Wednesday, December 26, 2018

Steal Like An Artist


"Steal Like An Artist"

Steal Like An Artist เป็นหนังสือที่คนสร้าง content หลาย ๆ คนพูดถึงกัน เราก็เลยหามาอ่านบ้าง แต่เล่มนี้เราไม่ได้ซื้อ เรายืมมาจากห้องสมุด

เล่มนี้เป็นหนังสือเล่มเล็ก ๆ 
140 หน้า
เราอ่านภายใน 2 seatings จบภายในวันเดียว
เบ็ดเสร็จก็ประมาณ 2-3 ชั่วโมงนะ เป็นหนังสือที่อ่านง่าย ไม่ค่อยมีอะไรมาก

เนื้อหาของหนังสือก็ประมาณว่า พวก creator ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น artist หรืออะไรก็ตามแต่ เขาบอกว่าให้ "ลงมือทำทันที" ไม่ต้องคิดเยอะ และไอเดียอะไรต่าง ๆ เราก็เอามาจากหลาย ๆ ที่มารวมกัน กลายเป็น idea ของเรา อย่างที่ชื่อหนังสือก็บอกว่า "Steal Like An Artist"

ดังนั้นเราต้องศึกษาหรือดูจากคนอื่นเยอะ ๆ 
แต่ไม่ต้องไปลอกเลียนแบบแบบเป๊ะ ๆ ไปซะทุกอย่าง

คนเขียนกล่าวเอาไว้ว่า จริง ๆ แล้วมันไม่มีไอเดียอะไรที่เป็น original หรอก ไอเดียอะไรต่าง ๆ มันเคยเกิดขึ้นหรือมีมาแล้ว เพียงแต่ว่าเรายังไม่เคยเห็นหรือไม่เคยเจอ ก็แค่นั้นเอง 

ดังนั้นพวก creator ทั้งหลาย ไม่ต้องคิดนาน ไม่ต้องคิดเยอะ
ให้ลงมือทำ แล้วทุกอย่างก็จะปะติดปะต่อเป็นรูปเป็นร่างของมันเอง อะไรประมาณนี้

หนังสือเล่มนี้อ่านง่ายครับ อ่านวันเดียวจบเพราะมันเป็นเล่มเล็ก ๆ เอง สำหรับ content creator ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น YouTuber, blogger หรือ Vlogger ก็ลองไปหามาอ่านกันดูนะครับ

Monday, November 26, 2018

เมื่อเราเลิกที่จะแบก


"เมื่อเราเลิกที่จะแบก"

ชีวิตคนเรา ถ้าเดินทางมาถึงจุดจุดหนึ่งของชีวิต
อาจจะด้วยคุณวุฒิหรือวัยวุฒิ เราก็เริ่มที่จะ "ไม่แบก" อะไรหลาย ๆ อย่าง

เราเลือกที่จะไม่แบกทุกข์
เราเลือกที่จะไม่แบกโลกทั้งใบเอาไว้บนบ่า บนหลังของเรา
เราเลือกที่จะปล่อยวาง

เรื่องบางเรื่อง เราเลือกที่จะให้มันผ่านเข้ามา แล้วก็ผ่านไป

เมื่อเราเลือกที่จะไม่แบก เราก็เริ่มรู้สึกเบา
ชีวิตไม่มีพันธะใด ๆ
มันก็จะกลายเป็นชีวิตที่ปล่อยวาง
มันก็จะกลายเป็นชีวิตที่มีความสุข
มันก็จะกลายเป็นชีวิตที่เบา

ปัญหาอะไรทุกสิ่งอย่างที่มันผ่านเข้ามาในชีวิต
เราก็ให้มันจบไปในวันนั้น เราจะไม่แบกเอาปัญหาอะไรต่าง ๆ มาย้ำคิดย้ำทำจนถึงอีกวัน

เมื่อไหร่ที่เราเข้านอน
พอตื่นมาอีกวันรุ่งขึ้น มันคือวันใหม่
มันคือการเริ่มต้นอะไรในชีวิตที่ดี ที่ใหม่
เราจึงเลือกที่จะไม่แบกทุกข์ แบกอะไรข้ามคืน

ชีวิตมันก็จะเบา และมีความสุข

สุขที่สุด ณ จุดที่เป็น

Wednesday, November 21, 2018

Minimalism


เราเคยเห็นหนังสือ “Minimalism” วางขายที่ร้านขายหนังสือ แต่เราก็ยังไม่มีเวลาซื้อมาสักที

แต่เนื่องด้วยเราเป็นเด็กอักษรญี่ปุ่น เราก็พอจะเดาได้ว่าหนังสือเล่มนี้เกี่ยวกับอะไร มันก็คงเป็นวิถีชีวิตแบบเซน

หรือถ้ามองในแง่ของพุทธะ
มันก็คือการปล่อยวาง
ไม่ยึดติด
ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วเราก็พยายามเริ่มใช้ชีวิตแบบนั้น คนเราพอชีวิตมันมาถึงจุดจุดหนึ่ง เราก็สามารถเลือกที่จะใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเราต้องการได้

โดยส่วนตัวแล้วเราก็ไม่เป็นคนที่ชอบซื้อของ หรือว่าสะสมอะไรอยู่แล้ว ยกเว้นหนังสือ

วัตถุสิ่งของที่อำนวยความสะดวกที่ใช้อยู่ทุกวันนี้ เราก็จะมีใช้เฉพาะที่จำเป็นจริง ๆ เราไม่ได้เป็นคนใช้ของสุรุ่ยสุร่าย หรือซื้ออะไรเข้าบ้านโดยที่ไม่จำเป็น

