจุดที่สูงกว่าเดิมได้นั้น คือต้องทำในสิ่งที่ยากขึ้น ทำในสิ่งที่ท้าทายมากยิ่งขึ้น เช่น 

  • เค๊าเบื่อที่จะเป็นลูกจ้างบริษัทเพราะเงินเดือนน้อย จึงมีความคิดที่จะลาออกมาเปิดกิจการเพื่อเป็นเจ้าของกิจการเอง การลาออกและลงทุนเปิดกิจการนี่แหละครับถือเป็นการเดินออกมาจากทางเรียบๆง่ายๆเพื่อตัดสินใจปีนป่ายขึ้นไปบนภูเขา ตามหาฝัน ซึ่งเป็นการทำในสิ่งที่เสี่ยง และยากกว่าเดิม…


แน่นอนครับ การทำเช่นนี้อาจมีทั้งโอกาสล้มเหลว และประสบผลสำเร็จ 

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เราไม่สามารถปฎิเสธได้เลยว่า การทำอะไรที่ท้าทาย เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่จะทำให้พวกเค๊าเหล่านั้นก้าวหน้า และอยู่ในตำแหน่งที่สูงขึ้น…

การเดินทางทั้งสองรูปแบบไม่มีรูปแบบใหนถูก หรือแบบใหนผิดครับ…

หากการเป็นพนักงานบริษัท หรือตำแหน่งที่เรายืนอยู่ในปัจจุบันคือความสำเร็จในชีวิต และไม่ต้องการไขว่คว้าสิ่งใดเพิ่มเติมให้เหน็ดเหนื่อยแล้ว…การเดินทางเรียบๆง่ายๆจะเป็นการเดินทางที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ที่มีความคิดแบบนี้ 

แต่หากเรายังต้องการที่จะได้รับสิ่งแปลกๆใหม่ๆเพิ่มขึ้นในชีวิต อยากได้หรืออยากทำอะไรที่มันท้าทายไปกว่านี้ ไม่ใช่หยุดความคิดเพียงแค่พนักงานบริษัทธรรมดา แต่อยากลองเป็นผู้จัดการบริษัท หรือเปิดบริษัทเอง สิ่งเดียวที่จะทำให้เราไปถึงเป้าหมายได้คือการเดินทางไปให้ไกล และไปให้สูง 

ลองดูนะครับ…อย่ากลัวที่จะทำในยิ่งที่ยาก ไม่มีผู้ประสบความสำเร็จคนใหน ได้ความสำเร็จมาอย่างง่ายดายอย่างแน่นอน ก่อนจะมาถึงจุดที่เค๊ายืนอยู่ เราคิดว่าพวกเค๊าเหล่านั้นคงได้ผ่านเรื่องราวที่ลำบากมาแล้วนับไม่ถ้วน 

ความสำเร็จของพวกเค๊าเหล่านั้นล้วนแต่เกิดขึ้นจากการ “ปืนป่ายเขา” ด้วยกันแทบทั้งนั้น…

Friday, August 28, 2015

ได้คืบจะเอาศอก


คนเรานี่นะพอเราขอร้องใคร ขอความช่วยเหลืออะไรจากใคร เราก็ต้องรู้จักคำว่าพอ คำว่าหยุด อย่าเป็นคนพวกได้คืบจะเอาศอก เพราะบางทีคนอื่นเค๊าช่วยเหลือเรา ก็เพราะเค๊าเห็นว่าคนเรามันได้เกิดมาร่วมโลกกันแล้วก็เลยช่วยๆกันไป แต่ทุกอย่างมันก็ต้องมีขอบเขต ตัวเราเองเราก็ต้องรู้จักเกรงอกเกรงใจคนอื่นด้วย อย่าคิดเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว ไม่ดี

จงอย่าเป็นคนพวกตัดช่องน้อยแต่พอตัว คิดอะไรเอาง่ายๆ เพราะหากเราคิดเอาแต่จะได้ฝ่ายเดียว พวกได้คืบจะเอาศอกเนี๊ยะ คนอื่นคงหนีหายกระเจิดกระเจิงกันไปหมด ถ้าตัวเราเองไม่ชอบพวกได้คืบจะเอาศอก ตัวเราเองด้วยก็ต้องไม่ทำตัวเป็นพวกได้คืบจะเอาศอก เช่นเดียวกัน

