Thursday, January 26, 2017

เมื่อศักยภาพของเราถูกมองข้าม


คนเราหากเราทำความดีอะไรไปแล้ว
แล้วคนอื่นมองไม่เห็นค่า
แล้วคนอื่นประเมินค่าเราต่ำ
คนอื่นไม่ appreciate ความดีหรือความสามารถของเรา

ศักยภาพของเราถูกมองข้าม

เราเองก็หมดแรงและกำลังใจที่จะเดินหน้าต่อไปก็เป็นได้

จิตใจและความรู้สึกเป็นอะไรที่ละเอียดอ่อน
เข้าใจยาก
ซับซ้อน

แต่ก็อย่างว่าละนะ
จิตใจเขา กับจิตใจเรา ไม่เหมือนกัน
เราไปบังคับใครไม่ได้

ก็คงต้องปล่อยให้เวลา และอะไรหลายๆอย่าง เป็นเครื่องพิสูจน์
ในความสามารถ และศักยภาพในตัวเรา

ได้แต่บอกตัวเองว่า ไม่เป็นไรนะ
เดี๋ยวฉันจะทำให้ดู

เหนื่อยกับการที่ต้องเป็นผู้ให้ตลอด

Thursday, January 19, 2017

ความเหลื่อมล้ำต่ำสูง ของสังคม



เหตุเกิดที่สถานที่ราชการที่เมืองไทยแห่งหนึ่ง
เรากับน้องสาว นั่งรอทำเรื่องเอกสารอะไรสักอย่าง


มีพี่ชายคนหนึ่ง มาติดต่องานราชการกับคุณแม่
พี่ชายคนนี้ แต่งตัวธรรมดา เป็นชาวไร่ ชาวนา
คุณแม่เองยิ่งแต่งตัวธรรมดา เป็นคนสูงอายุ เป็นชาวไร่ ชาวนา
ไม่ได้แต่งตังภูมิฐานอะไร
คือดูออกว่าเป็นคนไม่ได้มีฐานะอะไรเลย

เจ้าหน้าที่พนักงานไม่ได้ให้ความต้อนรับเท่าที่ดี เท่าที่ควร
ตรงกันข้าม ตวาดพี่ชายคนนั้นกับคุณแม่ว่าเซ็นเอกสารผิด

"อ่านเอกสารมาหรือเปล่า อ่านฟอร์มเป็นใหม"

บอกได้เลยว่า พี่ชายคนนี้ กับคุณแม่ เป็นชาวบ้าน ชาวไร่ ชาวนา
คนธรรมดา สามัญชน อาจจะไม่ได้เรียนหนังสือมาสูงๆ

อาจจะอ่านหนังสือไม่ได้
บางคนบอกว่ามีด้วยเหรอ ที่คนอ่านหนังสือไม่ได้ อ่านหนังสือไม่ออก

มีสิ ต่างจังหวัด มีเยอะแยะ

พนักงานก็บอกพี่ชายคนนั้นกับคุณแม่บอกว่า มีโต๊ะสีเหลืองอยู่ด้านหน้า ช่วยกรอกเอกสารอะไรประมาณนี้

พนักงานเองก็ย้ำเหลือเกินว่า “นี่เธอ อ่านหนังสือได้หรือเปล่า”
โดยที่รู้ทั้งรู้ ว่าเขาคงอ่านไม่ได้


พี่ชายกับคุณแม่ ทั้ง 2 ท่าน ทำหน้าตาเหลอหรา ทำอะไรไม่ถูก
ต้องถอยออกมา ตั้งต้นใหม่ แหลซ้ายมองขวา มองหาโต๊ะเหลืองอะไรนั่น

เราเองทีแรกอยากจะเข้าไปช่วย อยากจะเข้าไปอาสาอ่านเอกสารและช่วยแกกรอกฟอร์มเหลือเกิน

แต่เราก็เออนะ ไม่กล้า เพราะเราเองได้รับการบริการอย่างดีจากพนักงานเหล่านั้น

คนรอคิวเยอะมาก แต่งานเราเร็ว
เราก็กล้าไปฉีกหน้าพนักงานราชการคนนั้น เพราะเราคงมีความ “เห็นแก่ตัว”

อยากจะเอาเรื่องของตัวเองให้เสร็จก่อน

เรา “ขี้ขลาด” เกินไปหรือเปล่านะ พี่ไม่ได้เข้าไปช่วย

ณ ตอนนั้น เราต้องการงานเอกสารของเราให้เสร็จ เพราะของเราทำเร็วมาก 2 ชั่วโมงเสร็จ

แม่และคนรอบข้างบอกเรา ถ้าเอกสารไม่ครบ นั่น นี่ โน่น บางคนต้องกลับมาแล้ว กลับมาอีก
2-3 วันกว่าจะเสร็จ


ไอ้เราก็กลัว กลัวไม่เสร็จ เพราะเราเองก็ไม่มีเวลามาเอื้อระเหยลอยชาย งานเราก็เยอะ อยากกลับบ้าน มานั่งทำงานต่อ

สรุปแล้ว พี่ชายคนนั้นกับคุณแม่ เขาก็คงเป็นกลุ่มคนพวกที่ต้องมาหลายวันใช่มั๊ย
คือพวกที่ต้องมาก 2-3 วันใช่มั๊ย

ตอนที่เราเสร็จธุระจากสถานที่ราชการที่นั่น เราดีใจ เรื่องเราเสร็จเร็ว

เราอยากรีบกลับบ้าน เราอยากรีบมาทำงานของเราต่อ

พอตกตอนเย็น เราขับรถออกไปซื้อกับข้าว บอกได้เลยว่า เป็นการขับรถที่ทรมานมาก

เพราะในความคิดมันคิดตลอดเลยว่า

จริงๆแล้ว เราสามารถเข้าไปช่วยพี่ชายคนนั้นได้นะ ช่วยเขาอ่าน ช่วยเขากรอก เราทำไมไม่ทำ


เออ เวลาและสายน้ำมันไม่ไหลย้อนกลับจริงๆนะเนี๊ยะ
เราย้อนเวลากลับไปช่วยพี่เาไม่ได้
เรารู้สึกแย่บ้างเล็กน้อย


หรือว่าเรากลายเป็นคนที่เห็นแก่ตัว เห็นแต่งาน ไม่มีเวลาแม้แต่จะช่วยเหลือมนุษย์ในยามยากไปแล้วเหรอเนี๊ยะ


บทเรียนชีวิตในครั้งนี้คือ
ถ้าเจออะไรแบบนี้อีก เราจะไม่ลังเลเลยที่เข้าไปช่วย
เราจะไม่เบิกเฉย แล้วปล่อยเพื่อนร่วมโลกโดนรังแก

เบื้องบนกำลังทดสอบอะไรเราอยู่หรือเปล่า มิทราบ…

สังคมที่ใหนๆ มันก็ชั่งมีความเหลื่อมล้ำ ต่ำสูงจริงๆนะ
ไม่ว่าที่เมืองไทยหรือต่างประเทศ...ไม่แตกต่าง