Sunday, July 12, 2020

The Art of Quiet Influence


เริ่ม 01 Jan 2019 (หรือ 2018 เราจำไม่ได้แล้ว)
มันไม่ใช่ New Year resolution หรอกนะ แต่เราก็แค่อยากเปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น คือลดการทำงานอย่าบ้าคลั่งลง เริ่มแรกด้วยการเลิกใช้ computer laptop ที่สนามบินเป็นอันขาด

เออ มันก็ทำได้นะ
ยังไม่ตาย...

เราเดินทางไปทำงาน นั่น นี่ โน่น และก็กลับเมืองไทยบ่อยมาก
ถ้าเพื่อเป็นสมัยก่อนคือ
Packet WiFi ต้องพร้อม (ไม่ใช่ WiFi ของสนามบิน)
Laptop ต้องพร้อม
แล้วก็นั่งทำงานอยู่นั่นแหละจนกว่าพนักงานจะเรียกขึ้นเครื่อง
ทำงานกันจนแบบวินาทีสุดท้ายเลยทีเดียว

แต่นั่นมันก็สมัยก่อน เมื่อเราเริ่มหันมาอ่านหนังสืออย่างจริง ๆ จัง
แล้วก็บอกกับตัวเองว่า ต่อไปนี้เราจะไม่นั่งทำงานที่สนามบินเวลาเดินทางเป็นอันขาด
จะไม่มีการเปิด laptop
ถ้าเดินทาง domestic, laptop สามารถ check-in กับกระเป๋าเดินทางได้เลย แต่เราก็ชอบถือแยกมากกว่า

ถ้าเดินทาง international กลับเมืองไทย เราไม่เอา laptop ไปด้วยอยู่แล้ว
เพราะเราซื้อ Chromebook ทิ้งเอาไว้ที่เมืองไทย 3 เครื่อง
บ้าน 3 หลังก็ต้องมี Chromebook 3 เครื่อง

ตั้งแต่เลิกทำงานใน laptop
เวลาเดินทาง เราก็บอกกับตัวเองว่า
ทุกครั้งที่เดินทาง เราจะต้องเดินเข้าไปที่ร้านหนังสือ แล้วซื้ออะไรติดมือมา 1 เล่ม
จะเล่มอะไรก็ได้ จะหมวดหมู่ไหนก็ได้ จะราคาเท่าไหร่ก็ได้ เราไม่มี budget ในการซื้อหนังสือ
ซึ่งที่ผานมา มันก็ work มาก ทุกครั้งที่เดินทาง เราก็จะได้หนังสือเล่มใหม่ติดตัวตลอด อ่านบนเครื่อง อ่านอยู่ในโรงแรม อ่านเวลานั่งรอ เราคิดว่าเป็นการใช้และบริหารเวลาที่คุ้มค่ามาก

เวลาเราบิน domestic ไปทำงาน ปรกติเราจะบิน Business Class ของ Qantas อยู่แล้ว บริการอะไรต่าง ๆ ของ Business Class ก็แทบจะไม่ได้ใช่เลย เพราะเราก็นั่งอ่านหนังสือเงียบ ๆ มากกว่า หรือไม่ก็เลือกที่จะนอนพักผ่อน

หนังสือเล่มนี้ The Art of Quiet Influence สะดุดตาเรามากที่สนามบิน Adelaide

เราจำได้ว่าที่สนามบิน Adelaide มันก็มี 2 เล่มที่สะดุดตามเรา เล่มนี้; The Art of Quiet Influence และก็อีกเล่มหนึ่ง; Happy Money ของ Ken Honda ตอนนั้นเราเลือกซื้อ Happy Money ที่สนามบิน Adelaide เพราะหนังสือ The Art of Quiet Influence เราก็พอจะเดา ๆ ได้ว่าเนื้อหามันเป็นแบบไหน เพราะเราก็เคยอ่านหนังสือแนว ๆ นี้มาก่อนหน้านี้แล้ว นี่ข้อดีของการอ่านหนังสือเยอะ

ก็จนมาเจอหนังสือเล่มนี้อีกทีที่ Sydney ที่ Kinokuniya ก็เลยสอยติดมือมา

เราเคยอ่านหนังสือแนวนี้มาก่อน
ก็ประมาณว่า ถ้าเราต้องการให้ใครเป็นแบบไหน เราไม่จำเป็นต้องไปบอกเขา ว่าให้เขาเป็นยังไง
ให้เราทำตัวแบบนั้น แล้วเขาก็จะค่อย ๆ เห็น ค่อยซืมซับไปเอง อะไรประมาณนี้

หนังสือเล่มนี้อ่านบทแรก ก็คิดอยู่ว่า เอ๊ะ มันจะออกมาในแนวไหน
Jocelyn Davis ก็จะเขียนจากประสบการณ์การทำงานในองค์กร
ซึ่งจะแตกต่างจากเล่มที่เราเคยอ่าน หนังสือพวก quite influence หรือ inner circle influence ที่เราเคยอ่านจะเป็นการพูดถึง quite influence ทั้่ว ๆ ไป แต่ของ Jocelyn Davis จะเน้นการปฏิบัติตัวในสถานที่ทำงาน ในองค์การมากกว่า หลาย ๆ case study จะพูดถึงประสบการณ์ในการทำงานของเขา ที่เขาต้อง dealing กับผู้คนเยอะแยะมากมาย

ก็เป็นหนังสืออีกเล่มที่น่าอ่านนะ

จะเหมาะกับคนที่ภาษาอังกฤษแข็งแรงนิดหนึง
แต่ทุกคนก็อ่านได้แหละ เป็นการฝึกภาษา

ขึ้นมาบทแรก เราก็ชอบเลย
Jocelyn พูดถึงประสบการณ์การทำงานในบริษัท ซึ่งนานมาแล้ว ตอนนั้นเขาทำงานหน้าที่ในตำแหน่งเล็ก ๆ ต่ำต้อยหอยสังข์ เขาต้องเอากระดาษ flipchart สมัยก่อนกับไปทำงานต่อที่บ้าน แทนที่เจ้านายเขาจะบอกเขาว่าต้องการงานภายในวันนั้น วั้นนี้นะ งานเร่งด่วนนะ

เปล่าเลย

เจ้านายเขาบอกว่า “ขอบกระดาษมันคมนิดหนึงนะ ระวังมันจะบาดมือ (papercut)”

เฮ้ย ประโยคง่าย ๆ สั้น ๆ
แต่มันแสดงออกถึงความห่วงใยของผู้นำ
นี่แหละเขาเรียกว่า “คนพูดไม่ได้จำ คนฟังจำไปตลอดชีวิต”

กับคำพูดแบบนี้มันทำให้ Jocelyn รักและทุ่มเทในงานที่เขาทำมาก และก็อยู่บริษัทอีกเป็น 10-20 ปี (จำตัวเลขไม่ได้) และก็อีกหลาย ๆ case study ที่น่าสนใจ

ใครที่ต้องการเติบโตทางด้านความคิดและการกระทำ
นี่เลย เล่มนี้ “The Art of Quiet Influence” by Jocelyn Davis
AUD $32.98

ภาษาอาจจะอ่านยากนิดนึง ออกแนว textbook
แต่คนเรามันก็ต้องออกจาก comfort zone บ้างไม่ใช่เหรอ

ไม่อยากซื้อไม่เป็นไร
ก็ลองหายืมอ่านได้จาก public libary ทุก ๆ ที่

Leaders are Readers, but not all Readers are Leaders.

No comments:

Post a Comment