เพราะพรุ่งนี้ต้องเดินทางกลับออสเตรเลียแล้ว
เมื่อวานเรากับน้องสาวก็เลยพูดคุยกับพยาบาลหญิง หรือแพทย์หญิงเราก็ไม่รู้นะ
เพื่อที่จะได้ข้อมูลและเข้าใจสถาการณ์ของคุณพ่ออย่างแท้จริง
เรายืนซักไซร้ไร่เรียงกับ พยาบาล/แพทย์หญิงท่านนั้นนานมาก
ประมาณ 1 ชั่วโมง
คนที่บ้านบอกว่า อย่าพูดนาน เกรงใจเขา
แต่เราคิดว่ามันเป็น conversation ที่สำคัญ
ให้พยาบาล/แพทย์หญิงท่านนั้นอธิบายอย่างหมเปลือก เราจะได้หายสงสัย
เราจะได้ไม่ต้องมีอะไรคาใจก่อนเดินทาง
และเราจะได้ไม่ต้องคอยถามบ่อย ๆ ในช่วงที่เราอยู่ที่เมืองไทย
เมื่อได้พูดคุยกับพยาบาล/แพทย์หญิงท่านนั้นแล้ว รู้สึกว่าเราเข้าใจอะะไรต่าง ๆ ดีขึ้น
เพาะปกติแล้วเราก็มัวแต่ concentrate ไปที่คุณพ่อ และอาการอะไรต่าง ๆ นั่น นี่ โน่น
เมื่อวานก็เลยมีโอกาสได้เปิดอกพูดคุยกับพยาบาล/แพทย์หญิงท่านนั้น
เขาได้ให้แง่คิดอะไร ต่าง ๆ นานา เยอะแยะมากมาย
เพราะพยาบาล/แพทย์หญิงท่านนั้นทำงานอยู่ที่ศูนย์ ICU อยู่แล้ว
คือเขามีประสบการณ์และผ่านสถารการณ์อะไรต่าง ๆ นานา มาเยอะแล้ว
เรากับน้องสาวก็ได้เรียนรู้อะไร ใหม่ ๆ เยอะแยะมากมาย
ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว
รู้สึกว่าครอบครัวทุก ๆ คน เริ่มมีความคิดเห็นอะไรต่าง ๆ นานา ที่คล่อย ๆ ปรับเปลี่ยน
เพราะคุณหมอบอกว่า ยังไงเสีย คุณพ่อก็คงไม่กลับมาพูดคุยกับเราได้เหมือนเดิม
ตอนนี้ท่านรับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราพูดคุยด้วย
เพียงแต่ท่านไม่สามารถโต้ตอบกลับได้
ดังนั้นเรามีอะไรที่จะต้องพูดคุยกับท่าน เราสามารถพูดได้ เพราะท่านได้ยินและรับรู้ตลอด
มันอึดอัดนะ
ในฐานะของคนเป็นลูก เพราะเราไม่รู้ว่า ณ ตอนนี้คุณพ่อต้องการอะไร
เพราะเราอยู่ไกล อยู่ต่างประเทศ
เราก็ได้แต่อาศัยข้อมูลจากน้องสาวว่า คุณพ่อเคยสั่งเอาไว้แบบนี้ แบบนั้น แบบโน้น
แต่เราในฐานะลูกชาย และเป็นพี่คนโต
เราอยากจะถามว่า จริงเหรอพ่อ ลูกอยากจะ confirm อะไรประมาณเนี๊ยะ
เพราะเราก็ต้องตัดสินใจอะไรหลาย ๆ อย่าง
แต่คุณพ่อก็ได้แต่นอนนิ่ง ๆ ไม่มีการพูดจาโต้ตอบ
เราก็ได้แต่ถามน้องสาวเอาไว้ว่า คุณพ่อพูดเอาไว้จริงเหรอ นั่น นี่ โน่น
เราจะได้พูดกับพ่อได้ถูกต้อง เพื่อให้พ่อหมดห่วง
ดังนั้นเราแนะนำทุกคนนะครับ
ก่อนเป็นอะไรไป เขียน your last day wishes เอาไว้ก็ดี
เราไม่ได้พูดถึงพินัยกรรมหรือมรดกนะ
เพราะพวกเราจัดการกันเรื่องนั้น ตั้งแต่ตอนที่คุณพ่อยังแข็งแรงอยู่แล้ว
แต่ your last day wishes ควรเป็นประมาณว่า เราต้องการให้อีกฝ่ายทำอะไรให้ ก่อนที่เราจะจากไป อะไรประมาณเนี๊ยะ
มันเป็น harsh reality นะ
แต่เป็น reality ที่ทุกคนต้องเผอิญ
ดังนั้น ทุกคน เตรียมการเอาไว้บ้างก็ดี
หลังจากที่ได้พูดคุยกับพยาบาล/แพทย์หญิงท่านนั้น มุมมองและวิธีการคิดเราก็เปลี่ยน
วันนี้ตอนเช้า ก็เลยพูดกับพ่ออีกแบบหนึ่ง เพื่อให้พ่อปล่อยวาง
ไม่ต้องห่วงคนที่อยู่
เพราะโดยส่วนตัวแล้ว เราคิดว่าเราปล่ายวางได้ดีกว่าคุณพ่อเราสะอีก
เพราะเราไม่รู้ว่า สรุปแล้วคุณพ่อเป็นห่วงใครมั่ง
จนน้องสาวบอกว่า คุณพ่อเป็นห่วง คนนั้น คนนี้ คนโน้น
เราก็เลยต้อง re-assured กับคุณพ่อว่า ไม่ต้องเป็นห่วงพวกเขา เราจะดูแลพวกเขาเอง
