Wednesday, May 16, 2018

Learn to say “no” รู้จักที่จะปฏิเสธ


การที่เราได้มีโอกาสทำงานกับคนในหมู่มาก บางทีเราก็ต้องรู้จักที่จะปฏิเสธหรือ say “no” กับอะไรหลาย ๆ สิ่งหลาย ๆ อย่างด้วย ไม่งั้นชีวิตเราก็จะวุ่นวายจนเกินไป

บางทีเราก็ต้องปฏิเสธที่จะต้องทำงานนอกเหนือหน้าที่การทำงานของเราด้วย

ครั้งเดียวมันก็ OK นะ
ครั้งที่ 2 ก็คงไม่เป็นไร
แต่ถ้าบ่อย ๆ เข้า เราก็ถือว่ามันมากไป
มันก็ต้องมีการปฏิเสธกันบ้าง

เราเข้าใจว่าหลาย ๆ คนอาจจะต้องการความช่วยเหลือ ต้องการความสะดวกสบาย แต่เราก็ต้องดูด้วยกว่ามันเกินขีดจำกัดของเราหรือเปล่า

บางทีก็มีความรู้สึกว่า ถ้าเผื่อเราดีมากจนเกินไป เราก็จะโดนคนอื่นเอาเปรียบ

เราก็ต้องคิดด้วยว่าเรากำลังเบียดเบียนตัวเอง
เบียดเบียนคนรอบข้าง
เบียดเบียนคนในครอบครัว
เบียดเบียนคนที่เรารักหรือเปล่า

เพราะอะไรทุกสิ่งอย่างที่เราทำ มันเกี่ยวข้องกับ “เวลา” ทั้งนั้น เวลาเหล่านั้นที่เราไปทำอะไรให้กับคนอื่น (ที่ไม่เกี่ยวกับธุรกิจหน้าที่หรือการงานเท่าไหร่ หรือที่มันนอกเหนือหน้าที่) เราสามารถนำเอาเวลาเหล่านี้มาอยู่กับคนในครอบครัวของเราได้ ใช้เวลาอยู่กับคนที่เรารักได้

บางคนบอกว่า เราต้อง goes extra miles
Ok แหละ เราสามารถ goes extra miles ได้
แต่อย่าให้บ่อยเกิน

อะไรที่เยอะเกินไป
อะไรที่มากเกินไป
มันก็ล้น มันก็ไม่ดีทั้งนั้นแหละ

ดังนั้นบางทีเราก็ต้องรู้จักที่จะปฏิเสธ
เลือกที่จะ say “no” บ้างเป็นครั้งคราวก็ได้
ไม่จำเป็นต้องเป็นพ่อพระไปหมดซะทุกเรื่อง

เราต้องรู้จักเลือกที่จะไม่รับสายโทรศัพท์ในช่วงวันหยุด
เพราะปรกติแล้ว วันหยุดเราก็อยู่กับครอบครัวของเราอยู่แล้ว แล้วดังนั้นเราไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเปิดโทรศัพท์มือถือ

เราต้องรู้จักเลือกที่จะเปิดโทรศัพท์มือถือเป็น flight mode หลังเวลาเลิกทำงาน เพื่อที่ชีวิตจะได้อยู่เงียบ ๆ บ้าง

สังคมและก็โลกการสื่อสารในปัจจุบัน มันมีวิธีการในการติดต่อเยอะแยะมากมาย ส่งข้อความมาก็ได้ ส่งอีเมลมาก็ได้ แล้วเราก็จะตอบกลับเมื่อเวลาที่เราพร้อม บางทีแล้วอีกฝ่ายหนึ่งก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องโทรมาหาเราเลยด้วยซ้ำ แต่บางทีมันก็เป็นนิสัยของมนุษย์ เพราะว่ามันสะดวกสำหรับเขา แต่มันอาจจะไม่สะดวกสำหรับเรา

ชีวิตของการไม่รับโทรศัพท์
ชีวิตแบบนี้เราจะ in control ได้มากกว่า
เพราะเราเป็นคนจัดการชีวิตของเราได้
แต่ถ้าเรามัวแต่รับสายโทรศัพท์ทุกสายที่โทรเข้ามา นั่นกำลังแสดงว่า คนอื่น คนที่เขาโทรเข้ามาเขากำลังจัดการชีวิตของเราอยู่ เขาโทรมาในเวลาที่เขาสะดวก แต่สะดวกของเขาอาจจะไม่สะดวกของเรา ดังนั้นหลาย ๆ ครั้งเราก็ต้องรู้จักที่จะปฏิเสธในการรับสาย หรือเลือกปฏิเสธที่จะเปิดโทรศัพท์มือถือในบางเวลาด้วย ไม่งั้นชีวิตเราก็จะวุ่นวายเกิน

