Monday, November 26, 2018

เมื่อเราเลิกที่จะแบก


"เมื่อเราเลิกที่จะแบก"

ชีวิตคนเรา ถ้าเดินทางมาถึงจุดจุดหนึ่งของชีวิต
อาจจะด้วยคุณวุฒิหรือวัยวุฒิ เราก็เริ่มที่จะ "ไม่แบก" อะไรหลาย ๆ อย่าง

เราเลือกที่จะไม่แบกทุกข์
เราเลือกที่จะไม่แบกโลกทั้งใบเอาไว้บนบ่า บนหลังของเรา
เราเลือกที่จะปล่อยวาง

เรื่องบางเรื่อง เราเลือกที่จะให้มันผ่านเข้ามา แล้วก็ผ่านไป

เมื่อเราเลือกที่จะไม่แบก เราก็เริ่มรู้สึกเบา
ชีวิตไม่มีพันธะใด ๆ
มันก็จะกลายเป็นชีวิตที่ปล่อยวาง
มันก็จะกลายเป็นชีวิตที่มีความสุข
มันก็จะกลายเป็นชีวิตที่เบา

ปัญหาอะไรทุกสิ่งอย่างที่มันผ่านเข้ามาในชีวิต
เราก็ให้มันจบไปในวันนั้น เราจะไม่แบกเอาปัญหาอะไรต่าง ๆ มาย้ำคิดย้ำทำจนถึงอีกวัน

เมื่อไหร่ที่เราเข้านอน
พอตื่นมาอีกวันรุ่งขึ้น มันคือวันใหม่
มันคือการเริ่มต้นอะไรในชีวิตที่ดี ที่ใหม่
เราจึงเลือกที่จะไม่แบกทุกข์ แบกอะไรข้ามคืน

ชีวิตมันก็จะเบา และมีความสุข

สุขที่สุด ณ จุดที่เป็น

Wednesday, November 21, 2018

Minimalism


เราเคยเห็นหนังสือ “Minimalism” วางขายที่ร้านขายหนังสือ แต่เราก็ยังไม่มีเวลาซื้อมาสักที

แต่เนื่องด้วยเราเป็นเด็กอักษรญี่ปุ่น เราก็พอจะเดาได้ว่าหนังสือเล่มนี้เกี่ยวกับอะไร มันก็คงเป็นวิถีชีวิตแบบเซน

หรือถ้ามองในแง่ของพุทธะ
มันก็คือการปล่อยวาง
ไม่ยึดติด
ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วเราก็พยายามเริ่มใช้ชีวิตแบบนั้น คนเราพอชีวิตมันมาถึงจุดจุดหนึ่ง เราก็สามารถเลือกที่จะใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเราต้องการได้

โดยส่วนตัวแล้วเราก็ไม่เป็นคนที่ชอบซื้อของ หรือว่าสะสมอะไรอยู่แล้ว ยกเว้นหนังสือ

วัตถุสิ่งของที่อำนวยความสะดวกที่ใช้อยู่ทุกวันนี้ เราก็จะมีใช้เฉพาะที่จำเป็นจริง ๆ เราไม่ได้เป็นคนใช้ของสุรุ่ยสุร่าย หรือซื้ออะไรเข้าบ้านโดยที่ไม่จำเป็น

การที่เราไม่ยึดติดกับวัตถุสิ่งของ เราคิดว่ามันก็สามารถทำได้จากจุดเล็ก ๆ ก่อนนะ

อย่างแรกเลยพวกของเล่นลูก ๆ ที่มีเยอะแยะมากมาย อันไหนที่เขาไม่เล่นแล้ว เพราะว่าตอนนี้ก็เริ่มตัวโต ๆ กันแล้ว เราก็ให้เขาเอาของเล่นพวกนั้นไปวางไว้ที่หน้าบ้านทุกวันเสาร์ อย่างน้อยวันละชิ้น

ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป
บ้านมันก็จะเริ่มดูสะอาดตาขึ้นมาเองนะ

