Saturday, October 31, 2015

นอนคอยวาสนา


เคยได้ยินมั๊ยเอ่ย มีหลายๆคนชอบพูดว่า “เวลาจะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งอย่าง” ได้ยินคำพูดแบบนี้ มันฟังๆดูแล้วก็เหมือนพวกคนสิ้นหวังหรือคนที่ไม่คิดจะทำอะไรเลย เพียงเพราะคิดว่า ตนเองทำอะไรไม่ได้…จึงเลือกที่จะใช้เวลาเป็นข้ออ้าง ว่าอย่างไรเสีย เวลาจะทำหน้าที่เปลี่ยนแปลงทุกๆสิ่งอย่าง…ด้วยตัวของมันเอง 

เปรียบได้กับการที่เราซื้อเมล็ดพืชมาหนึ่งถุง เราหวังที่จะรับประทานผลของมัน แต่เมื่อเราได้เมล็ดของมันมาแล้ว หากเราไม่ยอมทำอะไรกับเมล็ดนั้น ไม่ยอมเอามันออกมาจากถุง ไม่ยอมเตรียมดินผสมปุ๋ยให้มัน และไม่ยอมปลูกมันลงไปในกระถาง ท้ายที่สุดเมล็ดนั้นก็ยังคงเป็นเมล็ดอยู่อย่างนั้น ไม่มีวันที่จะเจริญเติบโต ออกกดอกออกผลไปได้อย่างแน่นอน

ไม่ต่างไปจากชีวิตของคนเรา… สิ่งที่เราทำ มันจะเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง แต่สิ่งที่เราไม่ทำ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ใหนมันก็จะเหมือนเดิมอยู่อย่างนั้น…

มนุษย์ทุกคนบนโลกนี้มีความเหมือนกันในจุดที่ สามารถคิดได้ว่าสิ่งใดควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ หรือสิ่งใดทำแล้วจะมีโอกาสประสบความสำเร็จ สิ่งใดทำแล้วอาจล้มเหลว…แต่สิ่งที่ทำให้มนุษย์แต่ละคนแตกต่างกันคือการเอาชนะความคิดนั้นด้วยการกระทำ…


หลายๆคนมักจินตนาการถึงแต่ความคิดที่สวยงามไว้เสมอ มีเพียงส่วนน้อยที่จะลุกขึ้นมาทำตามที่ตัวเองคิดอย่างจริงจัง เหตุผลที่เป็นเช่นนี้เพราะมนุษย์ส่วนใหญ่ไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลง จึงไม่กล้าที่จะลงมือทำสิ่งต่างๆ… ทำไมมนุษย์ส่วนใหญ่ถึงไม่กล้าที่จะเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงหละ?... นั่นก็เพราะพวกเค๊าคิดว่า การเปลี่ยนแปลงมันเสี่ยง หากเค๊าลงมือทำบางสิ่งบางอย่างลงไป มันอาจจะเปลี่ยนแปลงออกมาในทางที่ดีหรือไม่ดีก็ได้…คนส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะอยู่เฉยๆอย่างที่ตัวเองเป็น โดยที่ไม่ยอมทำอะไรเลย แม้ตัวเองคิดว่าถ้าได้ทำอะไรในสิ่งนั้นแล้วชีวิตจะมีโอกาสเจริญก้าวหน้าขึ้นก็ตาม 

อย่าหยุดความคิดดีๆเอาไว้เพียงเพราะความขลาดกลัว ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกไม่มีใครสามารถเนรมิตรขึ้นมาได้ มันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเวลาที่เปลี่ยนแปลงไป แต่มันเกิดขึ้นเพราะการกระทำของเราเอง… 

จงเอาชนะความกลัวของเรา แล้วกล้าที่จะลงมือทำในสิ่งที่คิด “ทุกอย่างบนโลกนี้ไม่มีสิ่งใดที่จะการันตีได้ว่า เมื่อเราทำสิ่งนั้น เราจะประสบความสำเร็จ 100% เพียงแต่ถ้าเราไม่ทำ โอกาสสำเร็จจะเป็น 0% แน่นอน…”