โลกสังคมยุคใหม่ เราสามารถติดต่อกันได้ด้วยเทคโนโลยีอย่างเช่น อีเมลหรือการส่งข้อความผ่าน application ต่าง ๆ

ยกเว้นสมาชิกในครอบครัวที่อาจจะใช้เทคโนโลยีไม่เป็นเท่าไหร่ ตรงจุดนี้เราก็ต้องดูแลและก็ stand by เวลาเขาโทรมา

หรือบางทีเราก็ต้องเลือกที่จะปฏิเสธเวลาคนมาขอยืมตังค์ เพราะโดยส่วนมากแล้วเราคิดว่า คนที่เขามีปัญหาเรื่องการเงิน นั่นแสดงว่าเขาบริหารเงินไม่เป็นหรือเปล่า เขาใช้จ่ายมากกว่ารายได้ที่เขามีหรือเปล่า

คนเราไม่จำเป็นต้องร่ำรวยอะไรมากมาย ถ้าเราอยู่กันแบบเรียบง่าย มีพออยู่พอกินพอใช้ จับจ่ายใช้สอยน้อยกว่าเงินที่เราหามาได้ ถ้าเราหามาได้น้อย เราก็ใช้น้อย ก็แค่นั้นเอง ไม่เห็นมีความจำเป็นที่จะต้องไปหยิบยืมเงินอะไรจากใครที่อื่น นอกเสียจากเขาคนนั้นมาหยิบยืมเงินเราเพื่อไปใช้ในการลงทุนหรือการทำธุรกิจ อันนั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่บางคนที่เป็นพวก “รายได้ต่ำ รสนิยมสูง” พวกนี้ก็น่าเป็นห่วง

กับการทำงานสมัยนี้ ที่เราทำงานกันบนโลกออนไลน์ได้ ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วเราชอบการทำงานแบบนี้ การส่งข้อความเข้ามาสอบถามอะไรต่าง ๆ นานา เป็นอะไรที่สะดวก เป็นอะไรที่สามารถทำกันได้ตลอด 24 ชั่วโมง

บางทีเราก็มีความจำเป็นที่จะต้องเลือกที่จะตอบหรือเลือกที่จะไม่ตอบข้อความเหล่านั้นด้วย เพราะถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว วัน ๆ หนึ่งเวลามันจะสูญหายไปกับการตอบข้อความเหล่านี้แน่นอน ดังนั้นจึงสำคัญมากที่เราจะต้องรู้จักการปฏิเสธรายการเลือกด้วยเช่นเดียวกัน

เราไม่จำเป็นต้องคิดว่า มันเป็นหน้าที่ที่เราจะต้องคอยตอบข้อความเหล่านั้น จริง ๆ แล้วเราสามารถเลือกได้ว่าเราจะตอบข้อความเหล่านั้นหรือเปล่า เรามีเวลาหรือเปล่า เราได้ทำงานที่สำคัญต่าง ๆ ของเราเสร็จแล้วหรือเปล่า ก่อนที่จะตอบพวกข้อความเหล่านั้น

บางทีมันก็สำคัญที่เราจะต้อง say “no” แล้วก็บริหารและจัดการเวลาของเราให้เป็นสัดส่วน ไม่งั้นงานที่สำคัญของเราก็จะไม่เสร็จ สุดท้ายแล้วคนที่ซวยที่สุดก็คือตัวเราเองนี่แหละ ดังนั้นเราก็ต้องรู้จักแยกแยะว่าสิ่งไหนสำคัญมาก สิ่งไหนสำคัญน้อย

ไม่ใช่ say “yes” ไปหมดซะทุกอย่าง แล้วงานไม่เสร็จเป็นชิ้นเป็นอัน แบบนี้ก็ไม่ดี

สุดท้ายแล้วเราก็ต้องดูแลตัวเองก่อน
ก่อนที่จะไปดูแลคนอื่น

เราต้องเมตตาต่อตัวเองด้วย
เราต้องรักตัวเราเองด้วย

เราต้องรักคนรอบข้าง คนในครอบครัวเราด้วยก่อนที่จะไปรักคนอื่น คนแปลกหน้า ที่ส่วนมากแล้วก็จะเป็นแค่ “ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป”

จอห์น เผ่าเพ็ง... เพราะฉะนั้น มันถึงเป็นเช่นฉะนี้

No comments:

Post a Comment