ส่วนตัวเราเอง พวกเสื้อผ้าบางตัวที่เราไม่ค่อยได้ใช้แล้ว ไม่ใช่เพราะว่ามันเก่า อยากจะเป็นเพราะบางที “มันมีมากเกินความจำเป็น”

ทุกครั้งที่เราหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาแต่งตัว
เราก็จะเลือกดูว่า มีเสื้อผ้าชิ้นไหนที่เราไม่ได้ใส่แล้วในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา

ถ้ามันแขวนอยู่อย่างนั้น อย่างน้อยแล้ว 1 ปีโดยที่เราไม่ได้หยิบมาใส่เลย โอกาสที่เราจะหยิบมาใส่อีกมันก็คงจะเป็นไปได้น้อยมาก เพราะถ้าเราอยากจะใส่มันเราก็คงใส่ไปตั้งนานแล้ว

วิธีที่ดีที่สุดก็คือหยิบมันออกมาแล้วเอามาแยกใส่ถุงที่จะนำไปบริจาค เราก็ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ไม่ได้ทำทุกวัน แต่ก็เมื่อไหร่ที่เห็นเสื้อผ้าของเราที่มันแขวนอยู่ แล้วเราไม่ได้ใส่มาเป็นเวลาเกิน 1 ปีแล้ว แล้วก็จะหยิบมันออกมาแยกใส่ถุงเอาไว้

ตอนนี้ที่แขวนเสื้อผ้าเรา มันก็ไม่ได้เต็มไปด้วยเสื้อผ้าเหมือนสมัยก่อนแล้ว มันดูสะอาดตาขึ้นเยอะ มันรู้สึกเบา ว่างเปล่า และมีความสุข เพราะต่อไปถ้าจะต้องย้ายบ้าน เราก็ไม่ต้องเก็บของเยอะ

ในเรื่องของเสื้อผ้า เราก็ทำเฉพาะที่เป็นเสื้อผ้าของเรานะ เราไม่แตะต้องของลูกหรือของภรรยา อันนั้นให้พวกเขาจัดการชีวิตของพวกเขาเองว่าอันไหนก็อยากเก็บ อันไหนเขาอยากจะนำไปบริจาค

มันก็อาจจะมีบ้างที่บางที เราซื้อเสื้อผ้าราคาแพง เพราะช่วงที่เป็นวัยรุ่น วัยละอ่อน ทำงานเป็นคอมพิวเตอร์โปรแกรมเมอร์ เงินมันก็จะสะพัดนิดนึง มันก็อาจจะมีบ้างที่บางทีเราก็มีเสื้อผ้าที่เอาไว้ใส่เวลาออกไปเที่ยวตอนกลางคืน

อย่างเช่นเสื้อผ้าของ Armani เป็นต้น

ที่เราเก็บเอาไว้ทุกวันนี้ เราก็คงไม่ได้ใช้แล้วล่ะ เพราะว่าสไตล์การแต่งตัวเราเปลี่ยนไป และโอกาสที่จะออกเที่ยวตอนกลางคืนเหมือนสมัยก่อนตอนที่ยังเป็นเด็กนักเรียน หรือตอนที่เป็น young programmer มันก็คงมีน้อยมากแล้ว

บางตัวเราซื้อมาแพงจริง แต่มันแขวนอยู่อย่างนั้นมาแล้ว 10 ปี ไม่ได้หยิบมาใส่อีกเลย มันก็คงถึงเวลาแล้วล่ะที่จะให้คนอื่นเขามีโอกาสใส่ Armani บ้าง อะไรบ้าง สภาพยังใหม่มาก

บางคนอาจคิดว่า ทำไมไม่เอาลงขายออนไลน์ ขายใน eBay

ก็ไม่รู้สิ เราไม่ชอบที่จะต้องมานั่งขายอะไรใน eBay  ต่อรองราคากันไปมา แล้วต้องไปส่งของที่ไปรษณีย์ เราไม่มีเวลาขนาดนั้นจริง ๆ

