เราเคยเห็นหนังสือ “Minimalism” วางขายที่ร้านขายหนังสือ แต่เราก็ยังไม่มีเวลาซื้อมาสักที
แต่เนื่องด้วยเราเป็นเด็กอักษรญี่ปุ่น เราก็พอจะเดาได้ว่าหนังสือเล่มนี้เกี่ยวกับอะไร มันก็คงเป็นวิถีชีวิตแบบเซน
หรือถ้ามองในแง่ของพุทธะ
มันก็คือการปล่อยวาง
ไม่ยึดติด
ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วเราก็พยายามเริ่มใช้ชีวิตแบบนั้น คนเราพอชีวิตมันมาถึงจุดจุดหนึ่ง เราก็สามารถเลือกที่จะใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเราต้องการได้
โดยส่วนตัวแล้วเราก็ไม่เป็นคนที่ชอบซื้อของ หรือว่าสะสมอะไรอยู่แล้ว ยกเว้นหนังสือ
วัตถุสิ่งของที่อำนวยความสะดวกที่ใช้อยู่ทุกวันนี้ เราก็จะมีใช้เฉพาะที่จำเป็นจริง ๆ เราไม่ได้เป็นคนใช้ของสุรุ่ยสุร่าย หรือซื้ออะไรเข้าบ้านโดยที่ไม่จำเป็น
การที่เราไม่ยึดติดกับวัตถุสิ่งของ เราคิดว่ามันก็สามารถทำได้จากจุดเล็ก ๆ ก่อนนะ
อย่างแรกเลยพวกของเล่นลูก ๆ ที่มีเยอะแยะมากมาย อันไหนที่เขาไม่เล่นแล้ว เพราะว่าตอนนี้ก็เริ่มตัวโต ๆ กันแล้ว เราก็ให้เขาเอาของเล่นพวกนั้นไปวางไว้ที่หน้าบ้านทุกวันเสาร์ อย่างน้อยวันละชิ้น
ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป
บ้านมันก็จะเริ่มดูสะอาดตาขึ้นมาเองนะ
ส่วนตัวเราเอง พวกเสื้อผ้าบางตัวที่เราไม่ค่อยได้ใช้แล้ว ไม่ใช่เพราะว่ามันเก่า อยากจะเป็นเพราะบางที “มันมีมากเกินความจำเป็น”
ทุกครั้งที่เราหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาแต่งตัว
เราก็จะเลือกดูว่า มีเสื้อผ้าชิ้นไหนที่เราไม่ได้ใส่แล้วในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา
ถ้ามันแขวนอยู่อย่างนั้น อย่างน้อยแล้ว 1 ปีโดยที่เราไม่ได้หยิบมาใส่เลย โอกาสที่เราจะหยิบมาใส่อีกมันก็คงจะเป็นไปได้น้อยมาก เพราะถ้าเราอยากจะใส่มันเราก็คงใส่ไปตั้งนานแล้ว
วิธีที่ดีที่สุดก็คือหยิบมันออกมาแล้วเอามาแยกใส่ถุงที่จะนำไปบริจาค เราก็ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ไม่ได้ทำทุกวัน แต่ก็เมื่อไหร่ที่เห็นเสื้อผ้าของเราที่มันแขวนอยู่ แล้วเราไม่ได้ใส่มาเป็นเวลาเกิน 1 ปีแล้ว แล้วก็จะหยิบมันออกมาแยกใส่ถุงเอาไว้
ตอนนี้ที่แขวนเสื้อผ้าเรา มันก็ไม่ได้เต็มไปด้วยเสื้อผ้าเหมือนสมัยก่อนแล้ว มันดูสะอาดตาขึ้นเยอะ มันรู้สึกเบา ว่างเปล่า และมีความสุข เพราะต่อไปถ้าจะต้องย้ายบ้าน เราก็ไม่ต้องเก็บของเยอะ