คนเราถ้าคิดจะงบกันไปนานๆ ไปมาหาสู่กันไปนานๆ ช่วยเหลือเกื้อกูลกันในยามยาก มันก็ต้องพบกันครึ่งทาง ตัวเราเองก็ไม่ควรไปเบียดเบียนคนอื่น หรือถ้าจะเบียดเบียนบ้างเล็กน้อยในยามยาก ก็อย่าให้มันบ่อยมากเกินไป ถี่มากเกินไป ไม่ดี

พวกได้คืบจะเอาศอกนี้ สังเกตุว่าจะเป็นมักง่าย คิดเอง เออเอง ง่ายๆสั้นๆ ไม่มองการไกล ถ้าเป็นแบบนี้อยู่ล่ำไป สักวันหนึ่งก็คงต้องอยู่คนเดียว หัวเดียวกระเทียมลีบ

Thursday, August 27, 2015

พ่อแม่รังแกฉัน


เคยเจอบ้างมั๊ย ที่พ่อแม่บางคนเลี้ยงลูกแบบตามใจทุกอย่าง ลูกอยากได้อะไรก็ต้องได้ ต้องสรรหาสิ่งนั้นมาให้ลูก รู้หรือไม่ว่าการที่เรา พ่อแม่สรรหาอะไรต่างๆนาๆมาให้ลูกนั้น บางสิ่งบางอย่าง อะไรที่มันได้มาง่ายๆ คนเราก็อาจจะไม่เห็นคุณค่า โดยเฉพาะเด็กๆที่ถูกตามใจมาตั้งแต่เด็ก อยากได้อะไร อยากได้หมดเลย เหมือนบรรดาลสิ่งของได้จากฟ้า 

ถ้าเด็กเกิดมาไม่เคยเจอความยากลำบากเลย เด็กก็จะไม่เห็นคุณค่าของชีวิต ไม่มีภูมิคุ้มกัน ภูมิต้านทานของชีวิต พออยู่มาวันหนึ่งประสบปัญหาอะไรนิดหน่อยในชีวิต ก็ทำตัวเปราะบาง รับไม่ได้กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โทษคนอื่น โทษคนรอบข้าง ไม่จะเคยโทษตัวเอง

สรุปแล้วการที่เราประเคนอะไรทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามีให้กับลูกๆนั้น เป็นการดีหรือเปล่า ลองคิดให้ดีๆ มันเป็นการรังแกลูกหรือเปล่า เราจะอยู่ดูแลลูกไปได้ตลอดชีวิตหรือเปล่า ถ้าอยู่มาวันหนึ่ง เราไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว จะเกิดอะไรขึ้น เคยคิดไว้บ้างมั๊ย 

อย่ามัวแต่คิดว่า ทิ้งมรดกทิ้งเงินทิ้งทองไว้ให้ลูกก็เพียงพอแล้ว เออ แล้วถ้าลูกมันได้มรดกมาง่ายๆ คิดหรือเปล่าว่าเค๊าจะสามารถดูแลมรดกนั้นต่อไปได้ หรือสุดท้ายแล้วลูกก็จะล้างพลาญมรดกไปจนหมด สุดท้ายก็เอาตัวเองไม่รอดอยู่ดี สุดท้ายก็คงต้องเดือดร้อนคนรอบข้างอยู่ดี

เรามาลองฝึกฝนให้ลูกได้พบได้เจอกับความผิดหวังกันบ้างจะดีมั๊ย
ฝึกฝนให้เค๊ารู้จักเอาตัวรอดได้ในสังคม เค๊าจะได้มีภูมิต้านทานชีวิตที่ดี นั่นแหละควรเป็นหน้าที่ที่แท้จริงของพ่อแม่ พ่อแม่ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ให้ตลอดไป ลูกต่างหากหละที่ต้องฝึกที่จะขวานขวายหาในสิ่งที่เค๊าต้องการด้วยตัวของเค๊าเอง

พ่อแม่รังแกฉัน มีอยู่จริง ถ้าหากเราเป็นหนึ่งในนั้น ลองคิดดูใหม่มั๊ย ลองปรับปรุงแก้ไขสถานการณ์ก่อนดีมั๊ย ก่อนที่มันจะสายเกินไป

พ่อแม่รังแกฉัน แก้ไขได้ เปลี่ยนแปลงได้ หากเรารู้เท่าทัน...