การที่เราไม่ยึดติดกับวัตถุสิ่งของ เราคิดว่ามันก็สามารถทำได้จากจุดเล็ก ๆ ก่อนนะ

อย่างแรกเลยพวกของเล่นลูก ๆ ที่มีเยอะแยะมากมาย อันไหนที่เขาไม่เล่นแล้ว เพราะว่าตอนนี้ก็เริ่มตัวโต ๆ กันแล้ว เราก็ให้เขาเอาของเล่นพวกนั้นไปวางไว้ที่หน้าบ้านทุกวันเสาร์ อย่างน้อยวันละชิ้น

ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป
บ้านมันก็จะเริ่มดูสะอาดตาขึ้นมาเองนะ

ส่วนตัวเราเอง พวกเสื้อผ้าบางตัวที่เราไม่ค่อยได้ใช้แล้ว ไม่ใช่เพราะว่ามันเก่า อยากจะเป็นเพราะบางที “มันมีมากเกินความจำเป็น”

ทุกครั้งที่เราหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาแต่งตัว
เราก็จะเลือกดูว่า มีเสื้อผ้าชิ้นไหนที่เราไม่ได้ใส่แล้วในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา

ถ้ามันแขวนอยู่อย่างนั้น อย่างน้อยแล้ว 1 ปีโดยที่เราไม่ได้หยิบมาใส่เลย โอกาสที่เราจะหยิบมาใส่อีกมันก็คงจะเป็นไปได้น้อยมาก เพราะถ้าเราอยากจะใส่มันเราก็คงใส่ไปตั้งนานแล้ว

วิธีที่ดีที่สุดก็คือหยิบมันออกมาแล้วเอามาแยกใส่ถุงที่จะนำไปบริจาค เราก็ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ไม่ได้ทำทุกวัน แต่ก็เมื่อไหร่ที่เห็นเสื้อผ้าของเราที่มันแขวนอยู่ แล้วเราไม่ได้ใส่มาเป็นเวลาเกิน 1 ปีแล้ว แล้วก็จะหยิบมันออกมาแยกใส่ถุงเอาไว้

ตอนนี้ที่แขวนเสื้อผ้าเรา มันก็ไม่ได้เต็มไปด้วยเสื้อผ้าเหมือนสมัยก่อนแล้ว มันดูสะอาดตาขึ้นเยอะ มันรู้สึกเบา ว่างเปล่า และมีความสุข เพราะต่อไปถ้าจะต้องย้ายบ้าน เราก็ไม่ต้องเก็บของเยอะ

ในเรื่องของเสื้อผ้า เราก็ทำเฉพาะที่เป็นเสื้อผ้าของเรานะ เราไม่แตะต้องของลูกหรือของภรรยา อันนั้นให้พวกเขาจัดการชีวิตของพวกเขาเองว่าอันไหนก็อยากเก็บ อันไหนเขาอยากจะนำไปบริจาค

มันก็อาจจะมีบ้างที่บางที เราซื้อเสื้อผ้าราคาแพง เพราะช่วงที่เป็นวัยรุ่น วัยละอ่อน ทำงานเป็นคอมพิวเตอร์โปรแกรมเมอร์ เงินมันก็จะสะพัดนิดนึง มันก็อาจจะมีบ้างที่บางทีเราก็มีเสื้อผ้าที่เอาไว้ใส่เวลาออกไปเที่ยวตอนกลางคืน

อย่างเช่นเสื้อผ้าของ Armani เป็นต้น

ที่เราเก็บเอาไว้ทุกวันนี้ เราก็คงไม่ได้ใช้แล้วล่ะ เพราะว่าสไตล์การแต่งตัวเราเปลี่ยนไป และโอกาสที่จะออกเที่ยวตอนกลางคืนเหมือนสมัยก่อนตอนที่ยังเป็นเด็กนักเรียน หรือตอนที่เป็น young programmer มันก็คงมีน้อยมากแล้ว

บางตัวเราซื้อมาแพงจริง แต่มันแขวนอยู่อย่างนั้นมาแล้ว 10 ปี ไม่ได้หยิบมาใส่อีกเลย มันก็คงถึงเวลาแล้วล่ะที่จะให้คนอื่นเขามีโอกาสใส่ Armani บ้าง อะไรบ้าง สภาพยังใหม่มาก

บางคนอาจคิดว่า ทำไมไม่เอาลงขายออนไลน์ ขายใน eBay

ก็ไม่รู้สิ เราไม่ชอบที่จะต้องมานั่งขายอะไรใน eBay  ต่อรองราคากันไปมา แล้วต้องไปส่งของที่ไปรษณีย์ เราไม่มีเวลาขนาดนั้นจริง ๆ

บริจาคนี้แหละ ง่ายที่สุด สบายใจดี
คนที่เขาเอาไปใช้ เขาคงจะมีความสุข

ททมาโน ปิโยโหติ
ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก

มันก็จะมีบ้างบางทีที่เรากลับเมืองไทย บางทีเราก็ซื้อเสื้อผ้าที่ราคาไม่แพงนะจากตลาดนัดสวนจตุจักร หรือไม่ก็มาบุญครอง MBK บางทีที่ซื้อมาเพราะว่าราคามันถูก แต่พอซื้อมาแล้วเราก็ไม่ได้ใส่ หรือใส่ไม่ถึง 5 ครั้ง เพราะจริงๆแล้วที่ซื้อมาไม่ได้ซื้อมาเพราะว่าต้องการที่จะใส่ สาเหตุที่ซื้อมาเพราะว่ามันถูก กางเกงขาสั้นบางตัว 169 บาทเป็นต้น (ไม่รู้สมัยนี้ยังหาซื้อได้หรือเปล่านะ)