แล้วคุณหละ เป็นพวก “นอนคอยวาสนา” หรือเปล่า 

Saturday, October 24, 2015

ถูกที่ถูกเวลา


“ถูกที่ถูกเวลา”... มันเป็นคำหรือวลีสั้นๆที่แฝงแง่คิดและคำสอนอะไรหลายๆอย่างเลยทีเดียว ทั้งในแง่ของการพูด การกระทำ และการคิด ซึ่งหากผู้ที่เข้าใจและปฏิบัติให้สอดคล้องกับมัน คือ พูดให้ถูกที่ถูกเวลา ทำให้ถูกที่ถูกเวลา และ คิดให้ถูกที่ถูกเวลา…จะคิดจะทำอะไรก็จะเจอแต่สิ่งที่ดีๆ

เราเองก็เป็นอีกคนหนึ่งที่เห็นด้วยและยึดถือปฏิบัติตามคำดังกล่าว วันนี้เราก็เลยถือโอกาสที่จะเขียนอะไรที่เกี่ยวกับการกระทำและการพูดที่ “ถูกที่ถูกเวลา” เพื่อให้คนอื่นได้อ่านกันมั่ง และเชื่อว่าหากใครได้ปฏิบัติตามแนวทางเหล่านี้แล้ว ไม่ว่าใครจะทำอะไรก็ตาม…โอกาสที่จะเจอคำว่า 
พลาด นั้นมีน้อย

“ไม่สัญญาอะไรใดๆ ในช่วงที่มีความสุข”

ช่วงชีวิตที่เรียกว่า “มีความสุข” ถือว่าเป็นช่วงที่พิเศษที่สุดสำหรับมนุษย์เราแล้วครับ มันเป็นอารมณ์ที่มนุษย์ทุกคนต่างแสวงหา และเมื่อเราตกอยู่ในอารมณ์หรือความรู้สึกนี้แล้ว อะไรทุกอย่างมันก็ดูสวยงาม โลกสีชมพูไปหมด เชื่อสิครับไม่ว่าคนอื่นจะพูดเรื่องน่าเศร้า หรือยั่วโมโหอะไรยังไง เราก็จะไม่โกรธไม่โมโหอะไรง่ายๆ นอกจากนั้น หากมีใครมาขออะไรจากคนที่กำลังมีความสุข คนที่ตกอยู่ในอารมณ์สวยงาม อารมณ์สีชมพูแบบนี้ก็มักจะยอมและชอบให้คำมั่นสัญญาอะไรสวยหรูไปหมด…

เรื่อง สัญญา ก็เช่นกันครับ “ทำไมจึงไม่ควรสัญญาใดๆกับใคร ในขณะที่เรามีความสุข” นั่นก็เพราะอารมณ์ที่เรียกว่า“มีความสุข”เป็นอารมณ์หนึ่งที่ไม่ต่างไปจากอาการ “เมา”…เช่นเดียวกัน เคยสังเกตุมั๊ยครับว่าคนเมา ไม่ว่าจะเมาเหล้า เมาบุหรี่ หรือสิ่งเสพติดทั้งหลายอะไรก็ตามแต่ เมื่อเราพูดเราขออะไรเค๊า หรือให้เค๊าสัญญาอะไรนะ เค๊าแทบจะไม่ปฏิเสธอะไรเราเลย เพราะพวกเค๊ากำลังเพลิดเพลินไปกับอาการ “เมา” จนขาดความยั้งคิดและเหตุผลประกอบในการตัดสินใจ ไม่ว่าใครจะพูดอะไรก็จะเห็นด้วยไปหมด...