Tuesday, August 25, 2015

ว่าด้วยเรื่องแรงบันดาลใจ


หลายๆคนคงได้ยินคำๆนี้กันมามาก…บางคนอาจสงสัยว่าแรงบันดาลใจสำคัญอย่างไร…ทำไมต้องสร้าง…แล้วมันมีผลดีต่อเรายังไง?

เราเชื่อว่าหลายๆคนต้องเคยผ่านจุดที่เรียกว่า “ได้รับแรงบันดาลใจ” กันมาแล้วทั้งสิ้น…ไม่เชื่อก็ลองนึกย้อนไปในอดีตนะครับ เริ่มตั้งแต่ตอนยังเป็นเด็กเลยก็ได้ เคยบ่นกับคุณพ่อคุณแม่หรือไม่ว่าอยากได้สิ่งของ นั่น นี่ โน่น บ่นเข้ามากๆพ่อแม่ก็อาจจะตั้งเงื่อนไขขึ้นมาว่า “สอบให้ได้ที่ 1 สิ ถ้าสอบได้แล้วจะซื้อให้” ได้ยินอย่างนั้นแล้วเราเลยก็ฮึด ตั้งใจอ่านหนังสือ ตั้งใจเรียนให้ได้ที่ 1 เพื่อหวังสิ่งที่เราปรารถนา…

เงื่อนไขที่พ่อแม่วางไว้นั่นแหละครับ คือ “แรงบันดาลใจ” เป็นสิ่งที่กระตุ้นให้คนคนนั้นมีกำลัง ลุกขึ้นมาต่อสู้กับอุปสรรค เพื่อให้ได้ในสิ่งที่เราต้องการ…และหากเราสังเกตุให้ดี การทำสิ่งใดโดยไม่มีแรงบันดาลใจ กับ การทำสิ่งใดโดยมีแรงบันดาลใจ มันต่างกันนะครับ

อย่างหลังนี่จะมีโอกาสประสบความสำเร็จสูงกว่าอย่างแรก เช่น เราทำงานเก็บเงินโดยไม่ได้ตั้งเป้าหมายเอาไว้ ไม่ได้มีแรงบันดาลใจอะไรในการเก็บเงิน การเก็บเงินของเราก็จะเป็นไปอย่างเรื่อยๆ เอื่อยๆ เฉื่อยๆ แฉะๆ ได้บ้างไม่ได้บ้างก็ว่ากันไป 

แต่ถ้าเราตั้งเป้าไว้ว่า อีกสองเดือนจะเก็บเงินซื้อของอะไรสักอย่าง เท่านั้นแหละครับ เงินเก็บของเราจะขึ้นอย่างรวดเร็วกันเลยทีเดียว ความตั้งใจในการเก็บจะเพิ่มขึ้น และเราก็จะเห็นคุณค่าของเงินมากยิ่งขึ้นด้วย และนี่ก็คือพลังส่วนหนึ่งของ “แรงบันดาลใจ” นั่นเองครับ 

เมื่อเห็นแล้วว่ามันสำคัญแค่ไหน ประเด็นต่อไปคือ จะสร้างมันได้อย่างไร?...
จริงๆแล้วการให้คำตอบสำหรับคำถามนี้ ไม่ได้ยากเลยครับ เพราะ “แรงบันดาลใจ” เราสามารถหาได้จากรอบๆตัวเรา ซึ่งนั่นก็อยู่ที่ว่าเราอยากได้แรงบันดาลใจในการทำอะไร โดยแต่ละเรื่องย่อมมีวิธีสร้างแรงบันดาลใจที่แตกต่างกันไปครับ เช่น
  • หากเราเป็นนักเรียน นักศึกษา และเวลาสอบก็ใกล้เข้ามาทุกที แต่ไม่ว่าจะทำยังไงเราก็ยังไม่มีอารมณ์อ่านหนังสืออยู่ดี พยายามแล้วพยายามอีกก็ล้มเหลว สิ่งเดียวที่จะทำให้เราฮึดสู้ และลุกขึ้นมาอ่านหนังสือ คือต้องสร้าง “แรงบันดาลใจ” ครับ และการสร้างแรงบันดาลใจในการอ่านหนังสือนั้น เราก็ทำได้โดยการเปลี่ยนบรรยากาศจากอ่านหนังสือที่บ้าน…ลองไปอ่านหนังสือตามห้องสมุด ซึ่งจะได้เห็นคนที่กำลังอ่านสือเตรียมสอบเช่นเดียวกันกับเรา เมื่อเราเห็นเขาขยันแน่นอนครับเราจะตั้งคำถามขึ้นมาทันทีว่า “เรามัวแต่ทำอะไรอยู่” หลังจากนั้นมันก็จะเกิดแรงผลักดันบางอย่างให้เราลุกขึ้นมาจับหนังสือ…หรือหากเราคิดว่าวิธีนี้ไม่เหมาะสม เราก็อาจใช้วิธีอย่างอื่นด้วยก็ได้ เช่น จินตนาการตอนเราสอบตก หรือติด F ดูสิครับ อารมณ์มันจะประมาณไหน หรือไม่ก็ ลองหาเรื่องราวของคนที่เค๊าเรียนจบและประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน และมีชีวิตที่สุขสบาย เอามาลองนั่งอ่านดูสิครับ มันอาจจะเป็นแรงผลักดันให้เราอยากอ่านหนังสือเพื่อที่จะได้เรียนจบ และสอบผ่านอย่างเขาก็ได้นะ... 

