Saturday, September 26, 2015

น้องหนูหัวใจ selfie

การกลับไปเมืองไทยเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว สิ่งหนึ่งที่สังเกตุเห็นมากที่สุดก็คือ คนถ่าย selfie เยอะมาก สำหรับคนที่ไม่รู้ว่า selfie คืออะไร selfie ก็คือการเอากล้องจากมือถือถ่ายรูปตัวเอง ก็ถือประมาณว่า โพสต์ท่าโน้น โพสต์ท่านี้ แล้วก็ถ่ายรูปตัวเอง ส่วนมากก็จะถ่ายได้เฉพาะหน้า เพราะกล้องอย่างมากก็ยื่นไปได้ไกลสุดก็แค่สุดมือตัวเอง นอกเสียจากจะมีการซื้อ selfie stick หรือไม้ยื่นที่ใช้ถ่าย selfie ซึ่งตอนนี้ ไปใหนต่อใหนก็เห็นนักท่องเที่ยวคนจีนบ้าเห่อใช้ selfie stick กันจังเลย เดินไปแหล่งท่องเที่ยวที่ใหนก็เจอพวกใช้ selfie stick น่ารำคาญ เพราะ s/he ก็ไม่ได้สนใจมองดูทางเดินอะไรเลย เดินไปถ่าย selfie ไป ชนคนนั้นทีชนคนโน้นที น่ารำคาญที่สุด

คนส่วนมากที่เราสังเกตุเห็นก็จะประมาณว่า แอ๊คชั่นท่าสวยๆ ทำหน้าบ๊องแบ๊ว ถ่าย selfie แล้วก็เอาลง social network กัน และแล้วก็มีอยู่ case หนึ่งที่เราได้เห็นมาในระยะเผาขน เรานั่งเครื่องจากดอนเมืองไปกระบี่ ก็มีน้องหนู 2 คนเป็นเพื่อนกัน ดูท่าทางเหมือนพึ่งจะเคยนั่งเครื่องบินเป็นครั้งแรก เค๊า 2 คนถูกนั่งแยกจากกัน อยู่แถวเดียวกัน แต่คนละฝั่ง น้องคนหนึ่งนั่งติดฝั่งเรา พอน้อง 2 คนนี้นั่งประจำที่นั่งตัวเองเท่านั้นแหละ โอ้... พระแม่เจ้า ชักมือถือกันออกมาถ่าย selfie โพสต์ท่านั้นทีท่าโน้นทีกัน ต่างคนต่างถ่าย selfie กัน เหมือนโลกทั้งใบมีเค๊าอยู่บนโลกนี้แค่คนเดียว เค๊าไม่ได้สนใจอะไรใครเลย โพสต์กันใหญ่ แอ๊คชั่นกันใหญ่ คงคิดว่าตัวเองเป็นนางแบบ คงนึกว่าตัวเองสวย จริงๆหน้าตาน้องเค๊าก็พอใช้ได้นะ แต่พอเห็นท่า selfie ของแต่ละคนแล้ว บอกได้เลยว่า "ขายไม่ออก" จริงๆ เพราะท่าแต่ละท่าเนี๊ยะ เค๊าทำหน้าตาบ๊องแบ๊ง คิกคุเกินไว ไม่ได้คิดว่ามีคนมองพวกเค๊าอยู่อะไรกันเลย

เราก็นั่งอยู่ข้างๆ ก็ได้แต่แอบมองแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เพราะน้องเค๊าก็คิดว่าเราเป็นชาวต่างชาติเพราะเราหน้าตาออกแนวอินเตอร์เกินเหตุและก็นั่งอ่านหนังสือภาษาอังกฤษ

เห็นท่า selfie ของน้องหนู 2 คนนี้แล้วก็ตลกในความไร้สาระของเด็กๆ ในใจเราก็คิดว่า จะถ่ายอะไรกันนักกันหนาเนี๊ยะ มันตื่นเต้นกับการนั่งเครื่องบินขนาดนั้นเลยเหรอ แล้วท่าแต่ละท่าเนี๊ยะ ช่างคิด ช่างสรรหาท่าแอ๊บแบ๊วกันจริง

นี่ไม่ใช่แค่บนเครื่องเท่านั้นนะที่เราเจอ ตอนนั่งรอเครื่องอยู่ที่สนามบินดอนเมืองก็เหมือนกัน หันไปทางใหนก็เห็นแต่คนถ่าย selfie กัน สรุปคือมันหมดสมัยที่จะขอร้องให้คนข้างๆถ่ายรูปให้แล้วเหรอเนี๊ยะ สรุปคนเราไม่ต้องมีการพูดคุยสนทนากับคนข้างๆกันแล้วใช่มั๊ย เกิดอะไรขึ้นกับสังคมสมัยนี้

ทุกวันนี้เดินไปทางใหนเห็นคนถ่าย selfie แล้วบอกได้เลยว่ารู้สึกสมเพชอย่างแรง... 

พวกมีความมั่นใจในตัวเองสูง มากเกินเหตุ...