ไหน ๆ เราไม่ได้ใส่แล้ว เราก็ส่งต่อเช่นเดียวกัน

ชีวิตส่วนตัวของเรา เราไม่ต้องมี spring clean เพราะเรา clean อยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว คือวันไหนหรือว่าทิศไหนที่เราเจอของที่เราไม่ได้ใช้แล้ว เราก็เอาไปบริจาคหรือว่าส่งต่ออยู่แล้ว

ค่อย ๆ ทำไป
เดี๋ยวก็เป็นนิสัย
ค่อย ๆ ทำไป
เดี๋ยวบ้านก็จะสะอาดตาขึ้น

ชีวิตเรา เราไม่ judge ใคร
ชีวิตเรา เราเลือกของเราแบบนี้
ก็ขอให้ใครอย่ามา judge เราก็แล้วกัน
แต่ถ้าใครอยากจะ judge ก็ไม่เป็นไร
นั่นมันปัญหาของเขา
ไม่ใช่ปัญหาของเรา

เลือก
ตัดสินใจ
ในสิ่งที่อยากจะทำ

กับชีวิตที่อยากจะเป็น

Monday, November 12, 2018

The 5 AM Miracle


The 5 A.M. Miracle หรือชื่อภาษาไทย "ชีวิตดีอย่างอัศจรรย์เมื่อตื่นทุกวันตอนตี 5"

เราเป็นคนที่ฟัง podcast แทบจะทุกวันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะตอนไปยิมส์หรือช่วงที่ออกไปเดินออกกำลังกายตอนเช้า และ podcast ที่เราฟังก็จะเป็นพวก self-help, self-improvement หรือไม่ก็เกี่ยวกับการทำธุรกิจ

เราได้ยินชื่อหนังสือ "The 5AM Miracle" จาก podcast พวกนี้ แต่ก็ยังไม่ได้คิดที่จะซื้อมาอ่าน เพราะเราเองก็เป็นคนตื่นเช้าอยู่แล้ว ตี 4 กว่า ๆ ก่อนตี 5 ด้วยซ้ำ เรื่อง self improvement เป็นเรื่องที่เราสนใจมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว

พอดีเราเห็น SE-ED มีหนังสือขายเป็นเวอร์ชั่นภาษาไทย ก็เลยแอบอยากได้ เพราะหนังสือภาษาไทย ราคาจะถูกกว่า

ก็พอดีมีน้องคนหนึงซื้อมาฝาก
เราขอบคุณจริง ๆ นะครับ ที่มีมิตรไมตรีที่ดีต่อกัน

หนังสือเล่มนี้ เป็นเล่มเล็ก ๆ สำหรับเรา 
234 หน้า ไม่มีปัญหาเลยในการอ่าน เราอ่านได้อยู่แล้ว

เราอ่านคืนเดียวจบ
เพราะจะอ่านแบบ skim reading
ไม่ได้หมายความว่าหนังสือไม่ดี หรือไม่ได้เห็นคุณค่าของคนที่เขาซื้อมาฝากนะครับ แต่ก็พอจะรู้ว่าหนังสือเล่มนี้ต้องการสื่ออะไร

เราเป็นคนอ่านหนังสือพวก self-help, self-improvement มาเยอะแล้วจริง ๆ ไม่ใช่ว่าอวดหรือว่าอะไร เราก็พยายามทำตัวเป็นน้ำครึ่งแก้วแหละ เปิดใจเพื่อเรียนรู้เสมอ แต่เราก็รู้ว่าเราอยู่ level ไหน 

หนังสือเล่มนี้ก็กล่าวถึงหนังสือเล่ม ๆ อื่นซึ่งเราก็เคยอ่านมาแล้วเกือบจะทั้งหมด คนเขียนเอง Jeff Sanders ก็ based on เรื่องราวต่าง ๆ จากหนังสือพวกนั้นด้วย

เราคิดว่า Jeff Sanders เองก็น่าจะเขียนหนังสือ OK อยู่นะ
แต่เราคิดว่าคนแปลมากกว่า ที่บางทีแปลมาเป็นภาษาไทยและใช้คำแปลก ๆ ไม่ได้หมายความว่าเราต้องแปลดีกว่าเขานะ แต่ก็พูดหรือเขียนในฐานะของคนอ่าน 

เราเป็นคนอ่านหนังสือภาษาอังกฤษอยู่แล้ว เราคิดว่าคำบางคำถ้าทับศัพท์ไปเลย มันก็คงจะเข้าใจง่าย (สำหรับเรา แต่อาจจะไม่ใช่สำหรับคนอ่านทั่ว ๆ ไปที่เมืองไทย ตรงจุดนี้เราเข้าใจ) มันก็เลยทำให้ขาดอรรสรสในการอ่านไปนิดหนึง แต่ก็ไม่เป็นไร เราก็พอรับได้

เนื้อหาของหนังสือเหรอ
ก็พูดถึงการตื่นเช้า
ซึ่งเราก็ตื่นอยู่แล้ว ปฏิบัติอะไรของเราอยู่แล้ว