  • หรือหากเราเป็นนักธุรกิจ แล้วไม่ประสบณ์ผลสำเร็จในการประกอบกิจการ แน่นอนครับ ความล้มเหลวเป็นหนทางซึ่งนำไปสู่ความท้อแท้ เสียอกเสียใจ ดังนั้นกำลังใจจากคนรอบข้างจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก นอกจากกำลังใจแล้ว สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่จะทำให้เราลุกขึ้นมาสู้ชีวิต และทำธุรกิจต่ออย่างไม่ท้อถอย นั่นก็คือ “แรงบันดาลใจ” นั่นเอง การสร้างแรงบันดาลใจในการประกอบธุรกิจนั้นก็มีหลายวิธีเช่นเดียวกันครับ เช่น อ่านเรื่องราวของนักธุรกิจที่เคยประสบปัญหามาแล้ว จนสุดท้ายมาประสบความสำเร็จ 

ที่เขียนมาทั้งหมด เป็นแค่ปลีกย่อยของเรื่อง “แรงบันดาลใจ” ในการดำเนินชีวิตนะครับ การสร้าง “แรงบันดาลใจ” นั้น โดยวิธีการของแต่ละคนนั้นก็ย่อมแตกต่างกันออกไป แล้วแต่สถานการณ์ แล้วแต่ปัญหาของแต่ละคนที่พบเจอ…

แรงบันดาลใจเปรียบเสมือนพลังมหาศาลของจิตใจ เราควรจะสร้างมันให้มีอยู่ตลอดเวลา สุดท้ายไม่ว่าเราจะทำสิ่งใดก็ตาม มันจะช่วยให้เราทำสิ่งนั้นไดดีขึ้น ไม่ท้อแท้ ไม่สิ้นหวัง 

ก็ขอแนะนำนะครับ ลองมองไปรอบๆตัวเราดูนะครับ พอมีอะไรจะเป็น “แรงบันดาลใจ” ให้เราได้มั๊ย...

Saturday, August 22, 2015

ยกตนข่มท่าน

แปลกมั๊ยเอ่ยชีวิตคนเรา ที่พอได้มาอยู่เมืองนอกนิดหน่อย พูดจาอะไรก็ทำตัวเป็นพวกยกตนข่มท่านไปหมด ทำตัวเป็นผู้รู้ผู้เก่งไปหมดสะทุกอย่าง เก่งอยู่คนเดียว รู้อยู่คนเดียว ฉลาดอยู่คนเดียว คนอื่นโง่ไปหมด

เป็นสะงั้นไป

เออ คนเรามันคิดกันได้แค่นี้จริงๆแล้วเหรอเนี๊ยะ...