ในเรื่องของเสื้อผ้า เราก็ทำเฉพาะที่เป็นเสื้อผ้าของเรานะ เราไม่แตะต้องของลูกหรือของภรรยา อันนั้นให้พวกเขาจัดการชีวิตของพวกเขาเองว่าอันไหนก็อยากเก็บ อันไหนเขาอยากจะนำไปบริจาค
มันก็อาจจะมีบ้างที่บางที เราซื้อเสื้อผ้าราคาแพง เพราะช่วงที่เป็นวัยรุ่น วัยละอ่อน ทำงานเป็นคอมพิวเตอร์โปรแกรมเมอร์ เงินมันก็จะสะพัดนิดนึง มันก็อาจจะมีบ้างที่บางทีเราก็มีเสื้อผ้าที่เอาไว้ใส่เวลาออกไปเที่ยวตอนกลางคืน
อย่างเช่นเสื้อผ้าของ Armani เป็นต้น
ที่เราเก็บเอาไว้ทุกวันนี้ เราก็คงไม่ได้ใช้แล้วล่ะ เพราะว่าสไตล์การแต่งตัวเราเปลี่ยนไป และโอกาสที่จะออกเที่ยวตอนกลางคืนเหมือนสมัยก่อนตอนที่ยังเป็นเด็กนักเรียน หรือตอนที่เป็น young programmer มันก็คงมีน้อยมากแล้ว
บางตัวเราซื้อมาแพงจริง แต่มันแขวนอยู่อย่างนั้นมาแล้ว 10 ปี ไม่ได้หยิบมาใส่อีกเลย มันก็คงถึงเวลาแล้วล่ะที่จะให้คนอื่นเขามีโอกาสใส่ Armani บ้าง อะไรบ้าง สภาพยังใหม่มาก
บางคนอาจคิดว่า ทำไมไม่เอาลงขายออนไลน์ ขายใน eBay
ก็ไม่รู้สิ เราไม่ชอบที่จะต้องมานั่งขายอะไรใน eBay ต่อรองราคากันไปมา แล้วต้องไปส่งของที่ไปรษณีย์ เราไม่มีเวลาขนาดนั้นจริง ๆ
บริจาคนี้แหละ ง่ายที่สุด สบายใจดี
คนที่เขาเอาไปใช้ เขาคงจะมีความสุข
ททมาโน ปิโยโหติ
ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
มันก็จะมีบ้างบางทีที่เรากลับเมืองไทย บางทีเราก็ซื้อเสื้อผ้าที่ราคาไม่แพงนะจากตลาดนัดสวนจตุจักร หรือไม่ก็มาบุญครอง MBK บางทีที่ซื้อมาเพราะว่าราคามันถูก แต่พอซื้อมาแล้วเราก็ไม่ได้ใส่ หรือใส่ไม่ถึง 5 ครั้ง เพราะจริงๆแล้วที่ซื้อมาไม่ได้ซื้อมาเพราะว่าต้องการที่จะใส่ สาเหตุที่ซื้อมาเพราะว่ามันถูก กางเกงขาสั้นบางตัว 169 บาทเป็นต้น (ไม่รู้สมัยนี้ยังหาซื้อได้หรือเปล่านะ)
ไหน ๆ เราไม่ได้ใส่แล้ว เราก็ส่งต่อเช่นเดียวกัน
ชีวิตส่วนตัวของเรา เราไม่ต้องมี spring clean เพราะเรา clean อยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว คือวันไหนหรือว่าทิศไหนที่เราเจอของที่เราไม่ได้ใช้แล้ว เราก็เอาไปบริจาคหรือว่าส่งต่ออยู่แล้ว
ค่อย ๆ ทำไป
เดี๋ยวก็เป็นนิสัย
ค่อย ๆ ทำไป
เดี๋ยวบ้านก็จะสะอาดตาขึ้น
ชีวิตเรา เราไม่ judge ใคร
ชีวิตเรา เราเลือกของเราแบบนี้
ก็ขอให้ใครอย่ามา judge เราก็แล้วกัน
แต่ถ้าใครอยากจะ judge ก็ไม่เป็นไร
นั่นมันปัญหาของเขา
ไม่ใช่ปัญหาของเรา
เลือก
ตัดสินใจ
ในสิ่งที่อยากจะทำ
กับชีวิตที่อยากจะเป็น
No comments:
Post a Comment