ถ้าเป็นคนที่อ่านหนังสือเยอะ หรือฟัง podcast ที่มีประโยชน์เยอะ ๆ เรื่องการตื่นแต่เช้า ไม่ใช่แค่ Jeff Sanders เท่านั้นที่พูดถึงเรื่องนี้ คนอื่น ๆ ก็พูดถึงเรื่องนี้กันเยอะ (Tony Robbins, Tim Ferris & Pat Flynn) เราก็ลองเอามาปฏิบัติตัวเราเองด้วย จริง ๆ แล้วก็เริ่มทำอย่างจริงจังปีนี้นะ 2018 ซึ่งก็ได้ผลที่ดี

หนังสือเล่มนี้มันก็มีเนื้อหาคล้าย ๆ "Homo Finishers" ของนิ้วกลมนะ
แต่ละคนตื่นแต่เช้ามา กิจกรรมไม่เหมือนกัน
ไม่ว่าจะเป็น Tony Robbins เอง หรือคนดังระดับโลกคนอื่น ๆ 

แต่ละคนก็ต้อง fine tune หาจริตของตัวเอง

สำหรับคนที่อ่านหนังสือพวก self-help หรือ self-improvement มาเยอะแล้ว เราก็คิดว่ามันก็เฉย ๆ  นะ ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่

แต่สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้น เราก็คิดว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีนะครับ
ก็น่าจะซื้อมาอ่านดู 
220 บาท ไม่แพง ดีกว่าไปซื้อ Starbuck (ดื่มเข้าไป เดี๋ยวก็ฉี่ออกมา ไม่เห็นจะต้องดื่มอะไรที่แพงขนาดนั้นเลย ดื่มกันเป็นแฟชั่นเฉย ๆ กาแฟข้างทางดีกว่ามั้ย??)

ทุกคนมีจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง
ไม่ต้องเอาเรา (คนเขียน) ไปเป็นบรรทัดฐานของใครนะครับ
ก็ลองซื้อมาอ่านดูได้ ไม่เสียหาย... :)

Friday, October 26, 2018

To Sell Is Human


"To Sell Is Human" ของ Daniel Pink เป็น audiobook ประมาณ 5 ชั่วโมงกว่า ๆ 

เราต้องฟังถึง 2 รอบเพราะบางทีฟัง ๆ อยู่ใจมันก็เหม่อลอยไปคิดเรื่องอย่างอื่นได้ ถ้าต้องการเก็บทุกข้อมูล ทุกเกร็ดความคิด เราว่าการฟัง audiobook เล่มหนึ่ง มากกว่าหนึ่งครั้ง ก็เป็นอะไรที่ที่เราแนะนำนะครับ

ก็เพราะมนุษย์ทุกคนคือพนักงานขายอยู่แล้ว ทั้งที่รู้ตัว และไม่รู้ตัว ทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจและที่ตั้งใจ
คนเราขาย idea
ขายแรงจุงใจ
ขายการโน้วน้าวเพื่อให้คนอื่นคล้อยตาม
pursuation และก็อะไรอีกเยอะแยะมากมาย

พวกนี้เกี่ยวข้องกับเทคนิคการขายทั้งสิ้น

เราคงไม่นำเอาเนื้อหาทั้งหมดของหนังสือหรือ audibook มาเขียน ณ ตรงนี้ ใครอยากอ่านก็ลองหาซื้อกันได้เอง

แต่สิ่งที่เราได้จากหนังสือเล่มนี้ของ Daniel Pink ก็คือ

การขายที่แท้จริงคือการให้
ให้บริการ
ให้ความจริงใจ

Daniel Pink บอกว่าถ้าคิดอะไรไม่ออก ให้คิดว่าอีกฝ่ายเป็น grandma ของเรา เป็นบุคคลสำคัญของเรา ถ้าเราพูดกับ grandma ยังไง เราก็ควรจะพูดกับอีกฝ่ายแบบนั้น คือพูดอย่างจริงใจ สุภาพ นอบน้อม อ่อนโยน เหมือนอีกฝ่ายเป็น grandma ของเรา

ซึ่งเราก็คิดว่าเป็นอะไรที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้กับชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเรื่องการ interact กับคนอื่น การ treat คนรอบข้าง

ชีวิตมันไม่ต้องคิดถึงแต่เรื่องการขาย การทำธุรกิจเสมอไป
ชีวิตมันต้องหลงเหลือความเป็นคนไว้บ้าง

อีกคำหนึ่งที่ Daniel Pink พูดถึงก็คือ "Humanly" คือการพูดคุย สื่อสารกันแบบมนุษย์ มีอารมณ์ มีความรู้สึก เพราะพวกเราไม่ใช่หุ่นยนต์

ก็เป็นหนังสืออีกเล่มที่เนื้อหาดีนะครับ
ถ้าใครเป็นคนที่มีเวลาน้อยอย่างเรา ก็ลองซื้อมาเป็นแบบ audiobook อย่างที่เราทำก็ได้นะครับ

Sunday, September 30, 2018

ไม่โกรธ


กับชีวิต ก็มีบ้างเป็นบางทีที่เรารู้สึกว่าเราโดนเอาเปรียบ ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม


ไม่ว่าอีกฝ่ายจะตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ


เราก็บอกกับตัวเองว่า


ทุกสิ่งอย่างในชีวิต ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
เราจะไม่โกรธ
เราจะไม่โทษใครทั้งสิ้น
อะไรที่มันเกิดขึ้นกับเรา เราอาจจะเคยไปเอาของเขามา โดยที่เรารู้ตัว หรือโดยที่เราไม่รู้ตัว


เราให้อภัยทุกคน อย่างไม่มีข้อแม้น
หากไม่มีเขา เราก็คงไม่ได้เรียนรู้
เขาพวกนี้คือ “ครู”