การยกตนข่มท่าน อยากจะบอกเหรอเกินว่า มันไม่ได้ทำให้เราดูดีอะไรสักอย่างเลย แต่ตรงกันข้าม มันทำให้ดูแย่ไปต่างหากหละ ยิ่งอวดรู้มากเท่าไหร่ ยิ่งแสดงออกถึงความโง่มากเท่านั้น ยิ่งอวดเก่งมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งแสดงออกถึงความเขลามากยิ่งขึ้น

คนเก่งจริง คนฉลาดจริง สังเกตุได้ว่าจะเป็นพูดน้อยต่อยหนัก พวกที่ชอบพูดอยู่แว๊ดๆไม่ยอมหยุดหนะ สรุปคือเป็นพวกน้ำท่วมทุ่ง สาระจะไม่ค่อยมีสะเท่าไหร่ 

ส่วนพวกที่ชอบยกตนข่มท่าน ส่วนมากจะเป็นพวกมีปมด้อยบางอย่างมาจากเมืองไทย อาจจะเก็บกดมานานจากเมืองไทย พอได้มาอยู่เมืองนอกก็เลยเอาสะหน่อย ปล่อยผี อวดฉลาดไปหมดสะทุกอย่าง

คนเราจะเก่ง จะฉลาด จะดีเลิศประเสริฐศรีอะไรยังไง ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปกดกี่ข่มเหงทางคำพูดเพื่อให้คนอื่นรู้สึกแย่ คำพูดคำจาที่มันบาดใจนั้น มันฝังลึกไปนาน

...นะจ๊ะ...

ปริศนาวันนี้ สรุป แล้วคุณหละ เป็นคนประเภทนั้นหรือเปล่าเอ่ย

Wednesday, August 19, 2015

ไถ่วัว ไถ่ควาย ได้บุญจริงเหรอ


ช่วงนี้ได้เห็นอะไรแปลกๆใหม่ๆตาม social media เยอะ ก็เลยขอนำเอามาวิเคราะห์ตามประสาคนชอบใส่เกือกหน่อยก็แล้วกันนะครับ ถึงเราจะชอบใส่เกือก เราก็ใส่เกือกแบบมีสาระ เพราะเราไม่ได้วิเคราะห์อะไรมั่วๆ ทุกอย่างมาจากอีกมุมมองหนึ่ง อีกมุมมองที่แตกต่าง ส่วนใครจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยนั้น ก็อยากจะแนะนำให้คนอ่านลองเปิดใจให้กว้าง อ่านเพื่อจะได้รับมุมมองที่แตกต่างกันออกไปมั่งนะครับ

เผอิญว่าไปเห็น post ในกลุ่มบางกลุ่มนะครับ ได้มีการเชิญชวนกันไปทำบุญไถ่วัว ไถ่ควาย ซึ่งจริงๆแล้วก็เป็นการดีนะครับ เพราะการที่เราไปไถ่ชีวิตวัว ไถ่ชีวิตควาย นั้นก็ถือว่าเป็นการยืดชีวิตวัว ชีวิตควายเค๊า ถือว่าเป็นการทำบุญ เป็นการต่อชีวิตสัตว์ แต่คำถามมีอยู่ว่า ถ้าเราไปไถ่วัว ไถ่ควายมาแล้ว แสดงว่าโรงฆ่าสัตว์ก็ต้องไปเอาวัว เอาควายตัวอื่นมาขึ้นเขียง มาเข้าโรงฆ่าสัตย์แทนพวกที่เราไถ่ชีวิตไปหรือเปล่า? 

มันก็เป็นกลไกของตลาดนะครับ ตราบใดที่ยังมีผู้บริโภค มันก็ต้องมีสินค้าออกมาขาย ตราบใดที่เรายังบริโภคเนื้อวัว เนื้อควายกันอยู่ โรงฆ่าสัตว์ก็ต้องมีการฆ่าวัวฆ่าควายอยู่ดี จริงๆแล้วการที่เราไปไถ่วัว ไถ่ควายออกมามันก็เป็นการดีนะครับ คือเราไปยืดชีวิตวัว ชีวิตควาย ซึ่งก็คงได้บุญแหละ แต่ถ้าคิดต่อไปอีกนิดหนึ่งว่าสุดท้ายแล้ว โรงฆ่าสัตว์ก็ต้องไปฆ่าอีกตัวอื่นๆอยู่ดี สู้เรามาลดการบริโภคเนื้อว้ว เนื้อควายกันดีกว่ามั๊ย น่าจะเป็นการลดความต้องการของตลาดลงไปได้บ้าง ไม่ได้หมายความว่าเราต้องเป็นพวกกินมังสวิรัตินะครับ เพราะเราเองก็ไม่ใช่พวกมังสวิรัติอยู่แล้ว