บริจาคนี้แหละ ง่ายที่สุด สบายใจดี
คนที่เขาเอาไปใช้ เขาคงจะมีความสุข

ททมาโน ปิโยโหติ
ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก

มันก็จะมีบ้างบางทีที่เรากลับเมืองไทย บางทีเราก็ซื้อเสื้อผ้าที่ราคาไม่แพงนะจากตลาดนัดสวนจตุจักร หรือไม่ก็มาบุญครอง MBK บางทีที่ซื้อมาเพราะว่าราคามันถูก แต่พอซื้อมาแล้วเราก็ไม่ได้ใส่ หรือใส่ไม่ถึง 5 ครั้ง เพราะจริงๆแล้วที่ซื้อมาไม่ได้ซื้อมาเพราะว่าต้องการที่จะใส่ สาเหตุที่ซื้อมาเพราะว่ามันถูก กางเกงขาสั้นบางตัว 169 บาทเป็นต้น (ไม่รู้สมัยนี้ยังหาซื้อได้หรือเปล่านะ)

ไหน ๆ เราไม่ได้ใส่แล้ว เราก็ส่งต่อเช่นเดียวกัน

ชีวิตส่วนตัวของเรา เราไม่ต้องมี spring clean เพราะเรา clean อยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว คือวันไหนหรือว่าทิศไหนที่เราเจอของที่เราไม่ได้ใช้แล้ว เราก็เอาไปบริจาคหรือว่าส่งต่ออยู่แล้ว

ค่อย ๆ ทำไป
เดี๋ยวก็เป็นนิสัย
ค่อย ๆ ทำไป
เดี๋ยวบ้านก็จะสะอาดตาขึ้น

ชีวิตเรา เราไม่ judge ใคร
ชีวิตเรา เราเลือกของเราแบบนี้
ก็ขอให้ใครอย่ามา judge เราก็แล้วกัน
แต่ถ้าใครอยากจะ judge ก็ไม่เป็นไร
นั่นมันปัญหาของเขา
ไม่ใช่ปัญหาของเรา

เลือก
ตัดสินใจ
ในสิ่งที่อยากจะทำ

กับชีวิตที่อยากจะเป็น

Monday, November 12, 2018

The 5 AM Miracle


The 5 A.M. Miracle หรือชื่อภาษาไทย "ชีวิตดีอย่างอัศจรรย์เมื่อตื่นทุกวันตอนตี 5"

เราเป็นคนที่ฟัง podcast แทบจะทุกวันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะตอนไปยิมส์หรือช่วงที่ออกไปเดินออกกำลังกายตอนเช้า และ podcast ที่เราฟังก็จะเป็นพวก self-help, self-improvement หรือไม่ก็เกี่ยวกับการทำธุรกิจ

เราได้ยินชื่อหนังสือ "The 5AM Miracle" จาก podcast พวกนี้ แต่ก็ยังไม่ได้คิดที่จะซื้อมาอ่าน เพราะเราเองก็เป็นคนตื่นเช้าอยู่แล้ว ตี 4 กว่า ๆ ก่อนตี 5 ด้วยซ้ำ เรื่อง self improvement เป็นเรื่องที่เราสนใจมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว

พอดีเราเห็น SE-ED มีหนังสือขายเป็นเวอร์ชั่นภาษาไทย ก็เลยแอบอยากได้ เพราะหนังสือภาษาไทย ราคาจะถูกกว่า

ก็พอดีมีน้องคนหนึงซื้อมาฝาก
เราขอบคุณจริง ๆ นะครับ ที่มีมิตรไมตรีที่ดีต่อกัน

หนังสือเล่มนี้ เป็นเล่มเล็ก ๆ สำหรับเรา 
234 หน้า ไม่มีปัญหาเลยในการอ่าน เราอ่านได้อยู่แล้ว

เราอ่านคืนเดียวจบ
เพราะจะอ่านแบบ skim reading
ไม่ได้หมายความว่าหนังสือไม่ดี หรือไม่ได้เห็นคุณค่าของคนที่เขาซื้อมาฝากนะครับ แต่ก็พอจะรู้ว่าหนังสือเล่มนี้ต้องการสื่ออะไร