ซึ่งไม่แตกต่างไปจากคนที่กำลัง “มีความสุข” สักเท่าไหร่นัก เพราะอารมณ์นี้มันทำให้คนเราเพลิดเพลิน จนขาดความยั้งคิดได้เช่นเดียวกัน เพราะเรากำลังอยู่ในอารมณ์ของโลกสวย โลกสีชมพู ดังนั้นถ้าเราไปให้คำมั่นสัญญาอะไรกับใครไว้ในช่วงที่อยู่ในอารมณ์แบบนี้ โอกาสที่เราจะผิดสัญญากับเค๊าก็อาจจะเป็นไปได้สูง เพราะด้วยความเพลินเพลินกับความสุขในตอนนั้นทำให้คนส่วนใหญ่ที่ตกอยู่ในอารมณ์เหล่านี้คิดไม่ถี่ถ้วนว่าสิ่งที่ตัวเองไปให้คำมั่นสัญญาอะไรกับใครเอาไว้นั้นจะทำได้หรือไม่ เราจะรักษาคำมั่นสัญญาอะไรได้มั๊ย มันเป็นการสัญญาที่ไม่ได้ใช้เหตุผลเป็นที่ตั้งสักเท่าไหร่ แต่เป็นการสัญญาโดยใช้อารมณ์ล้วนๆ อารมณ์โลกสวย อารมณ์โลกสีชมพู

“ไม่ตอบโต้ ในขณะที่กำลังโกรธ”

อารมณ์ “โกรธ” เป็นอารมณ์หนึ่งที่รุนแรงและฉุนเฉียว เราเชื่อว่าไม่มีใครที่ไม่เคยผ่านช่วงอารมณ์นี้มาก่อน ลองสังเกตุดูนะ หากเราโกรธใครสักคนในหัวและความคิดของเราจะมีแต่ความคิดในทางลบกับคนๆนั้น

การที่เราไม่ควรตอบโต้อะไรใครในขณะที่เรากำลังโกรธ นั่นก็เพราะว่าในยามที่เราโกรธ เราจะทำอะไรลงไปโดยไม่คำนึงถึงผลของการกระทำที่ตามมาเท่าไหร่นัก ในยามที่เราโกรธหรือหงุดหงิด สิ่งที่ควรทำที่สุดคือการสงบนิ่งและสงบสติอารมณ์ เพราะหากเราตอบโต้อะไรลงไปในเวลาที่เราโกรธ ไม่ว่าจะด้วยการใช้กำลัง หรือด้วยคำพูดก็ตาม ผลที่จะได้รับย่อมไม่ใช่ผลดีสักเท่าไหร่

“ไม่ตัดสินใจ ในขณะที่เรากำลังเศร้า”

คนเราไม่ควรตัดสินใจอะไรในขณะที่กำลังโศกเศร้าหรือเสียใจ…นั่นก็เพราะว่าเวลาที่คนเรามีอาการโศกเศร้าหรือเสียใจกับเรื่องอะไรสักอย่าง คนเรามักขาดสติและชอบที่จะประชดประชันตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ก็อาจจะตัดสินใจหรือทำอะไรลงไปโดยไม่คิดคำนึงถึงผลกระทบที่จะตามมาเท่าไหร่นัก... ไม่ต้องอะไรอื่นไกลเลย เราลองสังเกตุจากคนที่อกหักรอบๆตัวเราดูนะ คนอกหักจะมีอาการโศรกเศร้า และหลายๆคนมักจะทำอะไรลงไปด้วยการประชดประชันตัวเอง เช่น ไม่ยอมทานอาหารจนตัวเองผอมซูบโดยไม่คิดถึงสุขภาพตัวเอง เสพยาเสพติดเพื่อประชดรักโดยไม่มองถึงผลเสียที่จะตามมา อย่างนี้เป็นต้น

ดังนั้นหากเราอยู่ในภาวะเสียใจหรือโศกเศร้า สิ่งที่ควรทำคือการสงบสติอารมณ์ หากมีเรื่องที่ต้องคิดหรือต้องตัดสินใจ เราต้องตั้งสติให้มั่นแล้วถามตัวเองเสมอว่าการตัดสินใจอย่างนี้ใช่การประชดตัวเองหรือเปล่า ลองมองถึงผลที่จะเกิดว่าทำให้ตัวเองดีขึ้นหรือจะทำให้ตัวเองแย่ลง

การทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ถูกที่ ถูกเวลา เป็นสิ่งสำคัญนะครับ…หากเราไม่อยากขึ้นชื่อว่าได้ทำอะไร “พลาด”ไป…เราควรตระหนักไว้ว่า

“ไม่สัญญาอะไรใดๆ ในช่วงที่มีความสุข

ไม่ตอบโต้ ในขณะที่กำลังโกรธ

ไม่ตัดสินใจ ในขณะที่เรากำลังเศร้า”