แทนที่เราจะเสียเงินเยอะแยะมากมายไปกับการไถ่วัว ไถ่ควาย เพราะตัวหนึ่งก็ไม่ใช่ถูกๆ สู้เรามาลดการบริโภคเนื้อวัว หรือเนื้อควายแทนจะดีกว่ามั๊ย ไม่ต้องไปเสียตังค์ ถ้าเราสามารถลดการบริโภคลงมาได้ อาทิตย์ละหนึ่งวัน แค่นี้ก็ดีแล้วครับ คิดว่าน่าจะได้บุญมากกว่า และคิดว่าน่าจะประหยัดตังค์ด้วยนะครับ




ส่วนพวกที่ชอบ post นั่น post นี่ ใน socail media ว่าไปทำบุญ ไถ่วัว ไถ่ควายมา เอาบุญมาฝากอะไรทำนองนี้ ก็จะมีพวกหิ่งห้อยคอยอนุโมทนาบุญด้วย เยอะแยะกันไปหมด แต่ถ้าลองหยุดและก็คิดสักนิดว่าสรุปแล้วได้บุญจริงหรือเปล่า 


ถ้าเราไปไถ่วัว ไถ่ควายตอนเช้า พอตกเที่ยงตกเย็นมาก็มาทานเนื้อทานอะไรเหมือนเดิม มันดูขัดๆกันหรือเปล่า?

อ่านแล้วก็เปิดใจให้กว้างนิดหนึ่งนะครับ

ยังไงก็ลองเก็บเอาไปคิดดูนะครับ

Monday, August 17, 2015

วันเกิดตัวเอง ขอให้คนใน Facebook อวยพรให้ มาถึงจุดนี้แล้วเหรอเนี๊ยะ


คนเรานี่ก็แปลกนะ วันเกิดตัวเอง แต่ขอให้เพื่อนๆใน Facebook หรือ social media อวยพรให้ และที่เราได้รูปนี้มามันมาจากพวก public group อะไรเสียด้วยสิ คือแบบว่า she ไม่ได้ post ใน Facebook timeline ของตัวเองเลย คนใน group ก็เป็นพวกคนแปลกหน้าสะมากกว่า

เออ อยากจะรู้ว่าเธอคนนี้เป็นอะไรมากหรือเปล่าเนี๊ยะ ถึงขนาดต้องมาร้องขอกับคนแปลกหน้าจาก social media ให้อวยพรวันเกิดให้แล้วเหรอเนี๊ยะ

อยากจะรู้ว่าอวยพรแล้วมันจะได้อะไรมั๊ยเนี๊ยะ สังคมจอมปลอมอีกแล้ว

วันเกิด หรือวันใหนๆมันก็เหมือนกันไม่ใช้เหรอ มันก็เป็นวันที่เราสมมุติกันขึ้นมา ถ้าจะให้ดี ไปกราบเท้าคุณพ่อคุณแม่จะดีกว่ามั๊ยที่เค๊าผลิตเราออกมา เจ็บนะหนะกว่าจะเบ่งออกมาได้ (รู้จ๊ะ ไปอยู่มาแล้วที่ห้องคลอด 2 ครั้งแล้ว!)

วัฒนธรรมไทยเราจริงๆแล้วไม่มีการฉลองวันเกิดอะไรกันนะ เราเกิดมาก็ไม่เห็นพ่อแม่เราจัดงานวันเกิดอะไรให้ มีแต่เด็กสมัยนี้แหละ ติดค่านิยมผิดๆมาจากสังคมฝรั่ง ดูหนังที่มาจากเมืองนอกมากเกินไปป๊ะเนี๊ยะ วัฒนธรรมความเป็นไทยหายไปใหนหมด

จะจอมปลอมกันไปถึงใหน

เอาเวลาไปเข้าวัดเข้าวา ฟังเทศน์ฟังธรรมจะดีกว่ามั๊ยเธอ

Friday, August 14, 2015

มนุษย์หุ่นยนต์

วันนี้ไปซีดนีย์ ไปสัมนา เราก็ขับรถไปจอดไว้สถานีรถไฟใกล้ๆซีดนีย์แล้วนั่งรถไฟเข้าซิดนีย์ เพราะไม่อยากขับรถเข้าซีดนีย์เพราะหาที่จอดรถยาก และที่จอดรถก็แพงด้วย 

และเผอิญว่าวันนี้ต้องไปสัมนาช่วงเวลาที่คนเดินทางเยอะเสียด้วยสิ คือช่วงเข้าไปในเมืองก็ประมาณ 8:30 เช้า และช่วงที่เราเลิกสัมนาก็ประมาณ 5 โมงเย็นเสียด้วยสิ ช่วงที่คนทุกคนเลิกงานกันพอดี 

ช่วงเข้าเมืองหนะไม่เท่าไหร่หรอกแต่ขากลับนี่สิ นั่งรถไฟกลับมา ที่นั่งก็เต็มทุกที่นั่ง แน่นเอี๊ยด

แต่...