Wednesday, September 23, 2015

คนไทยพูดจาไพเราะ


จากการกลับไปเมืองไทยเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เราก็ได้สัมผัสกับคนไทยแทบจะทุกรูปแบบ ไม่รู้นะ อาจจะเป็นเพราะว่าเรามาอยู่เมืองนอกนานเกินไปหรือเปล่า การไปกลับไปเมืองไทยครั้งนี้ เรามีแต่การเดินทาง และก็เดินทาง 

บินจากกรุงเทพไปกระบี่ ขับรถจากกระบี่ไปนครศรีธรรมราช ขับรถไปโน่นมานี่ เจอผู้คนหลากหลาย อยู่ไม่กี่วันก็บินกลับ

เราเป็นคนไทยก็จริง แต่เนื่องด้วยเราไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองไทยนานแล้ว อะไรต่อมิอะไรมันก็ดูแปลกหูแปลกตาไปหมด แล้วมาคราวนี้เราก็ไปต่างถิ่นเสียด้วยสิ เดินทางคนเดียวด้วยนะ เดินทางคนเดียว แต่ไม่เดียวดายนะครับ

อยากจะประกาศให้โลกรู้ว่า เราคนไทยพูดจาไพเราะมากนะครับ เพราะเราไปใหน แบบว่างงๆต่างถิ่น อยากรู้อะไร อยากถามอะไรทุกที่ทุกแห่ง คนไทยทุกคนเต็มใจช่วย พูดจาไพเราะ การกลับไปเมืองไทยครั้งนี้ถึงแม้ว่าจะแค่ 4-5 วันเอง แต่บอกได้เลยว่าความประทับใจในน้ำใจของคนไทย กิริยามารยาท การพูดการจา ประเทศไทยกินขาดครับ 

นี่เป็นครั้งที่ 2 ของการมาภาคใต้ของเรา ประทับใจทุกครั้ง ครั้งแรกมาภาคใต้ในฐานะนักท่องเที่ยว ไปเที่ยวที่ภูเก็ต ไปใหนมาใหนก็จะไปกับบรษัททัวร์ แต่มาคราวนี้เรามาธุระ เช่ารถขับเอง อยากไปใหนก็ได้ไป เดินทางแบบคนท้องถิ่น ไม่ได้เดินทางแบบนักท่องเที่ยว แบบนี้เราได้สัมผัสกับชีวิตคนพื้นที่จริงๆ 

ความประทับใจเนี๊ยะ มันบรรยายออกมาเป็นตัวหนังสือยากนะ ของบางอย่างมันต้องประสบด้วยตัวของตัวเอง 

คนไทยนอกจากจะพูดจาไพเราะแล้ว ทุกคนหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส เราสอบถามอะไรใครนะ ยังไม่เห็นใครหน้าบูดหน้าบึ้งเลยนะ ชีวิตทุกคนดูเรียบง่าย ไม่วุ่นวาย 

ไปอยู่เมืองไทยยังไงก็ไม่อดตายครับ ที่หลายๆคนบอกว่าเมืองไทยเป็น สยามเมืองยิ้ม ท่าจะเป็นอย่างที่เค๊าพูดจริงๆ ขับรถที่เมืองไทยเหรอ ไม่ต้องใช้ GPS ครับ จอดรถข้างทาง ยกมือไหว้สวยๆ ยิ้มงามๆ อยากรู้อะไรเหรอ เค๊าตอบให้หมดแหละ 

นี่เราไม่ได้คิดไปเองใช่มั๊ย...
เราไม่ได้หลงใหลเมืองไทยสะจนอะไรก็ดูดีไปหมดใช่มั๊ย...

หลายๆคนอาจพบเจอประสบการณ์มาทุกรูปแบบ ทั้งประสบการณ์ที่ดีและร้าย แต่ขอบอกได้เลยว่าการกลับไปเมืองไทยในครั้งนี้ โลกดูสวยงาม....ครับ

Sunday, September 20, 2015

ยายที่ยังไม่ยอมแก่

post นี้ก็สืบเนื่องมาจากการเดินทางกลับไปเมืองไทยเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนะครับ เหตุการณ์เกิดขึ้นที่ดอนเมือง

ในขณะที่เราจะทำการ check-in กระเป๋าเรา จะเดินทางไปกระบี่ ก็มีคุณยายคนหนึ่ง ขอเรียกว่า "ยาย" นะครับ ไม่ใช่ป้า เพราะบอกได้เลยว่ายายแกอายุคงจะประมาณ 70 แล้วหละ ถ้า 50-60 เนี๊ยะ เราเรียก "ป้า" ยังพอไหว

คุณยายดูท่าทางแล้วก็คงเป็นคนไทยเชื้อสายจีน เพราะผิวพรรณอะไรก็ดูขาวเนียน ยายยังทำตัว "หน้าเด้ง" อยู่ คือแต่งหน้ามาสะหนาปึ๊ก คิดว่าสาวๆหลายๆคนคงมิกล้าอาจหารเหมือนคุณยายท่านนี้ คุณยายก็ถือไม้เท้าช่วยเดินด้วยนะ ขอบอก

เรื่องก็มีอยู่ว่า พนักงานชายที่ทำงานอยู่ตรงเครื่อง x-ray ที่ scan กระเป๋านั้นเป็นเด็กหนุ่มรุ่นๆหลาน คิดว่าอายุน่าจะประมาณแค่ 25-26 เอง ยังเป็นเด็กอยู่ ยายก็แบบว่า

ยาย: น้องๆ ดูกล่องให้พี่หน่อย

โอ้ ยาย... แร็งมาก

ยายมาแบบว่า เรียกตัวเองว่า "พี่" แล้วเรียกพนักงานรุ่นหลาน รุ่นเหลนว่า "น้อง" เลยนะ ได้ข่าวว่ายายยังถือไม้เท้าช่วยเดินอยู่เลยนะยาย ให้ตายเถอะ คือแบบว่า คุณยายเธอ ช่างกล้า มาก...