เราคิดง่าย ๆ สั้น ๆ ว่า "เขาคงมีความจำเป็นมากกว่าเรา" ก็แค่นั้นเอง


เราไม่ได้โลกสวย แต่เราคิดอย่างนั้นจริง ๆ


ยิ้มให้กับชีวิต
ทำงานของเราต่อไป

เราตั้งใจเอาไว้แล้วว่า ชีวิตนี้เราต้องการที่จะทำอะไร
เป้าหมายชีวิตของเราชัดเจน
อะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ แค่นี้ ไม่ทำให้เราไขว้เขวได้หรอก


คิดการใหญ่ ใจต้องนิ่ง


ปล่อยวาง
ให้อภัย
ให้ความรัก
ให้ความเมตตา


เมตตาธรรม ค้ำจุนโลก


"ททมาโน ปิโย โหติ"
ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก


รวมถึงการให้อภัยด้วยจ๊ะ และต้องให้อภัยอย่างไม่มีข้อแม้ด้วย


หลาย ๆ คนอาจจะคิดว่า  “ใช่สิ เธอมีพอแล้ว เธอพูดได้”


จริง ๆ แล้วเราไม่ได้ “มีพอแล้ว” อะไรเลย
ชีวิตเราก็ไม่ได้เกิดมาบนกองเงินกองทอง
เราไม่ได้คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด


แต่เรารู้จักคำว่า “พอ”
เรารู้จักความพอดี ไม่โลภ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าขี้เกียจ


ก็เพียงแค่ว่า ณ วันนี้ เราพอใจกับสิ่งที่เรามีอยู่
ชีวิตเราทุกวันนี้ก็อยู่อย่างพอเพียง และเพียงพอ ใช้หลักการนี้ในการดำเนินชีวิต ทำแล้วมันมีความสุข สุขที่มาจากข้างใน สุขที่ไม่ต้องซื้อมาด้วยเงินทอง


กับชีวิตการทำงาน มันก็อาจจะมีบ้างที่บางทีเราก็คิดว่า เราใจดีมากเกินไปหรือเปล่านะ


เราโดนใครบางคนกำลังเอาเปรียบเราหรือเปล่านะ


แต่ก็อย่างที่บอกแหละ
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
เราให้อภัยพวกเขาเสมอ


หรือบางทีมันก็อาจจะเป็นการสื่อสารที่ไม่ลงตัวหรือเปล่านะ


หรือบางทีมันอาจเป็นการคาดหวังอะไรที่ไม่ลงตัวหรือเปล่านะ
เราก็คาดหวังว่าทุกคนที่เข้ามาในชีวิตเรา เขาเข้ามาด้วยความจริงใจ ไม่ได้เข้ามาเพื่อแสวงหาผลประโยชน์อะไรจากเรา


สุดท้ายแล้ว เราเองหรือเปล่าที่ผิด
ผิดที่ไปคาดหวังอะไรแบบนั้น
ผิดที่คิดแบบคนโลกสวยหรือเปล่า


แต่ก็ไม่เป็นนะ
“ผิด” เป็นครู
ประสบการณ์คือการเรียนรู้


ประสบการณ์ เรียนรู้ แก้ไข
เราก็คงต้องระวังตัวมากขึ้น อย่าไปคาดหวังอะไรกับใคร เพราะถ้าหากเราไม่ไปคาดหวังอะไรกับใครแล้ว เราก็จะไม่ผิดหวัง


เราก็ไม่ต้องไปคิดอะไรมาก เราคิดง่าย ๆ ว่า ก็เพราะเขาคิดแบบนั้น เราก็เลยเป็นแบบนั้น ถ้าเขาคิดแบบเรา เขาก็คงเป็นแบบเราแล้วสิ


ทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตเรา สุดท้ายแล้ว เราเองนี่แหละ ที่สร้างมันขึ้นมา บางทีเราก็ต้องระวังตัวเราเองให้มากขึ้น เหตุการณ์อะไรต่าง ๆ จะได้ไม่เกิดซ้ำซ้อน


เหตุการณ์ทุกสิ่งอย่างในชีวิต มันมีทั้งด้านดีและด้านลบ
เหรียญมี 2 ด้านเสมอ

ให้เรามองหาด้านที่ดีก็แล้วกัน เราจะได้ไม่ “เจ็บ”

Saturday, September 29, 2018

การเปลี่ยนแปลง


ก็มีบ้างในบางช่วงของชีวิต ที่คนเราจะต้องเจอกับการเปลี่ยนแปลง


ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงในด้านของชีวิตจะทั่วไป หรือในด้านของธุรกิจ หน้าที่ และการงาน


กับชีวิตของการเปลี่ยนแปลง ถึงแม้ว่าการเปลี่ยนแปลงบางทีเราจะมีการแพลนและก็วางแผนเอาไว้แล้วเป็นปี ๆ แล้วก็ตาม แต่พอเมื่อถึงวันที่ต้องลงมือทำจริง ๆ คนเรามันก็อดที่จะใจหายไม่ได้


โดยเฉพาะการตัดสินใจที่มีชีวิตเป็นเดิมพันที่สูง


ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจในเรื่องของชีวิตคู่
หรือว่าการตัดสินใจเกี่ยวกับการทำงาน โดยเฉพาะคนเราที่ทำอะไรเป็นประจำ จนชีวิตมันกลายเป็นกิจวัตรประจำวันไปแล้ว มันเป็น routine ไปแล้ว พอมาเจอการเปลี่ยนแปลง มันก็ยากเหมือนกันนะ


