Tuesday, December 29, 2015

โทษตัวเองจะดีกว่ามั๊ย


เราเคยมีเพื่อนบ้านที่เคยพักอยู่ชั้นล่างของตึก แต่ตอนนี้ได้โดนให้ย้ายออกจากตึกไปแล้ว สาเหตุเพราะว่า
  • เล่นดนตรีตอนดึก หลัง 4 ทุ่ม หลังเที่ยงคืน และชอบทำเสียงดังโครมครามตอนดึกๆ เหตุผลเพราะเขาไม่พอใจเพื่อนบ้านข้างๆห้องที่อยู่ติดกัน
ส่วนเราเองไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวอะไรกับเขาหรอก เพราะเราพักอยู่ข้างบนเพียงแต่ว่าครอบครัวเราต้องการนอนเวลากลางคืนหนะ เพราะเราเองต้องทำงานและลูกก็ต้องไปโรงเรียน พวกเราไม่ได้มีเวลาว่างเหมือนพวกคนว่างงานเหล่านี้ หรือพวกรับจ้างทั่วไปที่บางทีก็มีงานทำมั่ง บางทีก็ไม่มี

เสียงดังดึกๆดื่นๆครั้งแรกเราพอทนได้ แต่บ่อยๆเข้า ชักได้ใจเพราะไม่มีใครร้องเรียน สุดท้ายทั้งเราและเพื่อนบ้านรอบๆข้างก็ได้ทำการร้องเรียนไปที่บริษัทที่ดูแลตึก และสุดท้ายฝรั่งคนนี้ก็ต้องย้ายออกพร้อมกับสุนัขของเขา

อดีตเพื่อนบ้านคนนี้มีรถตู้ที่เขาดัดแปลงให้เป็นบ้านเคลื่อนที่ เพราะเขาเคยคิดว่าจะขับรถไปรอบๆประเทศ ไปหารับจ้างตามเมืองนั้นที เมืองนี้ที และเล่นดนตรีตามผับ เล่ล่อนไปเรื่อยๆ เพราะหย่าแล้วกับเมีย ลูก 2 คนก็ไม่ได้ดูแล สรุปแล้วคือ ชีวิตเขาดูๆแล้วมันก็เป็นพวก "ชีวิตบัดซบ" เพราะท้ายที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรเหลือเลย มีแค่รถกับสุนัข 1 ตัว

การที่คนที่ออสเตรเลียจะหาบ้านเช่าได้นั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะเจ้าของตึกเองหรือบริษัทที่ดูแลตึกก็ต้องดูว่า คนที่จะมาเช่าตึกหรือเช่าห้องนั้น มีคุณสมบัติ มีศักยภาพทางการเงินสามารถจ่ายค่าเช่าได้ตลอดไปหรือเปล่า

ถ้าหากการงานไม่มั่นคง เขาก็หาที่เช่าได้ยาก

อดีตเพื่อนบ้านคนนี้ก็เลือกที่จะทำตัวเป็นพวกเล่ล่อน คือนอนอยู่ในรถ และไปเช่าที่จอดรถตาม caravan park ต่างๆ หรือไม่ก็จอดรถนอนตามที่จอดรถสาธารณะตามทะเล แต่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น หรือ town council เองก็มีการห้ามจอดรถตามชายทะเล ในยามค่ำคืน เพื่อรักษาความเป็นระเบียบของเมือง

สุดท้ายชายคนนี้ก็ต้องย้ายที่จอดรถนอนตอนกลางคืนไปเรื่อย เพราะเดี๋ยวเจ้าหน้าที่ก็จะมาคอยไล่

ครั้นจะไปจอดตาม caravan park ถึงแม้ราคาจะถูกๆ ที่ Wollongong มีที่ให้จอดคืนละ $7 แต่บริษัท caravan park ก็ต้องการพวกที่จอดพักเป็นนักท่องเที่ยว คือมาจอดพัก 1-2 คืนแล้วก็เดินทางต่อ ไม่ใช่พวกเอารถตู้มาจอดพักเพื่อเป็นที่อยู่ถาวร สุดท้ายก็ต้องโดนไล่ออกจาก caravan park