Friday, October 9, 2015

ความพยายาม


ตอนนี้เรา “กำลังพยายาม” ที่จะทำอะไรอยู่หรือเปล่าเอ่ย…ถ้าใช่ เราก็หวังใจว่าบทความบทนี้จะสามารถสร้างพลังและกำลังใจให้แก่ใครบางคน…ไม่มาก ก็น้อย…นะครับ

เราเคยสังเกตุมั๊ยว่า คนที่ประสบความสำเร็จในสิ่งที่เค๊าคาดหวัง พวกเค๊าเหล่านั้นใช้ความพยายามมากกว่า 90% เพื่อให้ได้มาในสิ่งที่เค๊าต้องการ ส่วนอีก 10% ที่เหลือ อาจจะเป็นโชคชะตา วาสนา โอกาส หรืออะไรก็ตามแต่ซึ่งไม่ใช่ปัจจัยที่คนเราจะสามารถควบคุมมันได้…

Thomas Edison, เป็นนักประดิษฐ์ที่โด่งดังคนหนึ่งของโลก เค๊าเป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องจากทั่วโลกว่าเป็น หนึ่งใน 100 คนที่สำคัญที่สุดในช่วง 1,000 ปีที่ผ่านมา เหตุที่ทุกคนให้การยกย่อง 
Thomas Edison ก็เพราะเค๊าได้ประดิษฐ์สิ่งของและมีสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์ต่างๆเป็นจำนวนมากถึง 1,200 ชิ้น และมีหลายๆชิ้นเลยครับ ที่คนปัจจุบันยังคงใช้ประโยชน์จากมันอยู่ อย่างเช่น “หลอดไฟ”…

เมื่อพูดถึงหลอดไฟแล้ว สิ่งประดิษฐ์ชิ้นนี้ถือว่าเป็นชิ้นสำคัญของเค๊าเลยก็ว่าได้ เพราะนอกจากมันจะได้มาอย่างยากลำบากแล้ว มันยังเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่สร้างประโยชน์ให้กับมนุษย์เราอย่างมหาศาล และสิ่งประดิษฐ์ชิ้นนี้ก็เช่นเดียวกันครับ ที่สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ ของนักประดิษฐ์คนนี้ได้ดีที่สุดเลย 

เหตุที่เรากล่าวว่าผลงานชิ้นนี้สะท้อนถึงความพยายามของ
เค๊าได้เป็นอย่างดีนั้น นั่นก็เพราะว่างานประดิษฐ์หลอดไฟของเค๊านั้นไม่ง่ายเลยครับ เพราะเค๊าใช้เวลาในการทดลองมันอย่างยาวนาน นับครั้งแล้วเกินกว่า 10,000 ครั้ง จนมีนักข่าวถามเค๊าว่า เค๊าไม่รู้สึกย่อท้อบ้างเลยเหรอ หรือรู้สึกว่ามันล้มเหลวบ้างเลยเหรอ แต่เค๊ากลับตอบพวกนักข่าวไปด้วยหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสว่า การที่เค๊าทำไม่สำเร็จมากว่า 10,000 ครั้ง นั่นเค๊าไม่ถือว่ามันเป็นความล้มเหลวหรอกนะ แต่นั่นมันคือการค้นพบวิธีที่จะทำให้ไม่สำเร็จถึง 10,000 วิธีต่างหากหละ ซึ่งเมื่อเค๊าสามารถหลีกเลี่ยงวิธีการพวกนั้นได้ เค๊าก็จะทำการทดลองได้สำเร็จในที่สุด

และนี่คือผลของความพยายามของ Thomas Edison ครับ เค๊าเป็นนักวิทยาศาสตร์อีกผู้หนึ่งที่มีความเชื่อมั่นในความพยายามเป็นอย่างยิ่ง ครั้งหนึ่งเคยมีนักข่าวมารุมถามเค๊าว่าเค๊าคิดอย่างไร กับการที่ตัวเองถูกขนานนามจากคนทั่วไปว่าเป็นอัจฉริยะ…