เราก็ยืนรอเอากระเป๋าเราอยู่ข้างๆ คือแอบคิดในใจว่า "ยาย ถ้ายายเรียกตัวเองว่าป้าเนี๊ยะ เรายังพอรับไหวนะยาย" แต่มาแบบว่า "น้องๆ ดูกล่องให้พี่หน่อย" เนี๊ยะสิ คือแบบว่า "I am งง" ไปเลย 

คือ...ยายแกคิดอะไรยังไงของแกเนี๊ยะ ไม่เข้าใจ สงสัยยายแกเป็น "สาวมั่น" นะเนี๊ยะ มั่นใจเกินเหตุ

เราก็ไม่ได้เห็นปฏิกิริยาอะไรของพนักงานที่เครื่อง x-ray กระเป๋าเลยนะ สงสัยทำเป็นหูทวนลม แต่เรานี่สิคนยืนอยู่ข้างๆ แทบจะเก็บอาการขำไม่อยู่

สรุปคือ ยายที่ยังไม่ยอมแก่ ว่างั้นเถอะ

อะ ยอมๆกันไป สิทธิของใครสิทธิของมัน... เดี๋ยวยายน้อยใจ

Saturday, September 19, 2015

คำว่า "ขี้"


สืบเนื่องมาจากการกลับเมืองไทยเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เราได้ไปเข้าห้องน้ำที่สนามบินดอนเมือง ก็ได้ยินคนพูดโทรศัพท์ว่า "กำลังขี้อยู่" เราก็นึกในใจว่า เออ คนเรามันพูดคำว่า "ขี้" กันจนเป็นเรื่องธรรมดาแล้วเหรอเนี๊ยะ อะไรกัน...

ไม่รู้นะ เราไม่ใช่ผู้ดีอะไร ก็แค่คนเดินดินธรรมดาคนหนึ่ง แต่เราไม่เคยพูดคำว่า "ขี้" จะเข้าห้องน้ำ ก็บอกว่า "เข้าห้องน้ำ" ไปสิ ทำไมต้องแบบว่าใช้คำว่า "ขี้" ด้วยนะไม่เข้าใจ คือเราไม่ต้องการที่จะเห็นภาพอะไรขนาดนั้น รู้มั๊ย...

เวลาพูดก็แบบว่าเกรงใจคนฟังนิดหนึ่งก็จะดีมากเลย หรือไม่ก็เกรงใจคนที่อยู่รอบข้างๆที่เค๊าแอบมาได้ยินไอ้คำพวกนี้โดยที่ไม่ได้ตั้งใจหน่อยก็ดีเหมือนกัน แบบว่าจะเป็นพระคุณอย่างสูง

อยากจะบอกว่าถ้าคนเลิกพูดคำว่า "ขี้" เวลาตัวเองจะเข้าห้องน้ำนะครับ โลกจะดูสวยขึ้นมาทันทีเลยครับ

ดูจากภาพประกอบ blog วันนี้เสียก่อน "โลกสวย" นะครับ ไม่มี  "ขี้"...


Tuesday, September 15, 2015

จะรีบร้อนไปใหน


ช่วงนี้เราได้มีโอกาสกลับมาจากเมืองไทยก็ได้สังเกตุเห็นอะไรหลายๆอย่างที่อยากจะนำมาเล่าสู่กันฟัง

คนสมัยนี้ก็ไม่รู้เป็นอะไรกันนักกันหนานะ ช้านิดช้าหน่อยก็รู้สึกว่ารอไม่ได้กันเลย และบางทีก็แบบว่าทำตัวรีบเร่งโดยที่ไร้สาระ ยกตัวอย่างเช่น