ถึงแม้ว่าการเปลี่ยนแปลงในครั้งนั้น มันเป็นอะไรที่เราเฝ้ารอมานาน พอถึงเวลาเข้าจริง ๆ เราก็อดที่จะใจหายไม่ได้ แพลน
การเปลี่ยนแปลงของแต่ละครั้ง มันก็อาจจะมีบ้างที่เรารู้สึก emotional


บางทีมันก็เป็นอะไรที่ mixed feeling
มันเป็นอารมณ์ที่แปลก อธิบายออกไม่ถูก


นี่แหละนะมนุษย์
อารมณ์ของเราบางที มันก็เป็นอะไรที่เข้าใจยากเหมือนกัน
มันก็ช่างอธิบายยากเหลือเกิน


การเปลี่ยนแปลงแต่ละอย่างในชีวิต มันไม่ง่ายเลย
กับการตัดสินใจบางอย่าง บางทีมันก็ทำให้เราใจหายเหมือนกันนะ


แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น
ทุกการเปลี่ยนแปลง เราจะต้องมีเหตุผล เราจะต้องมีเป้าหมายของการกระทำที่ชัดเจน หากการกระทำที่ไม่มีเป้าหมาย มันก็จะกลายเป็นไม้หลักปักเลน ชีวิตก็คงจะไม่ประสบความสำเร็จ ย่ำอยู่กับที่ ไม่มีอะไรก้าวหน้า ไม่มีความแน่นอน


การเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่าง หากเราแพลน และวางแผนไว้แล้วเป็นอย่างดี หากเรารู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ ข้างในลึก ๆ ของเรา มันบอกว่า


“ทุกอย่างจะลงตัว”
“ทุกอย่างต้องโอเค”
“เราตัดสินใจถูกต้องแล้ว”


ขอเพียงแค่เรา ทำอะไรไปตามขั้นตอนที่เราวางแผนเอาไว้ ส่วนสภาพจิตใจ ความรู้สึกนึกคิดอะไรต่าง ๆ ทุกอย่างมันจะค่อย ๆ ปรับตัว ทุกอย่างมันจะค่อย ๆ ลงตัวของมันเอง ทุกอย่างจะมีการปรับตัวของมันเอง ในเวลาที่เหมาะสม


Subconscious หรือจิตใต้สำนึก จะไม่เคยโกหกตัวเรา


แต่ตัวเราเองนี่แหละ ที่บางทีก็ใช้ความรู้สึกเป็นเครื่องมือในการตัดสินใจ


ไม่ว่าเราจะทำอะไรยังไงก็ตามแต่
ถ้าเราเชื่อจิตใต้สำนึก ใช้จิตใต้สำนึกเป็นเข็มทิศในการดำเนินชีวิต ในการทำงาน ทุกอย่างมันต้องไปถึงเป้าหมาย ทุกอย่างมันต้องดำเนินไปได้ด้วยดี


ขอเพียงแค่เราต้องเชื่อมั่นในตัวเราเองเท่านั้น ก็เป็นพอ


ถ้าหากเราไม่เชื่อมั่นในตัวเอง
แล้วใครจะเชื่อมั่นในตัวเรา


การเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งอย่างในชีวิต ไม่มีอะไรที่เกิดขึ้นได้ง่าย ๆ ทุกสิ่งอย่างในชีวิต ทุกการเปลี่ยนแปลง ล้วนแล้วแต่มีอุปสรรคด้วยกันทั้งสิ้น


บางคนอาจจะสามารถจัดการชีวิตของการเปลี่ยนแปลงได้ดีกว่าใครบางคน


ทุกคนใช้เวลาที่แตกต่างในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลง


การเปลี่ยนแปลงคือการที่เราทำอะไรที่แตกต่างไปจากสิ่งที่เราทำอยู่เป็นปัจจุบัน สิ่งที่เราทำอยู่จนเป็นนิสัย สิ่งที่เราทำอยู่จนเป็น routine ไปแล้ว


มันเป็นเรื่องปกติของมนุษย์เราอยู่แล้ว คนส่วนมากไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง เพราะการเปลี่ยนแปลงเป็นอะไรที่เราคาดเดาไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น มันเป็นอะไรที่ unpredictable


อะไรที่เราคาดเดาไม่ได้ คนเราก็จะรู้สึกไม่ปลอดภัย


รู้สึก insecure


คนส่วนมากชอบอะไรที่ secure
ดังนั้นจึงไม่แปลกที่คนส่วนมากไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง


แต่หากเราไม่เปลี่ยนแปลง
ชีวิตของเราก็จะย่ำอยู่กับที่ เดิม ๆ same same
ไม่ก้าวหน้า


ชีวิตคนเราถ้าอยากจะก้าวหน้า หรือประสบความสำเร็จ
มันก็ต้องมีบ้างที่จะต้องเจออะไรที่ท้าทาย (challenge)
การเปลี่ยนแปลงมันก็เป็นอีกหนึ่งของความท้าทายในชีวิตของเรา


ดังนั้น บางทีแล้วเราก็ต้อง embrace the change แล้วก็ยอมรับการเปลี่ยนแปลงนั้นซะ


กับชีวิตบางทีแล้ว เราก็ต้อง “เปลี่ยนแปลง” ก่อน
ก่อนที่ปัจจัยภายนอกจะมาเปลี่ยนแปลงเรา
เมื่อไหร่ที่เราเปลี่ยนแปลงก่อน เราก็จะสามารถควบคุมสถานการณ์นั้นได้ เราจะเป็นคนถือหมากที่เหนือกว่า


แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เราปล่อยให้ปัจจัยภายนอกมาเปลี่ยนแปลงเรา เมื่อนั้นแหละชีวิตเราก็จะเริ่มลำบากเพราะว่าเราไม่สามารถควบคุมสถานการณ์หรือควบคุมชีวิตของเราได้


ในสังคมของโลกปัจจุบัน ดูเหมือนว่าทุกสิ่งอย่างจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นแล้วการที่เราเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงก่อน เราอาจจะเป็นผู้ชนะก็ได้


Kodak เลือกที่จะไม่เปลี่ยนแปลง Kodak จึงล้มละลายและหายไปจากโลกธุรกิจ เพราะทุกคนหันมาใช้กล้องถ่ายรูปแบบดิจิตอล ไม่มีการใช้ฟิล์มถ่ายรูปกันอีกต่อไป


Nokia บริษัทยักษ์ใหญ่จากประเทศฟินแลนด์ ที่ครั้งหนึ่งเป็นบริษัทที่ผลิตโทรศัพท์มือถืออันดับ 1 ของโลก ก็ต้องล้มหายตายจากไป เพราะตลาดของโทรศัพท์มือถือแบบสมาร์ทโฟนของ iPhone เข้ามาครองตลาด


Motorola บริษัทยักษ์ใหญ่จากประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ครั้งหนึ่งเป็นบริษัทที่ผลิตโทรศัพท์มือถือและเครื่องมือสื่อสารโทรคมนาคม ก็โดน iPhone เข้ามาช่วงชิงส่วนแบ่งของตลาดไป


ตอนนี้เด็กรุ่นใหม่ บางคนอาจจะไม่รู้เลยว่า บริษัท Kodak คืออะไร โทรศัพท์มือถือยี่ห้อ Nokia หรือ Motorola เป็นแบบไหน


ดังนั้น หากวันนี้ชีวิตเราต้องเจอกับการเปลี่ยนแปลง เราก็จงเผชิญหน้ากับมันซะ


เราต้องเปลี่ยนแปลงตัวเราก่อน

ก่อนที่ปัจจัยภายนอกจะมาเปลี่ยนแปลงเรา

Tuesday, August 28, 2018

กล้า


"กล้า"


คนเราถ้าอยากจะประสบความสำเร็จในชีวิต มันก็ต้อง “กล้า”

กล้าที่จะก้าวออกมาจากจุดเดิม ๆ
กล้าที่จะก้าวออกมาทำสิ่งแปลกใหม่
กล้าที่จะก้าวออกมาทำในสิ่งที่เรารัก ในสิ่งที่เราทำ
กล้าที่จะก้าวออกมาทำทั้ง ๆ ที่ยังไม่พร้อม
กล้าที่จะก้าวออกมาทำทั้ง ๆ ที่หลายสายตากำลังจ้องมอง
กล้าที่จะก้าวออกมาทำทั้ง ๆ ที่บางทีเสียงในหัวเรามันคัดค้าน


ความสำเร็จทุกสิ่งอย่างในชีวิต มันอยู่แค่เอื้อมมือ

หลาย ๆ คนไม่กล้า ไม่กล้าที่จะเอื้อมมือไป
เพียงแค่เรากางมือออก เอื้อมมือไปให้สุดแขน ความสำเร็จนั้นต้องเป็นของเรา
ทุกสิ่งอย่างในชีวิตมันขึ้นอยู่กับวิธีคิด
มันขึ้นอยู่กับ mind set

ถ้าเราคิดว่าเราสามารถทำได้ เราก็ต้องทำได้
เพราะจิตใต้สำนึกไม่เคยโกหกเรา

เพราะจิตใต้สำนึกจะรู้ถึงศักยภาพที่แท้จริงของเรา ซึ่งบางทีเราอาจจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเราสามารถทำได้

ดังนั้นจึงสำคัญมากที่เราทำอะไรตามใจของเรา ตามจิตใต้สำนึกของเรา เพราะจิตใต้สำนึกจะรู้ตัวเราดีกว่า ที่เรารู้ตัวเราเองอีก

ดังนั้นเราควรจะใช้จิตใต้สำนึกของเรา เป็นตัวนำทางของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ ธุรกิจ หน้าที่ การทำงานและความรับผิดชอบ

จิตใต้สำนึกไม่เคยโกหก

หากสมองของเราคิดว่าเราสามารถทำสิ่งนั้นได้ ก็แสดงว่าเราคงมีความสามารถทำสิ่งนั้นได้จริง ๆ

คนเราจะประสบความสำเร็จได้หรือเปล่านั้น มันมีเพียงแค่เส้นผมเส้นบาง ๆ มากั้นอยู่แค่นั้นเอง เราจะสามารถมองผ่านหรือก้าวข้ามเส้นผมเส้นบาง ๆ เส้นนั้นไปได้หรือไม่

บางครั้งแล้วตัวเราเองนี่แหละที่เป็นศัตรูของความสำเร็จของตัวเราเอง
อย่าปล่อยให้เสียงเล็ก ๆ ในหัวของเรา ส่งเสียงออกมาเสียงดังเกินไป เสียงที่เต็มไปด้วยคำว่า


“จะดีหรอ”
“จะพร้อมแล้วหรอ”
“เรายังไม่เก่งพอนะ”
“ไม่เอาน่ะ อายเขาจัง”
“คนอื่นจะว่ายังไงนะ”
“คนเขาจะหมั่นไส้เราหรือเปล่า”


เสียงเล็ก ๆ ในหัวของเราเหล่านี้ อย่าปล่อยให้มันส่งเสียงออกมาเสียงดังจนปิดกั้นการเดินทางชีวิตของเรา