เราเป็นคนอ่านหนังสือพวก self-help, self-improvement มาเยอะแล้วจริง ๆ ไม่ใช่ว่าอวดหรือว่าอะไร เราก็พยายามทำตัวเป็นน้ำครึ่งแก้วแหละ เปิดใจเพื่อเรียนรู้เสมอ แต่เราก็รู้ว่าเราอยู่ level ไหน 

หนังสือเล่มนี้ก็กล่าวถึงหนังสือเล่ม ๆ อื่นซึ่งเราก็เคยอ่านมาแล้วเกือบจะทั้งหมด คนเขียนเอง Jeff Sanders ก็ based on เรื่องราวต่าง ๆ จากหนังสือพวกนั้นด้วย

เราคิดว่า Jeff Sanders เองก็น่าจะเขียนหนังสือ OK อยู่นะ
แต่เราคิดว่าคนแปลมากกว่า ที่บางทีแปลมาเป็นภาษาไทยและใช้คำแปลก ๆ ไม่ได้หมายความว่าเราต้องแปลดีกว่าเขานะ แต่ก็พูดหรือเขียนในฐานะของคนอ่าน 

เราเป็นคนอ่านหนังสือภาษาอังกฤษอยู่แล้ว เราคิดว่าคำบางคำถ้าทับศัพท์ไปเลย มันก็คงจะเข้าใจง่าย (สำหรับเรา แต่อาจจะไม่ใช่สำหรับคนอ่านทั่ว ๆ ไปที่เมืองไทย ตรงจุดนี้เราเข้าใจ) มันก็เลยทำให้ขาดอรรสรสในการอ่านไปนิดหนึง แต่ก็ไม่เป็นไร เราก็พอรับได้

เนื้อหาของหนังสือเหรอ
ก็พูดถึงการตื่นเช้า
ซึ่งเราก็ตื่นอยู่แล้ว ปฏิบัติอะไรของเราอยู่แล้ว

ถ้าเป็นคนที่อ่านหนังสือเยอะ หรือฟัง podcast ที่มีประโยชน์เยอะ ๆ เรื่องการตื่นแต่เช้า ไม่ใช่แค่ Jeff Sanders เท่านั้นที่พูดถึงเรื่องนี้ คนอื่น ๆ ก็พูดถึงเรื่องนี้กันเยอะ (Tony Robbins, Tim Ferris & Pat Flynn) เราก็ลองเอามาปฏิบัติตัวเราเองด้วย จริง ๆ แล้วก็เริ่มทำอย่างจริงจังปีนี้นะ 2018 ซึ่งก็ได้ผลที่ดี

หนังสือเล่มนี้มันก็มีเนื้อหาคล้าย ๆ "Homo Finishers" ของนิ้วกลมนะ
แต่ละคนตื่นแต่เช้ามา กิจกรรมไม่เหมือนกัน
ไม่ว่าจะเป็น Tony Robbins เอง หรือคนดังระดับโลกคนอื่น ๆ 

แต่ละคนก็ต้อง fine tune หาจริตของตัวเอง

สำหรับคนที่อ่านหนังสือพวก self-help หรือ self-improvement มาเยอะแล้ว เราก็คิดว่ามันก็เฉย ๆ  นะ ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่

แต่สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้น เราก็คิดว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีนะครับ
ก็น่าจะซื้อมาอ่านดู 
220 บาท ไม่แพง ดีกว่าไปซื้อ Starbuck (ดื่มเข้าไป เดี๋ยวก็ฉี่ออกมา ไม่เห็นจะต้องดื่มอะไรที่แพงขนาดนั้นเลย ดื่มกันเป็นแฟชั่นเฉย ๆ กาแฟข้างทางดีกว่ามั้ย??)

ทุกคนมีจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง
ไม่ต้องเอาเรา (คนเขียน) ไปเป็นบรรทัดฐานของใครนะครับ
ก็ลองซื้อมาอ่านดูได้ ไม่เสียหาย... :)