  • เวลาพนักของสายการบินเรียกให้ผู้โดยสารขึ้นเครื่อง ปกติแล้วพนักงานเค๊าก็จะประกาศให้ผู้โดยสารขึ้นเครื่องตามแถวที่นั่ง ซึ่งผู้โดยสารที่อยู่แถวในสุดก็ควรที่จะขึ้นเครื่องก่อน เพราะถ้าผู้โดยสารที่อยู่ต้นๆเครื่องขึ้นก่อนแล้วหละก็ กว่าผู้โดยสารจะจัดการสัมภาระของเค๊าเสร็จ กว่าจะนั่ง กว่าจะอะไรก็จะกีดขวางทางการจราจรของคนอื่นเค๊า ทำให้เกิดการล่าช้า แต่ก็มีผู้โดยสารหลายๆคน อะไรก็ไม่รู้ รู้สึกว่าจะรีบร้อนกันไปหมด พอพนักงานของสายการบินประกาศให้ขึ้นเครื่องแค่นั้นแหละ ไม่ได้ฟังไม่ได้ดูเลยว่าตอนนี้เค๊ากำลังให้ผู้โดยสารแถวใหนขึ้นเครื่องก่อน คนประเภทนี้ก็จะรีบกุลีกุจอจะมาขึ้นเครื่องก่อนทันทีเลย ซึ่งจริงๆแล้ว ไม่ว่าเราจะขึ้นเครื่องช้ากว่า หรือเร็วกว่า สรุปแล้วเราก็ถึงที่หมายเหมือนๆกัน พร้อมๆกัน
  • และอีกประเภทหนึ่งก็คือ เครื่องบินพึ่งจะลงจอด ประตูเครื่องอะไรก็ยังไม่เปิด แต่ผู้โดยสารก็รีบลุกขึ้นยืนรออยากจะออกหรือลงจากเครื่องกันสะแล้ว กว่าประตูเครื่องจะเปิด และกว่าความพร้อมอะไรหลายๆอย่างของพนักงานบริการบนเครื่องบินด้วย สรุปถ้าประตูเครื่องบินยังไม่เปิด หรือพนักงานบนเครื่องยังไม่พร้อม ผู้โดยสารก็ต้องยืนรออยู่บนเครื่องอยู่ดี เสียเวลาอยู่ดี แออัดยัดเยียดกันด้วย ซึ่งจริงๆแล้วเราคิดว่าถ้าผู้โดยสารนั่งรออีกสักหน่อยนะ 5-10 นาทีคงจะไม่เป็นไร ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเค๊าจะรีบร้อนไปใหนกัน อะไรกันนักกันหนา เราคิดว่าจะยังไงเสีย นั่งรออยู่บนเครื่องก็ยังดีกว่ายืนรออยู่บนเครื่อง
  • ช่วงนี้ที่เมืองไทยมีบริการของสายการบินแบบประหยัดเยอะแยะมากมาย และพวกสายการบินแบบประหยัดเหล่านี้เค๊าก็จะไม่ค่อยมีสะพานเชื่อมระหว่างประตูผู้โดยสารกับลำเครื่องบินกัน หลายๆบริษัทก็จะมีบริการรถบัสนำส่งผู้โดยสารจากลำเครื่องบินเข้าสู่อาคารผู้โดยสาร คนพวกนี้ก็จะรีบกุลีกุจอ ลุกลี้ลุกลนที่จะขึ้นรถบัสกัน จริงๆแล้วจะรอรถบัสอีกคัน หรือรอรถบัสอีกรอบหนึ่งก็คงไม่เป็นไร เพราะกระเป๋าอะไรเองก็ยังต้องรอโหลด กว่าจะโหลดกระเป๋าอะไรเสร็จก็คงจะอีกนาน คิดว่ารอรถบัสอีกคันอีกรอบคงจะไม่เสียหายอะไรนะ
ก็ไม่เข้าใจนะว่าคนเราจะรีบเร่งไปใหนกัน อะไรกันหนักหนา ทำไมนะคนเราไม่ลองหยุดนิ่งมั่ง ทำอะไรช้าๆดูมั่ง ชีวิตจะได้ไม่ต้องเร่งรีบ จะได้ไม่ดูวุ่นวายจนเกินไป เพราะบางทีชีวิตเรามันก็ดูรีบเร่งเกิน รีบเร่งกันจนเกินเหตุ จากสถานการณ์ 3 สถานการณ์ที่เกี่ยวกับการเดินทางโดยเครื่องบินที่ยกตัวอย่างมา เราจะเห็นว่ารีบเร่งไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร...


Sunday, September 13, 2015

ลดเพื่อสร้าง



เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่า สมบัติ เงินทอง เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับมนุษย์ในยุคปัจจุบัน มันเป็นอะไรที่มนุษย์ทุกคนในสังคมแบบทุนนิยมแสวงหา และปรารถนามาครอบครอง…สังคมปัจจุบันหากจะวัดอำนาจกันก็คงต้องวัดกันที่สิ่งนี้ "ทรัพย์สมบัติ ทรัพย์สิน เงินทอง" ซึ่งมันอาจจะไม่ใช่เครื่องมือวัดที่ถูกต้องก็ได้ แต่คนเราก็ชอบใช้ของพวกนี้เป็นเครื่องมือการวัดอำนาจและอวดฐานะกันเหลือเกิน

ยิ่งผู้ใดมีสมบัติ เงินทองมากเท่าไหร่ ผู้นั้นดูเหมือนจะมีสิทธิ มีเสียง มีโอกาส มากกว่าคนอื่น ถึงแม้กฎหมายจะบอกเอาไว้ว่าทุกคนในสังคมมีสิทธิเท่าเทียมกันก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าธรรมเนียมการปฏิบัติของคนในสังคมนั้นกลับตรงกันข้าม ผู้คนเลือกที่จะปฏิบัติและเกรงใจต่อผู้มั่งคั่งด้วยสมบัติและฐานะ…ไม่ผิดเลยครับถ้าเราจะพูดว่า "มนุษย์ในสังคมปัจจุบัน ประเมินกันที่ฐานะ" 