ดูเอาเถอะคนเรา ถ้าทำตัวดี ไปที่ใหนคนก็รัก คนก็ชอบ แต่ถ้าทำตัวเป็นนักเลงกร่าง คอยหาเรื่องชาวบ้าน กัดคนนั้นที กัดคนนี้ที ต่อให้ไปอยู่ที่ใหนก็คงลำบาก

ทุกวันนี้ชายคนนี้ก็เปลี่ยนที่นอน ที่จอดรถตู้ไปเรื่อยๆ แต่เขาก็ยังอยู่แถว Wollongong เพราะเราเองก็ยังเห็นรถเขาวิ่งไปๆมาๆตามทะเล ตามที่จอดรถสาธารณะอยู่บ่อยๆ


ฝรั่งที่ "ชีวิตบัดซบ" หนะเหรอ มีเยอะแยะมากมาย พวกไม่เรียนหนังสือ ไม่มีทักษะในการทำงานในการทำมาหากิน สุดท้ายแล้วก็ต้องแบมือขอเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล ซึ่งก็เป็นเงินภาษี เป็นหยาดเหงื่อจากการทำงานของพวกเรานี่แหละ

ไม่ว่าจะที่เมืองไทย ที่ประเทศออสเตรเลีย หรือที่ใหนๆก็ตาม ถ้าคนเราเกิดมาแล้วไม่ดิ้นรน ไม่ปากกัดตีนถีบ วันๆได้แต่นอนคอยวาสนา รอเงินหล่นลงมาจากฟ้า รอเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล ชีวิตเขาก็คงจะอยู่แค่นี้แหละ

สุดท้ายแล้วเขาก็คงต้องโทษตัวเขาเอง ที่ชีวิตเขาต้องมาเล่ล่อนตอนวัยกลางคน (ตอนปลาย) ถ้าหากเขาทำตัวเป็นเพื่อนบ้านที่ดี บอกได้เลยว่าคงไม่มีใครไปร้องเรียนและสุดท้ายก็ต้องโดนไล่ออกหรอก 

ส่วนเรื่องการหางานทำก็เหมือนกัน คนเรานะถ้าอัธยาศัยดีสะอย่าง หนักเอาเบาสู้ คิดว่าต่อให้เขาไปหางานที่ใหนก็คงไม่มีปัญหา เพราะคนอัธยาศัยดีนะ คนอื่นสามารถรับรู้และสัมผัสได้ และคิดว่าทุกคนก็พร้อมที่จะให้งานทำ

แต่ก็ดูเหมือนว่าชายคนนี้เขาก็เลือกที่จะปล่อยทิ้งชีวิตของเขาไปวันๆด้วยการ ขับรถไปเรื่อยเปลื่อย นั่งๆนอนๆอยู่ในรถตู้ ดู TV เพราะเขาปรับรถตู้ทำเป็นแบบบ้านเคลื่อนที่ ดูๆแล้วชีวิตเขาก็คงต้องเล่ล่อนจากที่จอดรถที่หนึ่งไปอีกที่จอดรถที่หนึ่งแหละ

สุดท้ายแล้ว เขาก็คงต้องโทษตัวเอง เพราะทุกสิ่งอย่างที่มันเกิดขึ้นกับชีวิตเขา เขาเป็นคนสร้างมันขึ้นมาและเขาเองก็เป็นคนเลือกในสิ่งที่เขาทำและในสิ่งที่เขาเป็น

... เป็น...อยู่...คือ...


Monday, December 28, 2015

อดเปรี้ยวไว้กินหวาน


เมื่อเพื่อนสนิทกับครอบครัวเขาที่เป็นชาวพม่าแวะมาที่ Wollongong เราก็เลยออกไปเจอกัน ทานข้าวเที่ยงที่ร้านอาหารไทยใน Wollongong เราก็ได้พูดคุยกับเพื่อนและก็ภรรยาเขา ก็ถามสารทุกข์สุขดิบไปตามประสาเพื่อนเก่า เพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกัน

ภรรยาของแฟนเรียนจบหมอมาจากประเทศพม่า แต่การที่จบหมอมาจากประเทศพม่าไม่ได้หมายความว่าเขาสามารถมาเป็นหมอที่นี่ได้เลย เปล่าเลย เขาต้องผ่านการฝึกอบรมใหม่ และไปประจำอยู่ตามโรงพยาบาลตามเมืองรอบนอกเป็นเวลา 2 ปี ทุรกันดารมาก เมืองหนึ่งที่เขาต้องไปประจำปีแรก อยู่ห่างจากบ้านประมาณ 5-6  ชั่วโมง แต่เขาก็ต้องไป ทิ้งลูก ทิ้งสามีไปอยู่ถิ่นทุรกันดาร เป็นเวลา 1 ปีเต็มๆ เขาจะมาหาลูก มาหาสามีประมาณเดือนละครั้งเอง และเดือนต่อไปสามีกับลูกก็จะเป็นฝ่ายไปหา สลับกันไปมาอย่างนี้เป็นเวลา 1 ปีเต็มๆ

แต่ก็โชคดีที่มีแม่สามีช่วยดูแลลูกตอนนั้น

พอปีที่ 2 เขาก็ได้ย้ายจากโรงพยาบาลจากเมืองทุรกันดาร มาอยู่เมืองรอบนอกเหมือนเดิม แต่ก็ไม่ได้ทุรกันดารเหมือนปีแรกมาก คราวนี้เมืองที่เขาประจำอยู่ อยู่ห่างจากบ้านที่ Sydney ประมาณ 4 ชั่วโมง ซึ่งก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากเหมือนปีแรก แต่เขาก็กลับบ้านทุกอาทิตย์มาหาลูกมาหาสามีไม่ได้ เขาจะกลับมาทุก 2 อาทิตย์ เพราะการเดินทาง 4 ชั่วโมงทุกๆอาทิตย์ ไป-กลับก็ 8 ชั่วโมงแล้ว จะให้เดินทางทุกอาทิตย์ก็คงไม่ไหว และค่าน้ำมันเองก็แพงด้วย

เขากับหมอชาวต่างชาติ ชาวอินเดียที่ฝึกงานอยู่ด้วยกัน ก็เลยแชร์รถกันทุกๆ 2 อาทิตย์เพื่อขับรถกลับเข้า Sydney มาหาครอบครัวทุกๆ 2 อาทิตย์

เราเห็นเพื่อนและภรรยาเขาใช้ชีวิตอยู่แบบนี้ ช่วง 2 ปีแรกที่ภรรยาเขาต้องไปฝึกงานที่โรงบาลตามถิ่นชนบท บอกได้เลยว่าตอนนั้นสงสารและเห็นใจครอบครัวเพื่อนมากเลย เราเองก็ได้แต่ให้กำลังใจ ชีวิตคนเรามันต้องสู้จริงๆถึงจะอยู่รอด มันไม่ได้โรยไปด้วยกลีบกุหลาบเลย

พอครบ 2 ปี ภรรยาเพื่อนก็สามารถย้ายเข้ามาประจำอยู่ตามเมืองใกล้ๆบ้าน และสามารถทำงานที่คลีนิคได้ด้วย แต่ว่าช่วง 10 ปีแรก หมอที่จบจากต่างประเทศมาห้ามทำงานคลีนิคตามเมืองใหญ่ๆ เป็นระยะเวลา 10 ปี เพราะรัฐบาลต้องการให้หมอไปทำงานตามคลีนิคตามหัวเมืองรอบๆนอกมั่ง เพราะหมอตามเมืองใหญ่ๆมีเยอะมากแล้ว หมอตามเมืองรอบนอกยังขาดแคลน

ภรรยาเพื่อนเราก็ขับรถไปไม่ไกลมาก แค่ 40-45 นาที ก็ถือว่าอยู่เขตรอบนอกแล้ว ซึ่งไม่มีปัญหาอะไร เพราะขับรถแค่นี้เอง ที่ออสเตรเลียเราถือว่าเป็นเรื่องปกติ และหมอเองทำงานที่คลีนิครายได้ก็ดีอยู่แล้ว ชีวิตของเพื่อนและภรรยาก็เริ่มดีขึ้น แม่ก็ได้อยู่กับลูกและสามีทุกวัน ไม่ต้องแยกกันอยู่เหมือน 2 ปีแรก

มาวันนี้ 10 ปีผ่านไป ภรรยาเพื่อนเราสามารถทำงานในคลีนิคตามเมืองใหญ่ได้แล้ว ไม่มีข้อกำหนดอะไรอีกต่อไปเหมือนช่วงแรกๆ เราเห็นชีวิตครอบครัวของเพื่อนเราแล้ว เราก็จะยิ้มและชื่นชมชีวิตพวกเขาอยู่ในใจอยู่ลึกๆว่า ชีวิตเขาผ่านอะไรมามั่ง จากช่วง 2 ปีแรกที่ต้องไปฝึกงานตามโรงพยาบาลในถิ่นทุรกันดาร มันเป็นการอดเปรี้ยวไว้กินหวานจริงๆ เพราะบอกได้เลยว่าช่วง 2 ปีแรกของพวกเขาไม่ได้สบายเลย การแยกกันอยู่และก็มีลูกเล็กๆที่ต้องเลี้ยงดู ถ้าไม่อึดจริงก็คงลำบาก

อยากจะบอกทุกคนว่า ชีวิตคนเราไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ อดทนสักนิด อึดกันสักหน่อย อดเปรี้ยวไว้กินหวานกัน ชีวิตมันต้องเดินไปข้างหน้า ชีวิตมันจะต้องดีขึ้น

ชีวิตคนเรามันต้องสู้... ต้องสู้ จึงจะชนะ...

Saturday, December 26, 2015

เปลี่ยนจากคำดูถูกให้เป็นแรงบันดาลใจ จะดีกว่ามั๊ย?


การเดินทาง หรือไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามแต่ ดูเหมือนว่ามันจะขวากหนามเต็มไปหมดเลยนะ คนเราจะทำอะไรก็เหมือนกัน มันก็ชอบเหลือเกินที่จะมีมนุษย์บางกลุ่ม คนบางจำพวกที่จะต้องคอยกระแหนะกระแหน พูดจาถากถาง ดูถูกดูแคลน ไม่ให้กำลังใจไม่ว่า แต่พูดจาเหยียดหยามเนี๊ยะมันน่าเกลียดจริงๆ

แต่ก็นั่นแหละ เราเอาคำพูดอะไรต่อมิอะไรเหล่านี้มาเป็นแรงบันดาลใจดีกว่ามั๊ย เป็นแรงบันดาลใจเพื่อลบคำสบประมาทของใครสักคน

เราจำได้ว่าช่วงปีแรกๆของการเป็น อิมมิเกรชั่นเอเจนท์ (J Migration Team) เราก็ไม่ได้กำจะทำอะไรจริงจังเพราะคิดว่าลูกค้าอะไรที่ Wollongong เองก็คงไม่เยอะ ตอนนั้นเราก็ทำธุรกิจร้านอาหารของเราไป และก็ถือว่าธุรกิจร้านอาหารเป็นธุรกิจหลัก และธุรกิจอิมมิเกรชั่นเอเจนท์ เป็นแค่ธุรกิจเสริม ทำเป็นแค่ freelance เป็น pocket money อะไรก็ว่าไป

เนื่องด้วยว่า การเป็นอิมมิเกรชั่นเอเจนท์เนี๊ยะ เราจะต้องมีการต่อใบอนุญาติการประกอบวิชาชีพทุกๆปี และการที่เราจะต่อใบประกอบวิชาชีพเนี๊ยะ นอกจากเราจะต้องเรียนจบมาทางด้านกฏหมายอิมมิเกรชั่นแล้ว เราก็ต้องมีการเข้าอบรม seminar หรือ workshop เพื่อให้ได้แต้มครบ 10 แต้มทุกๆปี

ปีแรกๆเราก็ได้ไปเข้า seminar ที่ Sydney และก็ได้มีโอกาสเจอพี่คนไทยคนหนึ่งที่เป็นเจ้าของอิมมิเกรชั่นเอเจนท์เจ้าใหญ่ที่ Sydney เพราะเขาเปิดมานานแล้ว และเราเองก็เคยใช้บริการเขาเหมือนกัน เพราะเราก็เอาเพื่อนเราทำวีซ่านักเรียนมากับเอเจนท์ของพี่คนนี้

ซึ่งเป็นปกติของคนไทยอยู่แล้วที่เวลาเราเจอคนที่เรารู้จัก เราก็ยกมือไหว้ เช่นเดียวกัน เราก็เข้าไปทัก เข้าไปยกมือไหว้พี่คนนี้ แต่สิ่งคนนี้พูดออกมาก็คือว่า

"เป็นอิมมิเกรเจนท์ จะ  work เหรอ จะมี case ทำพอจ่ายค่า license หรือเปล่า?"

ค่า license ก็คือค่าต่อทะเบียนใบประกอบวิชาชีพนะครับ ซึ่งปีหนึ่งก็ประมาณ $5,000 เพราะบวกนั่น นี่ โน่น ค่าประกัน ค่า seminar ค่า workshop

เราเองก็นึกในใจว่า เออ ไม่เข้าไปทักสะก็สิ้นเรื่อง ป่วยการที่เราไปยกมือไหว้แก วันนั้นแกก็เป็นป้ามาเลยนะ แต่งตัวธรรมดา ไม่ได้แต่งหน้า อยากจะบอกว่าหน้าตาป้าโทรมมากเลย...

จากวันนั้น มาจนถึงวันนี้ เราก็ไม่เคยได้เจอพี่ (ป้า) คนนี้อีกเลย ก็เลยไม่ได้มีโอกาสกลับไปบอกแกว่า เรามี case ทำพอจ่ายค่า license ทุกๆปี ยังไม่เจ๊งจ๊ะ

อยากจะบอกและเป็นกำลังให้ทุกคนที่เลือกจะทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำว่า ให้เปลี่ยนคำดูถูกเหยียดหยามพวกนั้นมาเป็นกำลังใจและแรงบันดาลใจในการทำงาน ทำงานของตัวเองให้เต็มที่ ดูแลลูกค้าของตัวเองให้ดีที่สุด แล้วลูกค้าเขาจะบอกปากต่อปากเอง แล้วสักวันหนึ่ง วันนั้นก็คงมาถึง วันที่หลายๆคนเขาต้องกลืนคำพูดเหล่านั้นของเขาเอง

Sunday, December 20, 2015

ไม่ต้องโกหกก็ได้นะ


การพูด “โกหก” เป็นแค่การปิดบังความจริงอย่างหนึ่ง ไม่ใช้การ “ลบเลือน” ความจริง…หากเราเป็นคนที่มักสร้างเรื่องโกหกอยู่เป็นประจำ เราจะรู้ว่าเมื่อเริ่มต้นผูกเรื่องด้วยการโกหกแล้ว เราก็ต้องสานต่อด้วยการโกหกในครั้งต่อๆไป เท่าที่สังเกตุเห็นนะ ไม่ช้าหรือเร็วความจริงที่ถูกปิดบังก็จะปรากฏขึ้นมาสักวัน

คนหลายคนก็โกหกสะจนเป็นนิสัยไปแล้ว พูดจาอะไรออกมา แบบว่า ขอโกหกไว้ก่อนก็แล้วกัน มันชิน!!!

การ “โกหก” มันทำให้ชีวิตเรายุ่งยากนะ แต่ทำไมคนบางคนถึงเลือกที่จะ “โกหก” ก็ไม่รู้… 

OK.... เราเข้าใจแหละว่าแต่ละคนมีเหตุผลอะไรที่แตกต่างกันออกไป แต่ละคนมีเหตุผลของใครของมัน บางคนก็ทำไปเพราะความจำเป็น ทำไปเพื่อไม่อยากให้คนรอบข้างเดือดร้อน ไม่อยากให้คนรอบข้างเป็นห่วง แต่รู้มั๊ยว่าการที่คนรอบข้างหรือคนใกล้ตัวเค๊ามารู้ทีหลังนั่นแหละ มันยิ่งน่าเป็นห่วง เพราะปัญหาบางอย่างมันจวนเจียนจะเกินแก้ โดยเฉพาะปัญหาเรื่องการเงินและหนี้สิน

หากเราโกหกใครสักคน คนใกล้ตัว ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนรอบๆข้างหรือคนในครอบครัวหรือใครก็ตามแต่ รู้มั๊ยว่าปัญหาบางอย่างมันสามารถแก้ไขได้ตั้งแต่เนิ่นๆ อย่าปล่อยให้มันยืดยาว มีปัญหาอะไร ก็แนะนำให้บอก ให้ปรึกษากับคนรอบๆข้าง อย่าปล่อยให้มันเรื้อรัง เพราะปัญหาบางอย่างถ้ามันได้มาถึงจุดจุดหนึ่งแล้วมันอาจจะแก้ไขยากก็ได้ อย่างเช่นปัญหาเรื่องการเงินและเรื่องหนี้สินเป็นต้น อย่าปล่อยให้เรื้อรัง...

ดังนั้นในบางเรื่องที่เราคิดว่า “เออ....ไม่เป็นไรหรอก” คงไม่สร้างความเดือดร้อนอะไรให้แก่ใครหรอก ก็อาจจะไม่จริงเสมอไป โดยเฉพาะกับคนใกล้ตัวที่เค๊าพร้อมจะให้ความช่วยเหลือเราได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว ดังนั้นถ้าหากเรามีอะไร ประสบปัญหาอะไรมาก็ต้องบอกกันตั้งแต่เนิ่น ไม่ต้องโกหก มีอะไรจะได้รีบช่วยๆกันแก้ไข ก่อนที่มันจะสายเกินแก้

Monday, December 7, 2015

หูทวนลม


รู้มั๊ยทำไมเด็กๆหรือคนหลายๆคนเวลาเราพูดเราอะไรกับเค๊า เค๊าถึงทำเป็นหูทวนลม นั่นอาจเป็นเพราะเค๊าเบื่อที่จะฟัง หรือไม่ก็ขาดความเคารพหรือเปล่า

ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ไม่ต้องโทษใคร เราเองต่างหากที่ควรจะต้องกลับหันมามองดูตัวเองว่า สิ่งที่เราพร่ำพูดไปมันมีประโยชน์ มันมีสาระอะไรหรือเปล่า หรือสิ่งที่เราพูดไป มันเป็นแค่เพียงเพราะเราอยากจะบ่น อยากจะพูด เพื่อตอบสนองความต้องการของเราเท่านั้น 

ถ้าหากมันเป็นแค่เพียงเพราะเราอยากจะบ่น มันก็เป็นอะไรที่ป่วยการ เป็นอะไรที่ไม่เกิดประโยชน์ สิ่งที่เราพร่ำเพ้อพูดไปมันก็กลายเป็นอะไรที่น่าเบื่อ น่ารำคาญ แทนที่อะไรที่เราพูดไป คนที่ฟังเค๊าจะเก็บเอาไปคิด เก็บเอาไปไตร่ตรอง แต่เปล่าเลย มันตรงกันข้าม มันก็เลยกลายเป็นว่าคนฟัง ทำเป็นหูทวนลมไปเลย สรุปว่าคนที่พร่ำพูด พร่ำบ่น มันก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรขึ้นเลย เพราะอีกฝ่ายเค๊าไม่ได้ให้ความสนใจอะไรเลย

ดังนั้นคนที่ชอบพร่ำพูด นั่น นี่ โน่น ก็ต้องดูด้วยว่า สรุปแล้วไอ้ที่เราพูดๆอะไรลงไปเนี๊ยะ มันมีคนฟังเรามั๊ย มันเกิดประโยชน์อะไรหรือเปล่า หรือมันเสียเวลาเราเฉยๆ ถ้าพูดไปแล้ว พร่ำไปแล้ว มันไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรเลย สู้เราเลิกพร่ำพูด พร่ำบ่นจะดีกว่ามั๊ย มันน่าจะดีสำหรับทั้ง 2 ฝ่ายนะ ทั้งคนพูดและคนฟัง คนพูดเองก็จะได้ไม่ต้องเปลืองพลังงานและเสียเวลาในการพูด ป่วยการที่จะพูด

ดังนั้นถ้าเราคนที่เป็นผู้ใหญ่ ถ้าเห็นเด็กๆคนใหนทำเป็นหูทวนลมเวลาเราพูด เราเองก็ต้องพิจารณาตัวเองแล้วหละว่าเราหนะขี้บ่นอะไรเกินไปหรือเปล่า ถ้าเราปล่อยวางได้ เลิกพูด เลิกบ่นจะดีกว่ามั๊ย...