ผู้คนไม่มีใครสนใจใคร ต่างคนต่างอยู่ในโลกส่วนตัวของตัวเอง เล่นมือถือบ้าง อ่าน ebook บ้าง หรือไม่ก็ดูหนังใน tablet ส่วนเราเองก็อ่านหนังสือไปด้วย 

สรุป มนุษย์เราตอนนี้ไม่มีการพูดคุยถามสารทุกข์สุขดิบของผู้โดยสารด้วยกันแล้วใช่มั๊ยเนี๊ยะ no more interaction แล้วใช่มั๊ย

ต่างคนต่างอยู่

พอถึงสถานีที่เราจะลงนะ ภาพที่มองเห็นก็คือ ทุกคนจะมีหูฟังกันแทบทั้งนั้น ต่างคนต่างเสียบหูฟังแล้วก็เข้าแถวรอเดินขึ้นสะพานชานชลา เห็นแล้วมันเหมือนมนุษย์หุ่นยนต์ยังไงยังงั้น ทุกคนเดินทื่อ ไม่มีใครสนใจใครต่อใคร ต่างฟังเพลงจากหูฟัง จากมือถือ เห็นแล้วมันช่างเป็นอะไรที่เย็นชาจริงๆ ไม่มีความอบอุ่นเอาสะเลย

มนุษย์เรา มันมาถึงจุดนี้แล้วหรือเนี๊ยะ?

Monday, August 10, 2015

มีคุณต้องทดแทน มีแค้นไม่ต้องชำระ

คนเรานะถ้าอยากทำอะไรในชีวิตแล้วเจริญ เราจะต้องไม่ลืมบุญคุณคนที่เคยช่วยเหลืออะไรเราเอาไว้ ที่เขียนอะไรวันนี้ ไม่ได้หมายความว่าเราจะไปทวงบุญคุณอะไรกับใครนะ ไม่ใช่ครับ คือแบบว่าอารมณ์มันพาไป

การที่เราไม่เคยที่จะลืมนึกถึงใครสักคนที่ในวันหนึ่ง เค๊าเคยช่วยอะไรเรามาในยามที่เราตกทุกข์ได้อยาก มันก็เป็นการแสดงถึงความมีน้ำใจของเรา ที่ยังนึกถึงวันที่เค๊าเคยช่วยเหลือเรา ก็แค่นั้นเอง

หากเราแสดงออกถึงการน้ำใจ หากเราต้องการความช่วยเหลืออะไรจากใครในอนาคตมันก็จะเป็นการง่าย ซึ่งปกติแล้วมันก็เป็น commonsense ของคนทั่วๆไปที่เราชอบที่จะช่วยเหลือคนที่เราช่วยไปแล้วเค๊าเห็นบุญคุณกับเรา บางทีเราไม่ต้องการอะไรตอบแทน แค่คำว่า "ขอบคุณ" ก็พอแล้ว

ในทางตรงกันข้าม หากเราได้ช่วยเหลืออะไรใครไปแล้ว เค๊าไม่ได้เห็นบุญเห็นคุณอะไรกันเลย เราก็คงคิดว่าช่วยเอาไว้ครั้งเดียวและก็คงจะเป็นครั้งสุดท้ายก็แล้วกัน เพราะบางทีมันก็ป่วยการที่จะช่วยไป เพราะบางทีการที่เราไปช่วยเหลืออะไรใครไป อยากแสดงออกถึงความมีน้ำใจ แต่บางทีมันก็เป็นการหาเหาใส่หัวเราได้เหมือนกัน ป่วยการที่จะช่วย

ตามหัวข้อที่ตั้งไว้วันนี้คือ มีคุณต้องทดแทน มีแค้นไม่ชำระ

ครับ ตามนั้น แค้นอะไรใครเค๊าไว้ ก็แนะนำให้อโหสิและปล่อยวาง ถ้าไม่ปล่อยวาง เราถืออยู่อย่างนั้น ไม่ยอมวาง มันก็หนักนะครับ