จะสังเกตุเห็นว่าหากเรามี สมบัติหรือเงินทองที่มากมายแล้วละก็ เราก็กลายเป็นคนสำคัญ เป็นคนที่มีคุณค่าขึ้นมาทันที เหมือนทุกสิ่งอย่างมันสามารถเสกได้อย่างง่ายดาย อะไรประมาณนั้น

หลายๆคนที่มีสิ่งที่เรียกว่า สมบัติหรือเงินทองมากๆ เค๊าเหล่านั้นก็อาจจะไม่จำเป็นที่จะต้องอ่อนน้อมถ่อมตนอะไรต่อใครๆ… ซึ่งมันก็ทำให้คนเราหยิ่งจองหอง หรือบางคนก็พูดจายกตนข่มท่าน อาจจะมีทั้งที่ตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ แต่บอกได้เลยว่ามันเป็นอะไรทีแย่

หลายคนๆมีหลากหลายวิธีในการก่อร่างสร้างตัว ในการสร้างฐานะ

บางคนก็มุ่งมั่นในการทำงาน แต่บางคนก็เลือกที่จะเกาะพ่อแม่กินก็มี อะ ไม่เป็นไร เราไม่ได้คิดจะเขียนเรื่องเกาะพ่อแม่กินตอนนี้ เอาไว้โอกาสหน้าก็แล้วกัน 

คนเราหา คนเราสร้าง เพื่อที่จะสร้างฐานะกัน เพื่ออยากที่มีอำนาจกัน เพื่อที่อยากจะให้คนอื่นเกรงใจเรา มันเป็นเหตุผลของการหา เหตุผลของการสร้างที่ถูกต้องแล้วเหรอ

เราหา เราสร้าง เรารู้จักคำว่า "พอ" มั๊ย เพราะถ้าเราไม่รู้จักพอ หาเท่าไหร่ก็คงไม่มีวันจบสิ้น เราก็ยังคงต้องหาไปเรื่อยๆ อยู่อย่างนั้นเป็นวัฏจักรที่ไม่มีวันสิ้นสุด


อย่างไรก็ตาม ถ้าเรารู้จักคำว่าพอ เราก็ไม่ต้องไปดิ้นรนอะไรมากมาย ขอแค่เรามีอยู่อย่างเหลือเก็บ เหลือประทังชีวิต เลี้ยงลูกเลี้ยงหลานและมีเหลือพอที่จะช่วยเหลือสังคมบ้าง…วิธีการสร้างสมบัติเท่าที่เราพอจะมีกิน มีใช้ และมีเก็บ ให้มากขึ้นนั้นไม่ใช่การแสวงหาธุรกิจใหม่ๆมาทำ หรือการมองหางานที่ได้เงินเดือนดีๆเสมอไป เอาอาจทำได้ง่ายๆด้วยการ “ลดความต้องการ” หรือความโลภในตัวของเราให้น้อยลง ก็เป็นได้

นี่เป็นอีกวิธีหนึ่งของการ ลดเพื่อสร้าง

ยิ่งถ้าเรามีความอยากมี ความอยากได้น้อยลง อะไรอะไรที่เรามีอยู่ ก็ดูเหมือนจะมีมากขึ้นมาทันที ทุกอย่างมันดูเหมือนมีเกินพอเสียด้วยซ้ำ คือมันมากเกินที่เราอยากจะมีอยากจะได้ นี่แหละหลักของการ ลดเพื่อสร้าง

ชีวิตกับการแสวงหามันน่าจะเพียงพอแล้ว…สร้างความสุขให้กับตัวเองบ้างก็ดีนะครับ…เปลี่ยนวิธีการสร้างสมบัติและวิธีการเสาะแสวงหาแบบเดิมๆ จากการใช้ความโลภเป็นรากฐานมาสร้างและการเสาะแสวงหา 
ด้วยการ “ลด” ลดความอยากมี ลดความอยากได้ จะดีกว่ามั๊ย 

คนที่มีความสุข ไม่ใช่คนที่ "มี" มากที่สุด แต่อาจเป็นคนที่มีน้อย แต่ว่ามีมากกว่าสิ่งที่เค๊าต้องการก็อาจเป็นได้…

ถ้าเราลด ละ เลิก ความโลภไปได้บ้าง เราก็ไม่จำเป็นต้องไปวิ่งตามและเสาะแสวงหาอะไรมากมาย

ชีวิตที่สามารถ ลด ละ เลิก ความโลภไปได้บ้าง เราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปแสาะแสวงหาอะไรต่างๆมากมายเพื่อมาตอบสนองความต้องการที่เราอยากมีอยากได้อะไรมากมาย

ดังนั้น การลดเพื่อสร้าง ไม่ใช่สิ่งที่อะไรที่ทำไม่ได้ ไม่ใช่อะไรก็ไกลเกินเอื้อม หากเราลองหยุด... หยุดสักนิด หยุดกับทุกสิ่งอย่าง แล้วมาลองคิดไตร่ตรองดูว่า สรุปแล้วชีวิตเราต้องการอะไร อะไรต่างๆที่เราหามา มันมากเกินพอ มันมากเกินความจำเป็นหรือเปล่า