สุดท้ายแล้ว คุณพ่อ จะอะไร ยังไง เมื่อไหร่ เราไม่รู้
รู้แต่ว่า เรา, น้องสาว และทุกคนในครอบครัว ก็เตรียมพร้อมกับการรับมือนะ
ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว หลังจากที่พูดคุยกับพยาบาล/แพทย์หญิงท่านนั้น รู้สึกว่าทุกอย่างมันมีทางออก
และทุกอย่างเป็นไปตามทางของมัน
ก็เพราะชีวิตคือการเดินทาง
คุณพ่อใกล้จะถึงเส้นชัยชีวิตแล้ว
เราต้อง appreciate the journey of life ของคุณพ่อในช่วงชีวิตที่ผ่านมา
วันนี้ชิวิตรู้สึกโล่ง และปลดล๊อค และหมดห่วงไปอีก 1 เปราะ
ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว
รู้สึกว่าครอบครัวทุก ๆ คน เริ่มมีความคิดเห็นอะไรต่าง ๆ นานา ที่คล่อย ๆ ปรับเปลี่ยน
เพราะคุณหมอบอกว่า ยังไงเสีย คุณพ่อก็คงไม่กลับมาพูดคุยกับเราได้เหมือนเดิม
ตอนนี้ท่านรับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราพูดคุยด้วย
เพียงแต่ท่านไม่สามารถโต้ตอบกลับได้
ดังนั้นเรามีอะไรที่จะต้องพูดคุยกับท่าน เราสามารถพูดได้ เพราะท่านได้ยินและรับรู้ตลอด
มันอึดอัดนะ
ในฐานะของคนเป็นลูก เพราะเราไม่รู้ว่า ณ ตอนนี้คุณพ่อต้องการอะไร
เพราะเราอยู่ไกล อยู่ต่างประเทศ
เราก็ได้แต่อาศัยข้อมูลจากน้องสาวว่า คุณพ่อเคยสั่งเอาไว้แบบนี้ แบบนั้น แบบโน้น
แต่เราในฐานะลูกชาย และเป็นพี่คนโต
เราอยากจะถามว่า จริงเหรอพ่อ ลูกอยากจะ confirm อะไรประมาณเนี๊ยะ
เพราะเราก็ต้องตัดสินใจอะไรหลาย ๆ อย่าง
แต่คุณพ่อก็ได้แต่นอนนิ่ง ๆ ไม่มีการพูดจาโต้ตอบ
เราก็ได้แต่ถามน้องสาวเอาไว้ว่า คุณพ่อพูดเอาไว้จริงเหรอ นั่น นี่ โน่น
เราจะได้พูดกับพ่อได้ถูกต้อง เพื่อให้พ่อหมดห่วง
ดังนั้นเราแนะนำทุกคนนะครับ
ก่อนเป็นอะไรไป เขียน your last day wishes เอาไว้ก็ดี
เราไม่ได้พูดถึงพินัยกรรมหรือมรดกนะ
เพราะพวกเราจัดการกันเรื่องนั้น ตั้งแต่ตอนที่คุณพ่อยังแข็งแรงอยู่แล้ว
แต่ your last day wishes ควรเป็นประมาณว่า เราต้องการให้อีกฝ่ายทำอะไรให้ ก่อนที่เราจะจากไป อะไรประมาณเนี๊ยะ
มันเป็น harsh reality นะ
แต่เป็น reality ที่ทุกคนต้องเผอิญ
ดังนั้น ทุกคน เตรียมการเอาไว้บ้างก็ดี
หลังจากที่ได้พูดคุยกับพยาบาล/แพทย์หญิงท่านนั้น มุมมองและวิธีการคิดเราก็เปลี่ยน
วันนี้ตอนเช้า ก็เลยพูดกับพ่ออีกแบบหนึ่ง เพื่อให้พ่อปล่อยวาง
ไม่ต้องห่วงคนที่อยู่
เพราะโดยส่วนตัวแล้ว เราคิดว่าเราปล่ายวางได้ดีกว่าคุณพ่อเราสะอีก
เพราะเราไม่รู้ว่า สรุปแล้วคุณพ่อเป็นห่วงใครมั่ง
จนน้องสาวบอกว่า คุณพ่อเป็นห่วง คนนั้น คนนี้ คนโน้น
เราก็เลยต้อง re-assured กับคุณพ่อว่า ไม่ต้องเป็นห่วงพวกเขา เราจะดูแลพวกเขาเอง
สุดท้ายแล้ว คุณพ่อ จะอะไร ยังไง เมื่อไหร่ เราไม่รู้
รู้แต่ว่า เรา, น้องสาว และทุกคนในครอบครัว ก็เตรียมพร้อมกับการรับมือนะ
ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว หลังจากที่พูดคุยกับพยาบาล/แพทย์หญิงท่านนั้น รู้สึกว่าทุกอย่างมันมีทางออก
และทุกอย่างเป็นไปตามทางของมัน
ก็เพราะชีวิตคือการเดินทาง
คุณพ่อใกล้จะถึงเส้นชัยชีวิตแล้ว
เราต้อง appreciate the journey of life ของคุณพ่อในช่วงชีวิตที่ผ่านมา
วันนี้ชิวิตรู้สึกโล่ง และปลดล๊อค และหมดห่วงไปอีก 1 เปราะ
No comments:
Post a Comment