มันไม่ใช่ New Year resolution หรอกนะ แต่เราก็แค่อยากเปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น คือลดการทำงานอย่าบ้าคลั่งลง เริ่มแรกด้วยการเลิกใช้ computer laptop ที่สนามบินเป็นอันขาด
เออ มันก็ทำได้นะ
ยังไม่ตาย...
เราเดินทางไปทำงาน นั่น นี่ โน่น และก็กลับเมืองไทยบ่อยมาก
ถ้าเพื่อเป็นสมัยก่อนคือ
Packet WiFi ต้องพร้อม (ไม่ใช่ WiFi ของสนามบิน)
Laptop ต้องพร้อม
แล้วก็นั่งทำงานอยู่นั่นแหละจนกว่าพนักงานจะเรียกขึ้นเครื่อง
ทำงานกันจนแบบวินาทีสุดท้ายเลยทีเดียว
แต่นั่นมันก็สมัยก่อน เมื่อเราเริ่มหันมาอ่านหนังสืออย่างจริง ๆ จัง
แล้วก็บอกกับตัวเองว่า ต่อไปนี้เราจะไม่นั่งทำงานที่สนามบินเวลาเดินทางเป็นอันขาด
จะไม่มีการเปิด laptop
ถ้าเดินทาง domestic, laptop สามารถ check-in กับกระเป๋าเดินทางได้เลย แต่เราก็ชอบถือแยกมากกว่า
ถ้าเดินทาง international กลับเมืองไทย เราไม่เอา laptop ไปด้วยอยู่แล้ว
เพราะเราซื้อ Chromebook ทิ้งเอาไว้ที่เมืองไทย 3 เครื่อง
บ้าน 3 หลังก็ต้องมี Chromebook 3 เครื่อง
ตั้งแต่เลิกทำงานใน laptop
เวลาเดินทาง เราก็บอกกับตัวเองว่า
ทุกครั้งที่เดินทาง เราจะต้องเดินเข้าไปที่ร้านหนังสือ แล้วซื้ออะไรติดมือมา 1 เล่ม
จะเล่มอะไรก็ได้ จะหมวดหมู่ไหนก็ได้ จะราคาเท่าไหร่ก็ได้ เราไม่มี budget ในการซื้อหนังสือ
ซึ่งที่ผานมา มันก็ work มาก ทุกครั้งที่เดินทาง เราก็จะได้หนังสือเล่มใหม่ติดตัวตลอด อ่านบนเครื่อง อ่านอยู่ในโรงแรม อ่านเวลานั่งรอ เราคิดว่าเป็นการใช้และบริหารเวลาที่คุ้มค่ามาก
เวลาเราบิน domestic ไปทำงาน ปรกติเราจะบิน Business Class ของ Qantas อยู่แล้ว บริการอะไรต่าง ๆ ของ Business Class ก็แทบจะไม่ได้ใช่เลย เพราะเราก็นั่งอ่านหนังสือเงียบ ๆ มากกว่า หรือไม่ก็เลือกที่จะนอนพักผ่อน
หนังสือเล่มนี้ The Art of Quiet Influence สะดุดตาเรามากที่สนามบิน Adelaide
เราจำได้ว่าที่สนามบิน Adelaide มันก็มี 2 เล่มที่สะดุดตามเรา เล่มนี้; The Art of Quiet Influence และก็อีกเล่มหนึ่ง; Happy Money ของ Ken Honda ตอนนั้นเราเลือกซื้อ Happy Money ที่สนามบิน Adelaide เพราะหนังสือ The Art of Quiet Influence เราก็พอจะเดา ๆ ได้ว่าเนื้อหามันเป็นแบบไหน เพราะเราก็เคยอ่านหนังสือแนว ๆ นี้มาก่อนหน้านี้แล้ว นี่ข้อดีของการอ่านหนังสือเยอะ
ก็จนมาเจอหนังสือเล่มนี้อีกทีที่ Sydney ที่ Kinokuniya ก็เลยสอยติดมือมา
เราเคยอ่านหนังสือแนวนี้มาก่อน
ก็ประมาณว่า ถ้าเราต้องการให้ใครเป็นแบบไหน เราไม่จำเป็นต้องไปบอกเขา ว่าให้เขาเป็นยังไง
ให้เราทำตัวแบบนั้น แล้วเขาก็จะค่อย ๆ เห็น ค่อยซืมซับไปเอง อะไรประมาณนี้
หนังสือเล่มนี้อ่านบทแรก ก็คิดอยู่ว่า เอ๊ะ มันจะออกมาในแนวไหน
Jocelyn Davis ก็จะเขียนจากประสบการณ์การทำงานในองค์กร
ซึ่งจะแตกต่างจากเล่มที่เราเคยอ่าน หนังสือพวก quite influence หรือ inner circle influence ที่เราเคยอ่านจะเป็นการพูดถึง quite influence ทั้่ว ๆ ไป แต่ของ Jocelyn Davis จะเน้นการปฏิบัติตัวในสถานที่ทำงาน ในองค์การมากกว่า หลาย ๆ case study จะพูดถึงประสบการณ์ในการทำงานของเขา ที่เขาต้อง dealing กับผู้คนเยอะแยะมากมาย
ก็เป็นหนังสืออีกเล่มที่น่าอ่านนะ
จะเหมาะกับคนที่ภาษาอังกฤษแข็งแรงนิดหนึง
แต่ทุกคนก็อ่านได้แหละ เป็นการฝึกภาษา
ขึ้นมาบทแรก เราก็ชอบเลย
Jocelyn พูดถึงประสบการณ์การทำงานในบริษัท ซึ่งนานมาแล้ว ตอนนั้นเขาทำงานหน้าที่ในตำแหน่งเล็ก ๆ ต่ำต้อยหอยสังข์ เขาต้องเอากระดาษ flipchart สมัยก่อนกับไปทำงานต่อที่บ้าน แทนที่เจ้านายเขาจะบอกเขาว่าต้องการงานภายในวันนั้น วั้นนี้นะ งานเร่งด่วนนะ
เปล่าเลย
เจ้านายเขาบอกว่า “ขอบกระดาษมันคมนิดหนึงนะ ระวังมันจะบาดมือ (papercut)”
เฮ้ย ประโยคง่าย ๆ สั้น ๆ
แต่มันแสดงออกถึงความห่วงใยของผู้นำ
นี่แหละเขาเรียกว่า “คนพูดไม่ได้จำ คนฟังจำไปตลอดชีวิต”
กับคำพูดแบบนี้มันทำให้ Jocelyn รักและทุ่มเทในงานที่เขาทำมาก และก็อยู่บริษัทอีกเป็น 10-20 ปี (จำตัวเลขไม่ได้) และก็อีกหลาย ๆ case study ที่น่าสนใจ
ใครที่ต้องการเติบโตทางด้านความคิดและการกระทำ
นี่เลย เล่มนี้ “The Art of Quiet Influence” by Jocelyn Davis
AUD $32.98
ภาษาอาจจะอ่านยากนิดนึง ออกแนว textbook
แต่คนเรามันก็ต้องออกจาก comfort zone บ้างไม่ใช่เหรอ
ไม่อยากซื้อไม่เป็นไร
ก็ลองหายืมอ่านได้จาก public libary ทุก ๆ ที่
Leaders are Readers, but not all Readers are Leaders.
No comments:
Post a Comment