ถ้าหากเรามา ลดเพื่อสร้างกัน ชีวิตเราจะเต็มอิ่มและมีความสุขมากกว่านี้กันมั๊ย

มาลองดูกันนะครับ ว่าการ "ลดเพื่อสร้าง" เนี๊ยะทำได้จริงมั๊ย มันจะทำให้เรามีความสุข และค้นหาตัวเองได้ดีจริงๆมากน้อยแค่ใหน

ทดลองการใช้ชีวิตแบบ ลดเพื่อสร้าง กันดูนะครับ ได้ผลอะไร ยังไงก็นำมาเอาเผื่อแผ่กันด้วยนะครับ

Sunday, September 6, 2015

เรียงลำดับความสำคัญของชีวิต



เคยถามตัวเองบ้างมั๊ยว่า อะไรเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต

ไม่รู้สินะ รู้สึกว่า ทุกช่วงชีวิต เราจะมีคำตอบที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ณ ตอนนั้นๆ

ตอนเป็นเด็กเราอาจจะไม่ได้คิดอะไรมากมาก แต่พอโตเป็นผู้ใหญ่ เราก็เริ่มที่จะคิด เริ่มที่จะวางแผนอะไรกับชีวิต และก็เริ่มที่จะเรียงลำดับความสำคัญของชีวิต ซึ่งก็ไม่มีอะไรผิดและถูก แน่นอนว่าเมื่อเวลาผ่านไปทุกสิ่งทุกอย่างก็ยอมเปลี่ยนแปลงไปเป็นเรื่องธรรมดาไม่มีสิ่งไหนอยู่เหนือกาลเวลา

ชีวิตเราก็ต้องปรับให้เข้ากับสถานการณ์นั้น และก็ต้องมีการเรียงลำดับความสำคัญของชีวิตกันใหม่อยู่เรื่อยๆ

บางครั้งที่เรามีความสุขมากๆ เราก็อยากจะเก็บช่วงเวลาดีๆนั้นเอาไว้ อยากใช่มั๊ยหละ อยากเก็บเอาเวลาช่วงที่มีความสุขเอาไว้ อยากเก็บเอาไว้ในขวดแก้ว

ผู้คน หรือ สิ่งของต่างๆ ล้วนแล้วแต่มีความสำคัญกับเรา ไม่มากก็น้อย ถ้าเราขาดใครบางคนหรือสิ่งของบางอย่าง เราอาจรู้สึกว่าชีวิตเราขาดหายอะไรไปเลยก็ว่าได้ ดังนั้นเราต้องไม่มองข้ามคนรอบๆข้าง หรือสิ่งของต่างๆที่อำนวยความสะดวกให้กับเรา

คนสมัยก่อนเมื่อสิ่งของพังจะนิยมเอาไปซ่อมจนกว่าจะซ่อมไม่ได้และจะไม่นิยมซื้อใหม่ ซึ่งผิดกับค่านิยมในปัจจุบัน เราสังเกตได้ง่ายๆจากวัตถุสิ่งของในปัจจุบัน คนเราชอบซื้อชอบใช้อะไรตามกระแสนิยม มือถือมั่งหละ รถมั่งหละ อวดกันเข้าไป มีเงินเมื่อไหร่ เปลี่ยนมือถืออีกแล้ว เปลี่ยนรถกันอีกแล้ว สรุปแล้วคิดว่าพวกสิ่งของวัตถุนิยมพวกนี้ มีความสำคัญกับชีวิตเรามากเลยเหรอ เรามาลอง เรียงลำดับความสำคัญของชีวิตกันใหม่น่าจะดีกว่ามั๊ย...

สิ่งของอะไรที่สำคัญ บุคคลคนใหนที่สำคัญกับชีวิตเรา ถ้าเรามาลองเรียงลำดับความสำคัญของชีวิตกันใหม่ และดูแลบุคคลเหล่านั้น สิ่งของเหล่านั้นน่าจะดีกว่านะ

สิ่งของและคนก็เหมือนกัน ฉันใดก็ฉันนั้น เราถ้าไม่ดูแลบุคคลและสิ่งของที่มีความสำคัญต่อเรา ถ้าเราไม่ดูแลจิตใจคนรอบข้าง หรือมัวแต่คิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนตัวของเราแล้ว จนลืมคิดถึงความรู้สึกของคนรอบๆข้าง หากวันใดที่เค๊าไม่อยู่ แล้วเราก็จะรู้ว่า วันเวลา สิ่งของบางอย่าง เราไม่สามารถเรียกหวนกลับคืนมาได้

ของบางอย่างถ้าพังแล้ว ก็ถือว่าพังเลย ซ่อมไม่ได้

มิตรภาพใจบางอย่าง ถ้าได้พังแล้ว ก็ถือว่าพังเลย ซ่อมไม่ได้เหมือนกัน

ชีวิตมนุษย์เรา ถ้าได้ไปแล้ว ลาสังขารแล้ว เราก็เรียกกลับมาไม่ได้เช่นกัน

ฉันใดก็ฉันนั้น...

แนะนำให้ดูแลรักษาสิ่งของ และจิตใจของคนที่เรารักให้ดี เรียงลำดับความสำคัญของชีวิตให้ถูก

ก่อนที่จะสายจนเกินไป...