ถ้าจิตใต้สำนึกของเราบอกเราว่าเราสามารถทำได้
เราก็ควรจะลงมือทำเลยทันที


“ทำทันที” ทั้ง ๆ ที่ยังไม่พร้อม
ทำไป ฝึกฝนตัวเองไป เรียนรู้กับสิ่งที่เราทำไปด้วยในเวลาเดียวกัน


ทำ ผิดพลาด แก้ไข เรียนรู้
มันเป็นสิ่งที่มนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ควรจะทำ


คนที่เลิกเรียนรู้คือคนที่ตายแล้ว


คนที่ไม่กล้าออกมาทำอะไรเลย เขาก็จะเป็นผู้ตามตลอดไป


หากเราอยากจะประสบความสำเร็จในชีวิต
เรากล้าที่จะออกมา มาทำอะไรออกสื่อหรือเปล่า
เรากล้าที่จะมี Facebook Page ของตัวเองไหม
เรากล้าที่จะเขียนอะไรที่เกี่ยวกับความคิดของเราออกสื่อหรือเปล่า แน่นอนสิ่งที่เราออกสื่อไปจะต้องไม่ทำให้ใครเดือดร้อน จะต้องมีคุณค่าต่อคนอื่นและสังคมในวงกว้าง

สื่อในที่นี้มีทุกรูปแบบ
ยิ่งในโลกสมัยของ Social Media สมัยนี้ การที่ออกมามีพื้นที่ มีสื่อเป็นของตัวเองเป็นอะไรที่ทำได้ง่ายมาก
ดังนั้นเราต้องกล้าที่จะออกมาเป็นผู้นำ
ดังนั้นเราต้องกล้าที่จะออกมาเป็นผู้ทำ


เลิกเถอะ
เลิกเป็นผู้ตาม


ก่อนที่เราจะจากโลกใบนี้ไป
เราอยากจะทิ้งอะไรไว้ให้คนจดจำหรือเปล่า
ให้เขาจดจำเราในด้านที่ดี ในสิ่งที่สวยงาม


หากเราทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดแล้ว
ที่เหลือนอกนั้น มันก็ไม่สำคัญแล้วล่ะ
เสียงนกเสียงการอบข้าง มันก็คงไม่มีความหมายแล้วล่ะ
อย่าปล่อยให้เสียงนกหรือเสียงการอบข้าง มามีอิทธิพลสำหรับเรา


เพราะเสียงเหล่านั้นมันก็เป็นแค่เพียง “ลมปาก”

Napoleon Hill (นโปเลียน ฮิลล์) กล่าวไว้ว่า “Opinion is the cheapest commodity”

ซึ่งหมายความว่า “ความคิดเห็น (หรือลมปาก) เป็นสินค้าที่ถูกที่สุด” ซึ่งก็หมายความว่า ใคร ๆ ก็สามารถออกความคิดเห็นได้ รวมไปทั้งพวกเสียงนกเสียงกา

ดังนั้นเราไม่ควรปล่อยให้พวกเสียงนกเสียงกาเหล่านี้มามีอิทธิพลต่อชีวิตของเราได้

หากพวกเสียงนกเสียงกาเหล่านั้นเก่งจริง มีความสามารถจริง พวกเขาก็คงจะใช้เวลาของพวกเขาที่มีอยู่ ไปทำอะไรอย่างอื่นที่มันมีคุณค่าต่อตัวเองและสังคมในวงกว้างแล้ว ถ้าพวกเขามีความสามารถจริง เขาคงไม่มีเวลามานั่งวิพากษ์วิจารณ์เราหรอก
พวกเสียงนกเสียงกาเหล่านั้น
มันคือเสียงของคนขี้แพ้


The winner never quit.
The quitter never win.


ผู้ชนะไม่เคยหยุด
คนที่อยู่จะไม่เคยชนะ


ดังนั้นเราต้องกล้าที่จะไม่หยุด
เราต้องไม่หยุดที่จะเดินตามหาฝันของเรา
เราต้องกล้าที่จะคิด
เราต้องกล้าที่จะทำ
และเราก็ต้องกล้าที่จะ “ทำทันที”


ที่เหลือ ผลลัพธ์จะออกมายังไง นั่นมันอีกเรื่องนึง
ผลลัพธ์ของการกระทำ
ผลลัพธ์ของการลงมือทำ
มันมีแค่ 2 อย่างคือ “สำเร็จ” หรือ “เรียนรู้”


บางคนอาจจะบอกว่า
“อ้าว… ผลลัพธ์ของการกระทำไม่ใช่สำเร็จกับไม่สำเร็จเหรอ”


ไม่จ๊ะไม่ ผลลัพธ์ของการกระทำของเราไม่ใช่แบบนั้น


ถ้าเราคิดว่าผลลัพธ์ของการกระทำคือสำเร็จกับไม่สำเร็จ
นั่นมันคือวิถีการคิดของคนขี้แพ้


พวกเราคือผู้ชนะ
พวกเราไม่ใช่คนขี้แพ้
พวกเราไม่คิดแบบนั้น
ถ้าเราอยากจะประสบความสำเร็จในชีวิต ความคิดและ mind set ของเราต้องแตกต่าง
วันนี้เรากล้ากันหรือยัง
กล้าที่จะออกมาทำอะไรสิ่งแปลกใหม่
กล้าที่จะมาทำอะไรให้กับโลกใบนี้

กล้าที่จะออกมาทำอะไรให้กับสังคมที่เราอยู่