หลายๆคนบอกว่า "มีคุณต้องทดแทน มีแค้นต้องชำระ" เราไม่เห็นด้วยนะครับ เป็นคำสุภาษิตเก่าๆที่มันหมดสมัยไปแล้ว ถ้ามีแค้น แล้วต้องชำระมันก็คงเป็นกรงกรรมกรงเกวียนกันไปเรื่อยๆ ดังนั้นขอแนะนำ สุภาษิตไทยจากแดนไกลนะครับว่า "มีคุณต้องทดแทน มีแค้นไม่ต้องชำระ"

ลองดีนะครับ ความคิดเปลี่ยน การดำเนินชีวิตเราก็จะเปลี่ยนไปด้วย

Wednesday, August 5, 2015

แอ๊บแป๊ว

ช่วงนี้ได้มีโอกาสไปเข้ากลุ่มต่างๆตาม social media เพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นกับคนอื่นๆ และสิ่งที่ได้พบเห็นส่วนมากก็คือพวกแอ๊บแป๊ว ทำหน้าตาน่ารัก นุ๊งนิ๊ง ถ่ายรูปออกมาทำเป็น profile ตัวเอง เห็นแล้วก็รู้สึกคันๆ งั้นวันนี้ขอเกานะครับ 

ไม่เข้าใจเด็กสมัยนี้จริงๆ เป็นอะไรมากหรือเปล่าเธอ เห็นทำหน้าตาแอ๊บแป๊ว ถ่ายรูป selfie แล้วเอา Apps โน่น Apps นี้มาเปลี่ยนภาพ รูปร่างให้ตัวเองดูดีแล้วเอามาลงโชว์ชาวบ้านเค๊าตาม social media เนี๊ยะ

คนหน้าตาดี เค๊าไม่ต้องทำหน้าป๊องแป๊ง คิกขุ โน๊ะเน๊ะ หรอกนะ ส่วนมากจะมีแต่คนขี้เหล่แหละที่ทำกัน

แล้วไอ้พวก Apps แต่งรูปอะไรต่างๆเนี๊ยะ แหมขยันดาวน์โหลดมาใช้กันดีจริงเชียว เปลี่ยนรูปตัวเองสะสวยงามเลย เออ แล้วจะมาแต่งรูปไปหรอกชาวบ้านเค๊าทำไมไม่ทราบ หน้าตายังไงก็ลงไปยังงั้นสิเออ เป็นอะไรมากป๊ะเนี๊ยะ

แล้วพวกที่ชอบทำปากจู๋ๆ ถ่าย selfie เนี๊ยะก็เหมือนกัน เห็นแล้วก็วิ่งหากระโฉนแทบไม่ทัน ทำอะไรยังนั้นเนี๊ยะ จะพยายามสื่อถึงอะไรหรือเปล่าเธอ

เออ เป็นเอากันมากจริงๆ....
เฮ้อ...


Sunday, August 2, 2015

คนจะงาม งามที่ใจ ใช่ใบหน้า

คนเราจะสวยจะงาม มันก็ต้องงามมาจากข้างใน ใช่ใบหน้า

เพราะความงามที่มาจากข้างใน มันเป็นความงามที่มีคุณค่าและเป็นอมตะ อยู่ได้ยืนยาว

ซึ่งตรงกันข้าม หลายๆคนสวยแต่รูป จูบไม่หอม ก็มีเยอะ พวกนี้จะเป็นอะไรที่ไม่ยั่งยืน และก็สังเกตุมาหลายคนแล้วว่า พวกนี้จะเป็นพวกหลงตัวเอง หลงเพราะหน้าตา แต่อยากจะบอกน้องหนูเหลือเกินว่า ความงามและสังขารจะอยู่กับเราไปนานสักแค่ใหนกันเชียว เดี๋ยวเดียวก็เหี่ยว ก็ย่น

ถ้าสวยแต่รูปแล้วจูบไม่หอม แมลงหวี่แมลงวันก็คงเลิกดมดอม ถึงตอนนั้นร่างกายอันซอมๆ กับชีวิตที่ปลอมๆ ก็คงต้องอยู่อย่างเดียวดาย

...
...
...