Friday, September 4, 2015

เวลาและความฝัน



เคยเป็นแบบนี้กันมั่งมั๊ยเอ่ย ว่าทำไมเราต้องเจอกับความผิดพลาดอีกแล้ว? 

ทำไมชีวิตเราต้องมาเจอกับอะไรที่แย่ๆแบบนี้?

หลายๆครั้งเราอาจเคยได้ยินคำพูดเหล่านี้ออกมาจากตัวเราเองหรือมาจากคนที่ใกล้ตัวเรา

คำพูดและความคิดเหล่านั้นอาจเกิดขึ้นมาจากบางสิ่งบางอย่างที่ไม่เป็นไปตามต้องการ หรือไม่เป็นไปตามใจเราที่หวังเอาไว้

เมื่อเราหวังเอาไว้สูงเวลาเราผิดหวังก็ย่อมจะเจ็บเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์โลก

แต่คนเราก็ต้องมีความหวังกับเรื่องอะไรต่างๆในชีวิต ถ้าไม่อย่างงั้นชีวิตก็ขาดรสชาติ

ในชีวิตปัจจุบันเราต่างดำเนินชีวิตไปด้วยความฝัน ความหวังบนพื้นฐานของโลกแห่งความเป็นจริง

แต่เราจะฝันและหวังอย่างไร
ไม่ให้เราเสียใจ?

จริงๆแล้วคำตอบนี้ก็คงจะหลากหลาย ขึ้นอยู่กับความหวังและความต้องการที่จะไขว่ขว้าของแต่ละคน

แต่เมื่อเราลองถามตัวเราเองว่าในชีวิตเรา มีหลายครั้งมั๊ยที่เราปล่อยให้ความฝันปล่อยผ่านไปโดยที่เราไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย

เราอยากเรียนหนังสือให้เก่ง 


เราอยากทำงานตำแหน่งดีๆ

เราอยากมีอาชีพนี้ นั่น นี่ โน่น

หรือว่าความฝันต่างๆอีกมากมายที่เราเคยฝันและเราปล่อยผ่านไปโดยที่ไม่ได้ลงมือทำอะไรเพื่อให้ความฝันนั้นเป็นจริง และเมื่อเวลาผ่านไปเรากลับมาเสียดายที่เราไม่ได้ทำความฝันนั้นให้เป็นจริง เพรา

เราไม่สามารถย้อนเวลากลับคืนมาเพื่อทำความฝันนั้นให้เป็นจริงได้นะครับ เวลาไม่มีวันหวนกลับ ดังนั้นหากเรามีความฝันหรือความหวังอะไรก็ตามแต่ เราควรที่จะทำวันนี้ให้ดีที่สุด ทำให้ดีที่สุดเพื่อที่จะให้ความฝันหรือความหวังเราเป็นจริง

โอกาสในชีวิตไม่ได้เข้ามาหาเราบ่อยๆ และบางครั้งเมื่อโอกาสเข้ามาหาเราในจังหวะที่เราไม่พร้อม เราอาจจะสูญเสียโอกาสนั้นไปอย่างน่าเสียดาย

จะดีกว่าไหมถ้าเราทำสามารถทำตัวให้พร้อมกับความฝันอยู่เสมอ พยายามปรับปรุงความสามารถของเราให้ใกล้กับความฝันที่เราหวังเอาไว้ สำรวจตัวเองว่าคุณสมบัติอะไรที่เราขาดไป หรือเสริมสร้างจุดแข็งที่เรามีอยู่แล้ว ให้เพียงพอและพร้อมกับความฝันของเราอยู่เสมอ

ปัญหาในปัจจุบันที่เราพบเจอกันมากก็คือ ตอนนี้ส่วนใหญ่คนไม่รู้ว่าความฝันที่แท้จริงแล้วของตัวเองคืออะไร

ส่วนใหญ่เรานั้นใช้ชีวิตไปตามกระแสสังคมหรือกระแสทุนนิยมที่หล่อหลอมให้เราต้องมีเงินทองมากมาย มีหน้าที่การงานในสังคมที่ดี มีกระเป๋ารองเท้าหรือเสื้อผ้าราคาแพง เอาไว้ใส่เพื่อแสดงฐานะทางสังคมที่แตกต่างกัน 


ทุนนิยมบางประเภทสอนเราว่าต้องมีการผลิตที่มากที่สุดและเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และขายให้ได้มากที่สุด สอนให้พนักงานทำงานแบบถวายตัวเพื่อบริษัท และลดค่าแรงพนักงานน้อยลงเพื่อทำกำไรอันสูงสุดของบริษัท แต่พนักงานโรงงานผลิตรองเท้าบางคนกลับไม่มีรองเท้าจะใส่

จริงๆแล้วเราอยากมีชีวิตแบบนี้กันหรือเปล่า ?