เค๊าบอกว่า…อัจฉริยะในความหมายของเค๊า ประกอบด้วยไปด้วยพรสวรรค์เพียงแค่ 1% ส่วนอีก 99% มาจากความพยายาม Thomas Edison มีความพยายามครับ ไม่ใช่แค่ความพยายามธรรมดาด้วยนะเพราะถึงแม้ว่าเค๊าจะทำอะไรไม่สำเร็จในครั้งแรก เค๊าก็ยังลุกขึ้นมาทำในครั้งที่สอง ครั้งที่สาม ครั้งที่สี่ และครั้งต่อๆไป โดยไม่ย่อท้อ จนสุดท้ายเค๊าก็ประสบความสำเร็จ…และนี่แหละครับ คือความพยายามที่ทำให้คนทั่วไปมองเขาว่าเป็นอัจฉริยะ

นอกจาก Thomas Edison จะเป็นที่น่ายกย่องในเรื่องของความพยายามแล้ว สิ่งที่ทำให้
เค๊ามาถึงจุดที่ประสบความสำเร็จได้อีกประการหนึ่งก็คือ “วิธีการคิด” ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากครับ เค๊าคิดในแง่บวกเสมอ…เค๊ามองสิ่งที่ทุกคนเรียกว่าความล้มเหลว เป็นบทเรียน…นั่นก็คือ การทดลองที่ผิดพลาด ถ้าหากเค๊ามองว่าการทดลองที่ผิดพลาดนับหมื่นๆครั้งเป็นความล้มเหลวอย่างที่คนทั่วไปโดยส่วนใหญ่มองกัน ป่านนี้เราก็คงไม่มีหลอดไฟใช้กันอย่างแน่นอน แต่ Thomas Edison กลับมองว่า การทดลองที่ล้มเหลวนั้น เป็น “การค้นพบวิธีการทดลองใหม่ ที่จะทำให้ไม่สำเร็จ”…เมื่อคิดได้เช่นนี้ มันทำให้ดูเหมือนว่า ยิ่งทดลองก็ยิ่งได้ประโยชน์…ถ้าไม่ได้ความสำเร็จ ก็ได้รู้วิธีที่ทำแล้วล้มเหลวเผื่อจะได้ไม่ทำอีก… 

ซึ่งด้วยความคิดแบบนี้เอง ทำให้การทดลองของเค๊าแม้จะล้มเหลวสักกี่ครั้ง เขาก็จะไม่ย่อท้อที่จะทำมันต่อไป มันเป็นการสร้างพลังที่ดีมาก ดังนั้น “การคิดบวก” ก็ถือเป็นพลังที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งเช่นกันครับ ที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ 

ใครก็ตามที่กำลังพยายามทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่…เราพบเจอความล้มเหลวมากี่ครั้งแล้ว…มากเท่า Thomas Edison หรือยัง 

ถ้ายัง เราก็ควรที่จะพยายามต่อไป

หากเราคิดว่าทางที่เรากำลังเดินไปอยู่นั้นเป็นทางที่ถูกต้องแล้ว ก็แนะนำให้เดินต่อไปนะครับ อย่าหวาดหวั่นกับอุปสรรคปัญหาต่างๆ เพราะความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมเกิดขึ้นได้หลังจากการฝ่าฟันปัญหาอุปสรรคต่างๆ…ความสำเร็จเหล่านั้น อาจเกิดขึ้นห
ลังจากการฝ่าฟันปัญหาอุปสรรคต่างๆหรือความล้มเหลวครั้งที่ 99 หรือครั้งที่ 10,000 ก็อาจเป็นได้…อย่าท้อแท้ที่จะต้องเจอกับอุปสรรคขวากหนามที่ขวางกั้นอยู่ข้างหน้า เก็บความล้มเหลวเหล่านั้นมาเป็นประสบการณ์ มาสอนตัวเอง เพื่อต่อยอดไปสู่เส้นทางของความสำเร็จต่อไป

คนเราจะประสบความสำเร็จได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นอัจฉริยะเสมอไป คนเราสามารถประสบความสำเร็จได้เพราะความพยายามก็มีเยอะแยะ ถมเถไป

แล้วเราหละ....วันนี้ได้พยายามทำอะไรมั่งหรือยัง...