ไม่มีใครให้คำตอบแทนเราได้ อยู่ที่ชีวิตเราเลือกเองมากกว่าว่าความฝันและความหวังที่แท้จริงแล้วในชีวิตเราเป็นแบบไหน ถ้าหากเรายังไม่รู้ความฝันในตัวเอง ปล่อยให้ชีวิตเราไหลไปตามกระแสสังคม สุดท้ายเราก็จะกลายเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่เกิดมาแล้วไม่ได้สร้างอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองหรือสังคมเลย


ชีวิตเรา เราต้อง take control หรือจัดการและจัดสรรหาอะไรต่างๆให้กับชีวิตเราเอง จะมามัวรอคอยคนอยู่ผลักดันเราอยู่ไม่ได้ ชีวิตเรา ความฝันและความหวังอะไรต่างๆ ตัวเราเองต้องเป็นคนขับเคลื่อ 

แนะนำให้หาตัวเองให้เจอ และรู้ว่าความฝันและความหวังในชีวิตเราจริงๆแล้วคืออะไร ทำอะไร ยังไง ถึงจะได้สิ่งๆนั้นมา ทำอะไร ยังไง ความฝันหรือความหวังถึงจะกลายเป็นจริง...

Wednesday, September 2, 2015

จริงๆแล้วสิ่งที่ลูกต้องการคือ "เวลา"


คนเราเกิดมาทุกคน ต้องทำมาหากิน หาเลี้ยงชีพ แต่บางทีเราก็ลืมไปว่า สรุปแล้วสิ่งสำคัญจริงๆในชีวิตคืออะไร เงินหรืออะไรกันแน่

ถามว่าเงินมีความจำเป็นต่อการดำเนินชีวิตมั๊ย ก็มีนะครับ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เงิน ต้องเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต เงิน ไม่ใช่เครื่องวัดความสุขของชีวิต

 คนทำงานลืมหน้าลืมหลัง พ่อแม่ไม่มีเวลาให้ลูก อะไรประมาณนี้ ถ้าเป็นแบบนั้น สรุปแล้วเราทำงานตัวเป็นเกลียวหาเงินมาเพื่ออะไรเหรอ ถ้าการทำงานหาเงิน แล้วเราต้องแยกกันอยู่กับครอบครัว เจอกันอาทิตย์ละไม่กี่ครั้ง หรือกลับบ้านมา เวลาก็ไม่ตรงกับลูกๆ กลับเข้าบ้านมาตอนเช้า อยู่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ลูกหลับอยู่ ตื่นมาไม่ได้เห็นหน้าพ่อหรือแม่ แต่โดยส่วนมากแล้ว แม่จะคลุกคลีอยู่กับลูกมากกว่า คนที่เป็นคนออกไปทำงาน หาเงินนอกบ้าน หรือไปไกลจะเป็นพ่อมากกว่า

ถ้าเป็นแบบนั้น แล้วเราจะทำงานหนัก ทำงานไกลๆจากบ้านไปทำไมหละ สู้หาอะไรทำใกล้ๆบ้านทำดีกว่ามั๊ย จะได้อยู่กับครอบครัวแบบพร้อมหน้าพร้อมตา เอาแค่แบบว่า มีน้อยใช้น้อยค่อยบรรจงน่าจะดีกว่ามั๊ย

คนที่ชอบใช้ข้ออ้างว่าต้องไปทำงานหาเงินเลี้ยงครอบครัว คนเราถ้าไม่ได้อยู่ด้วยกัน แล้วจะเรียกว่าเป็นครอบครัวได้ยังไง

คนเราชอบอ้างว่า ที่ทำงานหนัก ทำงานไกลๆบ้าน ก็ทำไปเพื่อลูก เพื่อลูก เพื่อลูก และก็ เพื่อลูก จะเรียกว่าทำเพื่อลูกได้เต็มปากเต็มคำได้หรือเปล่า ถ้าเราไม่ได้ใช้เวลาอันมีค่าอยู่กับลูกเลย

เงิน ซื้อเวลาให้กับลูกได้มั๊ย แบบนี้จะเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของ "พ่อแม่รังแกฉัน" หรือเปล่า

สรุปแล้วการออกจากบ้านไปทำงานนั้น คนบางคนทำอะไรเพื่อตัวเองหรือเปล่า มีความต้องการที่จะออกจากบ้านเป็นทุนเดิมอยู่แล้วหรือเปล่า เอาครอบครัวซึ่งตัวเองแทบจะไม่มีเวลาให้มาเป็นข้ออ้างหรือเปล่า เอาลูกที่ตัวเองแทบบจะไม่ได้คลุกคลีมาเป็นข้ออ้างหรือเปล่า

เงินทองของนอกกาย ไม่เอามาเป็นเครื่องวัดความสุขจะดีกว่ามั๊ย

เปลี่ยนจากการแยกกันอยู่ ให้มาเป็นใช้เวลาอยู่ด้วยกัน อยู่กับลูก อยู่กันแบบพร้อมหน้าพร้อมตาเป็นครอบครัว จะดีกว่ามั๊ย

คิดว่าสุดท้ายแล้ว สิ่งที่ครอบครัวและลูกต้องการ น่าจะเป็น "เวลา" มากกว่า ยังไงเสียเราก็คิดว่าเวลานั้นมีค่ากว่าเงินเป็นใหนๆ

สองมือ ปากกัดตีนถีบ คิดว่ายังไงก็ไม่อดตาย...