Sunday, October 4, 2015

ดี ชั่ว อยู่ที่ตัวทำ


สืบเนื่องมาจากเมื่อเดือนที่แล้วที่เราได้กลับไปเมืองไทย เราก็ได้มีโอกาสได้เจอะเจอผู้คนในครอบครัวและญาติๆที่ได้เดินทางไปงานแต่งงานที่จังหวัดแถวๆภาคใต้ด้วยกัน พวกเราก็พักกันที่โรงแรมเดียวกัน เพราะงานแต่งก็จัดกันที่นั่น เนื่องด้วยเราได้อยู่รวมๆกันพร้อมหน้าพร้อมตากับคนในครอบครัวและญาติๆ เราก็ได้สังเกตุเห็นการเปลี่ยนแปลงของหลานๆเราคือ ตอนนี้เค๊าโตกันหมดแล้ว เรียนจบกันหมดแล้ว ทำงานกันไปหมดแล้ว ไม่มีอีกต่อไปแล้วเด็กๆตัวเล็กๆไปโรงเรียน ไปทำกิจกรรมหลังเลิกเรียนกับเพื่อนๆ กิจกรรมของหลานๆที่นานๆทีได้มาเจอกันตอนนั้คือการไป "ดื่มเหล้า" กันตามร้านๆใกล้ๆโรงแรม

เราก็ไม่ได้ไปด้วยกับเค๊าหรอกหนะ แต่วันรุ่งขึ้นพวกน้าๆก็จะแซวหลานๆเรื่องการดื่ม เพราะรู้สึกว่านี่เป็นการรวมตัวกันที่แบบครบเครือญาติจริงๆ เราก็ไม่ได้คัดค้านเรื่องการดื่มเหล้าหรอกนะ ถึงแม้จะไม่เห็นด้วยก็ตาม ก็คิดว่าเด็กๆหลานๆโตกันหมดแล้ว ก็คิดว่าอะไรดี อะไรไม่ดีให้เค๊าคิดกันเอาเองก็แล้วกัน เราก็คงจะแค่ทำตัวเป็นตัวอย่างของเราต่อไป คือไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ แต่เราไม่จำเป็นต้องไปบังคับหรือบ่นอะไรกับเด็กๆหลานๆกัน เค๊าโตๆกันหมดแล้ว เค๊าคิดเองได้ บางทีบอกไปก็แค่นั้นแหละ

ที่น้าๆแซวพวกหลานๆก็เพราะว่ามีหลานคนหนึ่ง อายุน้อยที่สุดและก็เริ่มทำงานได้ประมาณแค่ปีกว่าๆเอง เริ่มจะมีรายได้เป็นของตัวเองได้ไม่นาน ก็เลยเกิดการแซวกันบ้างเล็กน้อย ส่วนเราก็ได้แต่นั่งฟัง เพราะไม่อยากให้เสียบรรกาศในการพูดคุย ต่อให้เราเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยเรื่องของการดื่มเหล้าก็ตาม สิ่งที่หลานเราตอบน้าๆกลับมา ซึ่งก็เป็นแบบทีเล่นทีจริงแหละนะว่า "เชื้อพ่อเค๊าแรง" พอเราได้ยินประโยคนี้จากหลาน เราก็เกิดฉุกคิดขึ้นมาว่า เออ ไม่จริงนะ คนเรามันจะดี จะชั่ว มันอยู่ที่ตัวทำหนิ ไม่ใช่เกี่ยวอะไรกับคนอื่น ไม่ได้เกี่ยวว่าเชื้อพ่อจะแรงหรือเปล่า

ก็เข้าใจนะว่าหลานเราก็แค่พูดเล่นเฉยๆ ไม่ได้ซีเรียสอะไรมากมาย แต่ก็อยากจะเอามาฝากเป็นแง่คิดกับหลายๆคนว่า คนเรานะเกิดมา ดี ชั่ว อยู่ที่ตัวทำแหละ เราจะคิดจะทำอะไร ก็ไม่ต้องไปพาดพิงถึงคนอื่น เพราะเค๊าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรในการตัดสินของการกระทำของเรา