Friday, June 29, 2018

Purple Cow: Transform Your Business by Being Remarkable


Purple Cow; Transform Your Business by Being Remarkable

Purple Cow ก็เป็นหนังสือเล่มบาง ๆ นะ 160 หน้า
ตอนนี้เราอ่านพวก ebook เยอะ ถ้าเห็นหนังสือพวก 160 หน้า ตอนนี้ถือว่าธรรมดามาก เพราะเราอ่านหนังสือแทบทุกวันอยู่แล้ว

ตอนนี้อ่านแทบทุกวันจริง ๆ 
มันเป็นความสุข
มันเป็นการ escape the daily grind จริง ๆ

แต่เราก็ไม่ได้ download หนังสือ Purple Cow มาเป็น ebook นะ เพราะตอนนั้นก็กำลังอ่านอีกเล่มอยู่

เราก็เลยเลือกที่จะ download เป็น audiobook แทน
ซึ่งก็เป็นอะไรที่สั้น ๆ เป็น audiobook แค่ประมาณ 3 ชั่วโมง และก็อ่านโดยคนเขียนเอง คือ Seth Godin

ซึ่งเราก็ฟัง audiobook เวลาขับรถไปทำงาน หรือช่วงเวลาที่เราเดินทางไป นั่น นี่ โน่น

หนังสือ Purple Cow ก็เป็นหนังสือเกี่ยวกับ business
เกี่ยวกับการทำธุรกิจ
ว่าเราต้องทำอะไรที่แตกต่าง
ไม่เหมือนใคร เพื่อที่เราจะได้ standout จากคนอื่น ๆ 
แต่ก็ต้องเป็นการ standout ไปในทางที่ดีนะ

เนื้อหามีแค่นี้จริง ๆ 

โดยส่วนตัวแล้ว เราคิดว่า เรารู้ตรงจุดนี้อยู่แล้ว
ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่

เพราะเราเคยอ่านหนังสือ Blue Ocean Strategy ของ Renée Mauborgne, W. Chan Kim ซึ่งเนื้อหาจะดีกว่านี้มากเยอะเลย

และเราก็ได้นำเอา Blue Ocean Strategy เข้ามาประยุกต์กับการทำธุรกิจของเรา มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว 

พอมาได้ฟัง audiobook Purple Cow มันจึงไม่ได้แปลกที่เรารู้สึกเฉย ๆ ไม่ได้มีอะไรตื่นเต้นอะไรมากมาย
ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่
อีกอย่างหนังสือเล่มนี้ก็เก่ามากแล้ว พิมพ์ครั้งแรก 2007

สาเหตุที่เรา download audiobook เล่มนี้มาฟังก็เพราะทุกครั้งที่เราไปออกกำลังกาย ไม่ว่าจะเดินออกกำลังกายหรือเข้า gym เราจะฟัง postcast ของ Tim Ferriss หรือไม่ก็ Gary Vee ตอนนี้ฟัง postcast อยู่แค่ 2 คนนี้จริง ๆ 

พอดี Tim Ferriss สัมภาษณ์แขกรับเชิญของเขาคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้หญิง CEO ที่ผลิต viagra สำหรับผู้หญิง เขาเป็น  CEO ที่ประสบความสำเร็จมาก เราจำชื่อไม่ได้ Tim Ferriss ถามเขาว่าเขามีหนังสือเล่มไหนที่เขาชอบที่สุด

ผู้หญิง CEO คนนั้นตอบว่า Purple Cow และเธอก็บอกว่า เธอซื้อให้พนักงานทุกคนในบริษัทอ่าน และก็ซื้อเป็นของฝากให้กับหลาย ๆ คนด้วย เธอบอกว่าเธอประสบความสำเร็จ เป็น CEO หญิงที่บริษัทมีคนมาเสนอซื้อบริษัทด้วยราคา US$1,000,000,000 ซึ่งเธอก็ขายไปแล้ว US$1,000,000,000 แต่เธอก็ซื้อกลับมาทำและบริหารเองในที่สุด

นั่นแหละเหตุผลของเราที่ download audiobook มาฟัง

แต่ถ้าใครเคยอ่าน หรือฟัง audiobook Blue Ocean Strategy แล้ว เราก็ไม่แนะนำ Purple Cow นะครับ

เนื้อหาในหนังสือ Blue Ocean Strategy ดีกว่าเยอะ

แต่ anyway ไม่ว่าจะอ่านหนังสือ หรือฟัง audiobook เล่มไหน
จะดีมากน้อยแค่ไหนก็ตามแต่
ทุกอย่างมันคือความรู้นะครับ
ไม่มากก็น้อย
มันเป็นการเปิดโลกทัศน์อีกอย่างหนึ่ง

นี่ก็อ่านและฟังได้ 23 เล่มแล้วสำหรับปี 2018, as of 29 June 2018

Sunday, June 24, 2018

ตัดบัว อย่าให้เหลือเยื่อใย


ตัดบัว อย่าให้เหลือเยื่อใย

มันเป็นธรรมดาของชีวิตมนุษย์ ที่เราเกิดมา “พบเพื่อพราก”
งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกรา

วันนี้เรารักกัน
พรุ่งนี้จะเป็นอะไรยังไง เราไม่อาจสามารถเดาเหตุการณ์ในอนาคตได้

ไม่ว่าจะอะไรยังไงก็ตามแต่
คนเราเกิดมา “ฆ่าได้ หยามไม่ได้”
ศักดิ์ศรี เกียรติยศและความเป็นคน “กินไม่ได้แต่เท่ห์”
เราก็ต้องรักษาเอาไว้ด้วย

เราอย่าให้ใครมาดูถูก เหยียดหยาม หรือเอารัดเอาเปรียบเราได้

หากวันใด เราจะต้องมีการเลิกราต่อกัน
ไม่ว่าจะในฐานะของคนรักเก่า เพื่อนเก่าที่ไม่ต้องการจะคบแล้ว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรยังไงก็ตามแต่

ลูกค้าเก่าที่ไม่ต้องการที่จะติดต่อหรือสุงสิงแล้วก็เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรยังไงก็ตามแต่

ตัดบัวไม่ต้องเหลือเยื่อใย
ชีวิตคนเราต้องก้าวเดินต่อไป
มองไปข้างหน้า
ไม่มองย้อนหลัง

หากใครคนใดคนหนึ่ง เขาไม่เห็นคุณค่าของเรา
ก็ไม่เป็นไร
เราไม่สามารถไปบังคับใครได้
ขอให้เราเห็นคุณค่าของตัวเราเองก็เป็นพอ

ตัดบัวไม่ต้องเหลือเยื่อใย
ดำเนินชีวิตของเราต่อไป
ทำงานของเราต่อไป
ไปใช้ชีวิตอยู่กับเพื่อนกัลยาณมิตร ที่เขาเห็นคุณค่าของเรา

ชีวิตของเราอย่าให้ใครมาเอาเปรียบเราได้

บาดแผลในใจที่ใครบางคนได้ฝากเอาไว้
เจ็บแล้วต้องจำ แล้วอย่าให้เกิดซ้ำอีก

หากเขาติดต่อกลับเข้ามา
ก็ไม่ต้องไปโต้ตอบ
ไม่ต้องไปสุงสิงด้วย
“ความเงียบ” มันคือการปฏิเสธอีกอย่างหนึ่ง

ชีวิตของเรา เราเลือกเองได้
ชีวิตของเรา เราจะต้องกุมบังเหียนชีวิตของเราด้วยตัวของเราเอง
เราอย่าให้ใครมาประเมินค่าชีวิตของเรา
เราประเมินค่าของเราได้

หากวันใด ที่เรามีความจำเป็นที่จะต้องตัดใครสักคนออกไปจากชีวิตของเรา

ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนบางคนที่เราไม่ต้องการที่จะคบแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นคนรักเก่าที่เราไม่ต้องการที่จะเจอแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นคู่ค้าที่เราไม่ต้องการที่จะติดต่อด้วยแล้ว

ถ้าหากเรามีความจำเป็นที่จะต้องตัดใครออกไปจากชีวิตของเรา ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรยังไงก็ตามแต่ เราก็ต้องเด็ดขาด ตัดบัวไม่ต้องเหลือเยื่อใย ทำอะไรอย่าให้มันคาราคาซัง มันเสียเวลา ชีวิตมันไม่เดินหน้าหรือถอยหลัง ชีวิตมันย่ำอยู่กับที่

ชีวิตคนเราบางทีมันก็ต้องเด็ดขาด เพราะถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว ชีวิตเราก็จะโดนคนอื่นเอาเปรียบอยู่เรื่อยไป

หากเราปล่อยชีวิตของเราให้โดนเอาเปรียบอยู่เรื่อยไป
มันก็เป็นการเบียดเบียนตัวเอง
มันเป็นการเบียดเบียนคนที่เขารักเรา
มันเป็นการเบียดเบียนคนที่เขาเห็นคุณค่าของเรา

เราต้องรักตัวเราเอง ด้วยการไม่เบียดเบียนตัวเราเอง
ตัดใครบางคนออกไปจากวงจรชีวิตของเรา เพื่อที่ชีวิตของเราจะได้ไม่มีอะไรมาหน่วงเหนี่ยวเกี่ยวรั้งชีวิตของเราเอาไว้ได้

อย่าให้ใครบางคนมาถ่วงความเจริญชีวิตของเรา
เราต้องรู้จักที่จะตัด “มะเร็งแห่งชีวิต” ออกไปจากชีวิตของเราด้วย

ตัดบัวไม่ต้องเหลือเยื่อใย
แล้วชีวิตของเราก็จะเป็นอิสระ... carefree...

พูดง่าย แต่อาจจะทำได้ยาก
แต่ก็ต้องลองทำดู

ไม่งั้นทุกอย่างมันก็จะ เดิม ๆ เหมือนเช่นที่ผ่านมา

...จอห์น เผ่าเพ็ง... เพราะฉะนั้น มันถึงเป็นเช่นฉะนี้

Thursday, June 21, 2018

ค่าของเรา


...ค่าของเรา...

มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลก
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าศึกษาและค้นคว้า
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่อยากจะได้ในสิ่งเขาต้องการ
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มองเห็นแต่ความต้องการของตัวเองฝ่ายเดียวเป็นใหญ่

มนุษย์หลาย ๆ คนลืมตัวคิดว่าโลกหมุนรอบตัวเขา
มนุษย์หลาย ๆ คนลืมตัว คิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล

มนุษย์เราก็อาจจะมองข้ามคุณค่าของคนอื่นไป
อาจเป็นเพียงเพราะเขามัวแต่มุ่งที่เอาแต่จะได้ หรือเห็นความต้องการของตัวเองเป็นใหญ่

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่
หากเราได้มีโอกาสเจอะเจอกับมนุษย์แบบนี้
เราจะต้องไม่ใส่ใจ
เราจะต้องไม่สุงสิง
เราไม่ต้องไปเสวนาด้วย

หากใครไม่เห็นคุณค่าของเรา
ไม่เป็นไร
ขอให้เราเห็นคุณค่าของตัวเราเองก็เป็นพอ
เราไม่มีความจำเป็นที่จะต้องให้ใครคนอื่นมาประเมินค่าของเรา
ตัวเราเองต้องรู้ตัวเราเองดีที่สุด
ตัวเราเองต้องรู้คุณค่าของตัวเอง
ตัวเราเองต้องรักและเคารพในตัวของเราเอง

กับชีวิตของการทำงานก็เหมือนกัน
เราก็ต้องรู้ด้วยว่าวันหนึ่งมันมีแค่ 24 ชั่วโมง
หากคนอื่นไม่รู้ไม่เป็นไร นั่นมันคือปัญหาของเขา ไม่ใช่ปัญหาของเรา

แต่เราต้องรู้
เราต้องรู้ว่า  24 ชั่วโมงนี้ เราจะเอาเวลาของเราไปใช้อยู่กับใคร เราจะเอาเวลาของเราไปทำอะไร
เราจะเอาเวลาเหล่านั้นไปสูญเสียกับใครบางคนที่เขาไม่เห็นคุณค่าของเราหรือเปล่า

กับโลกและสังคมปัจจุบันที่ทุกคนเอาแต่อยากจะได้
กับโลกและสังคมปัจจุบันที่หลาย ๆ คนลืมที่จะ “ให้” ก่อน
บางทีตัวเราเองนี่แหละที่จะต้องเลือกว่าใครที่เราควรจะเสวนาด้วย

และใครที่เราควรจะมองข้ามไป ก้าวข้ามไป
ไม่ต้องไปวุ่นวายด้วย
ไม่ต้องไปเสวนาด้วย

ก็เพราะวันหนึ่งมันมีแค่ 24 ชั่วโมง
เราควรจะเอาเวลาเหล่านั้นมาอยู่กับคนที่เขาเห็นคุณค่าของเรา
เราควรจะเอาเวลาเหล่านั้นไปเสวนากับคนที่เขาเห็นคุณค่าของเรา
เราควรจะเอาเวลาเรานั้นไปสุงสิงกับคนที่เขาเห็นคุณค่าของเรา

เราไม่ควรให้ใครบางคนที่เขาไม่เห็นคุณค่าของเรา มาทำให้เราเสียเวลาและก็เสียพลังงานของเราไป

ของมีค่าบางสิ่งอย่าง
ของดีไม่ต้องโฆษณามาก
คนที่เขาเห็นคุณค่าของเรา เขาจะรู้เอง
ส่วนคนที่เขาไม่เห็นคุณค่าของเรา เราก็ต้องปล่อยเขาไป

“เพชร” มันก็ต้องเป็นเพชรอยู่วันยังค่ำ
ก็ให้เราคิดเสียว่า “หมดบุญของเขา หมดกรรมของเรา”

ที่เราได้โคจรมาพบกันในครั้งนี้ มันอาจจะเป็นกรรมเก่าของเราก็ได้ ก็ถือเสียว่าเราได้ชดใช้กรรมซึ่งกันและกัน แล้วเราก็ไม่ต้องเจอกันอีก ก็ขอให้ทุกคนได้เดินทางชีวิตของใครมัน

ชีวิตของคนเรา มันก็เป็นสมการง่าย ๆ เราไม่จำเป็นต้องทำให้มันวุ่นวาย
ชีวิตของคนเรา เราเลือกแบบไหนเราก็จะได้แบบนั้น

โดยส่วนตัวแล้ว เราขอเลือกใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ด้วยการอยู่ท่ามกลางกับคนที่เขารักเรา เขาเห็นคุณค่าของเรา

ดังนั้นเราก็ต้องทำตัวเราเองให้มีคุณค่าสำหรับเขา แล้วตอบแทนความรักและคุณค่าที่คนรอบ ๆ ข้างของเราให้เรามา

เราอย่าไปเสียเวลากับคนที่เขาไม่เห็นคุณค่าของเรา

ก็เพราะเวลามันก็เหมือนสายน้ำ ที่มันไม่สามารถไหลกลับคืนย้อนมาได้ ดังนั้นเราต้องใช้เวลาของเราให้มีคุณค่า เราต้องใช้เวลาของเราให้เกิดประโยชน์

อยู่กับคนที่เรารัก
อยู่กับคนที่รักเรา
อยู่กับคนที่เขาเห็นคุณค่าของเรา
อย่าให้ความคิดเห็นหรือการตัดสินใจของใครบางคน มากำหนดชีวิตของเราได้

“คุณค่า” ของเรา เราต้องเป็นคนกำหนดเอง...

เพราะฉะนั้น มันถึงเป็นเช่นฉะนี้

Wednesday, June 20, 2018

The Courage To Be Disliked

The Courage To Be Disliked

เป็นหนังสือที่ดูผิวเผินแล้วน่าอ่าน
เราเห็นหนังสือเล่มนี้ขายอยู่ที่ Dymocks $24.99
แต่พอเราเปรียบเทียบราคาแล้วกับ e-book $12.34
เราก็อุตส่าห์ซื้อดีใจซื้อได้ถูก

ก็  OK นะ เป็นหนังสือพวกปรัชญาและก็ self-improvement ซึ่งเราก็คิดว่าเราอ่านหนังสือพวกนี้มามากแล้วพอสมควร

หนังสือมีทั้งหมด 242 หน้า
เราอ่านมาได้ถึงหน้า 127 แล้ว คิดว่าไม่ work

ไม่ค่อยมีอะไรแปลกใหม่ (สำหรับเรานะ)

หนังสือเป็นหนังสือมาจากประเทศญี่ปุ่น แล้วแปลเป็นภาษาอังกฤษ

หนังสือจะเป็นบทสนทนาระหว่างคน 2 คน
คือประมาณว่าชายหนุ่มถามมา แล้วนักปรัชญาก็ตอบไปอะไรประมาณนี้

และที่เราไม่ค่อยชอบก็คือ หนังสือเล่มนี้อ้างอิงถึงปรัชญา Greek นั่น นี่ โน่น และก็เอ่ยชื่อนักปรัชญาคนโน้น คนนี้ ซึ่งเราคิดว่ามันไร้สาระไปนิดหนึง

ปรัชญาก็คือปรัชญา ไม่ต้องมาแบ่งว่านี่คือปรัชญา Greek นี่คือปรัชญาจีน นี่คือปรัชญาญี่ปุ่น

คนเราจะนำมาเอามาประยุกต์ใช้กับชีวิต
หรืออ่านเพื่อเพิ่มวิสัยทัศน์ เราไม่อยากรู้หรอกว่าปรัชญานี้มันมาจากที่ไหน หรือเป็นทฤษฎีของใคร

เราก็เลยจะหยุดการอ่านไว้ที่หน้า 127 ละกัน
จะได้เอาเวลาไปอ่านเล่มอื่น...

Monday, June 11, 2018

The Automatic Millionaire


The Automatic Millionaire

หนังสือ The Automatic Millionaire ของ David Bach มันหนังสือที่เก่ามากแล้ว เป็นหนังสือที่ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ Apr 2005.

เนื้อหาอะไรหลาย ๆ อย่างสำหรับปี 2018 เราคิดว่าเป็นเนื้อหาและความรู้ที่หลาย ๆ คนคงรู้หรือได้ยินกันมาบ้างแล้ว

เราก็รู้จักหนังสือเล่มนี้จากการฟัง podcast ของ Tim Ferriss ก็เลยซื้อ audiobook มาฟัง

เนื้อหาและ concept ของหนังสือเล่มนี้คือพูดถึงเรื่องการจัดการเรื่องการเงินของแต่ละบุคคล

เราไม่จำเป็นต้องมีรายได้หรือเงินเดือนที่เยอะแยะมากมาย แต่ถ้าเรารู้จักที่จะแบ่งเงินรายได้ของแต่ละเดือนออกเป็นสัดส่วน เราก็สามารถประสบความสำเร็จทางด้านการเงินได้ อย่างเช่น

- เงินเดือนที่ได้มา 10% ให้หักออกไปจากรายได้เราเลย เพื่อการลงทุนระยะยาว ดังนั้นเราก็ควรที่จะมีการวางแผนเพื่อการลงทุนระยะยาวด้วย หลาย ๆ คนอาจจะบอกว่า แค่ทุกวันนี้ก็จะไม่มีกินอยู่แล้ว แต่ก็อยากจะให้ลองทำกันดูนะครับ อย่างเช่น ถ้าเรามีรายได้มา $100 เราก็เก็บเอามาใช้จ่าย นั่น นี่ โน่น $90 ส่วน 10% ของรายได้เนี๊ยะให้หักจากรายได้ของเราไปเลยทันที ถ้า 10% นี้ไม่ได้เข้าบัญชีประจำของเรา เราก็จะไม่มีการหยิบเงินส่วนนั้นมาใช้ บางคนอาจจะเปิดบัญชีเป็น long-term deposit หรือบางคนอาจจะหัก 10% เข้าบัญชี super ไปเลยก็ได้ เพราะ super คือการลงทุนระยะยาว ส่วนตัวเราเอง งานของ "J Migration Team", เราให้ลูกค้าที่ทำ case consult กับเราโอนตังค์เข้าบัญชีของ Brickx.com.au ที่เราเปิดเอาไว้เพื่อการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ เพราะตังค์พวกนี้ไม่ได้เข้าบัญชีสำหรับการใช้จ่าย เราจับต้องไม่ได้ เราก็จะไม่ใช้จ่ายมัน ซึ่งถ้าหากเราให้เงินทุกบาททุกสตางค์เข้ามาบัญชีส่วนตัวเรา เราจับต้องได้ง่าย เราก็จะมีการจับจ่ายได้ง่ายเช่นเดียวกัน นี่ก็อีกหนึ่ง strategy ที่เราใช้ หลาย ๆ คนก็ลองนำเอาไปประยุกต์ใช้ได้นะครับ นี่ก็ถือว่าเป็นอีกระบบที่ automate คือเรา set ระบบทุกอย่างเอาไว้แล้ว ก็ไม่ต้องคอยจัดการเรื่องนี้ทุกวัน set ให้เป็นระบบ แล้วก็ลืมมันไปเลย ไม่ต้องไปจับต้องมันอะไรมาก ไม่ต้องไปเปลี่ยนแปลงอะไรมาก

- หลาย ๆ คนอาจจะบอกว่า รายได้ไม่มากพอที่จะเก็บสะสม แต่ทุกวัน ทุกเช้า เขามีเงินจ่ายค่ากาแฟ ถ้าเป็น Soy Latter แก้วใหญ่ที่เราเคยสั่งประจำก็ $5.50 ราคาประมาณนี้ แล้วแต่ร้าน ถ้าเราสั่งดื่มทุกวันจนเป็นนิสัย นั่นคือ

$5.50 x 356 วัน = $1,958 ต่อปี

หลาย ๆ คนก็อาจจะสั่ง muffin หรือ babana bread ด้วย สำหรับ breakfast ตอนเช้าก่อนไปขึ้นไปทำงานที่ office, muffin หรือ babana bread ที่ cafe หลาย ๆ ที่แถวออฟฟิตเราที่ Wollongong ก็ตกประมาณ $3.5 ถึง $3.80
นั่นคือ
$3.50 x 52 weeks x 5 วันที่ทำงาน Mon-Fri = $901

เอาเป็นว่า เราคำนวณว่า เราดื่มกาแฟทุกวัน $5.50 x 356 วัน = $1,958 ต่อปี
แต่ซื้อ muffin เฉพาะวันที่ทำงาน 
$3.50 x 52 weeks x 5 วันที่ทำงาน Mon-Fri = $901

นั่นคือ $1,958 + $901 = $2,868 ต่อปี

นี่คือรายจ่ายที่หลาย ๆ คนจ่ายตอนเช้าก่อนขึ้นไปทำงานที่ office
แล้วไหนจะช่วง coffee break, ช่วง afternoon break อีกหละ
นี่คือเราคำนวณแค่กาแฟวันละแก้วต่อวันนะ
หลายคนอาจจะสั่งหลายแก้ว รายจ่ายก็จะเพิ่มขึ้นตรงจุดนี้

นี่เป็นอะไรที่เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่หลาย ๆ คนมองข้าม
หลาย ๆ คนคิดแค่ว่ามันคือรายจ่ายของแค่วันนั้น แต่เราลืมที่จะคูณด้วย 356 เพราะปีหนึงมี 356 วัน

หากเราสามารถหักรายจ่ายตรงจุดนี้ออกไป $2,868 ต่อปี แล้วเอาตังค์ตรงจุดนี้ไปลงทุนทุก ๆ ปีเป็นระยะเวลา 10 ปี 

$2,868 x 10 = $28,680.00

แต่มันต้องได้เยอะกว่า $28,680 อยู่แล้ว เพราะถ้าฝากเป็นเงินฝากประจำแบบ long-term deposit มันก็ต้องได้ดอกเบี้ยที่สูงกว่าอยู่แล้ว หรือเราก็สามารถนำเอาตังค์ตรงจุดนี้ไปซื้อหุ้น ไปลงทุนอะไรก็ว่าไป และถ้าจะซื้อหุ้นก็คือซื้อหุ้นแบบ "ซื้อแล้วเก็บ" เป็นการซื้อเพื่อการลงทุน investing (investor) ไม่ได้เป็นแบบซื้อมา ขายไป แบบนั้นจะเป็นแบบ trading (trader)

เราจะเห็นได้ว่า การลงทุน ไม่จำเป็นต้องรอให้รวยหรือมีตังค์เยอะ ๆ ก่อนถึงจะสามารถลงทุนได้

มันขึ้นอยู่กับการบริหารเงิน และแนวคิดด้วย

David Bach ก็ได้ยกตัวอย่างพวก case study ที่น่าสนใจหลาย ๆ case อย่างเช่น

คน ๆ หนึ่งทำงานเป็นบุรุษไปรษณีย์ เป็นพนักงานประจำ มีรายได้ประมาณแค่ US$40,000 ต่อปี สมัยโน้น นานมาแล้ว แต่เขาก็ทำเป็นระบบ automatic มีการหักเงินรายได้ก่อนจ่ายเข้าไปอีกบัญชีหนึ่งเพื่อลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ เขาทำอย่างนี้ทุก ๆ เดือน ทุก ๆ ปี

พอเกษียณ เขามีเงินในบัญชีของเขาหลายล้าน US$ มาก

นี่ก็เป็น 1 case study นะครับ ไม่ได้หมายความว่าทุกคนต้องลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ แต่ concept คือถ้าเราทำอะไรที่เป็น automatic ทุก ๆ เดือน ทุก ๆ ปี ทุกอย่างก็จะค่อย ๆ เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเอง โดยที่เราไม่จำเป็นต้องคอยไป manage หรือดูแลทุกวัน เราก็ดำเนินชีวิตของเราไปตามปรกติ

Anyway.... ใครจะได้ idea หรือ concept อะไรจาก blog นี้ จาก post นี้ ก็สุดแล้วแต่การเลือกที่จะคิดขอแต่ละคนนะครับ


Saturday, June 9, 2018

ความไม่เที่ยง


"ความไม่เที่ยง"


ทุกสิ่งอย่างบนโลกใบนี้มันมี เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป
ทุกสิ่งอย่างล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง
ทุกสิ่งอย่าง ไม่มีอะไรที่ยั่งยืน


ทุกสิ่งอย่าง มันผ่านมาแล้ว  แล้วก็ผ่านไป
ลาภยศสรรเสริญ ความรักความใคร่ การชอบพลอก็เหมือนกัน มันผ่านมาแล้ว แล้วก็ผ่านไป เหมือนเช่นทุกสิ่งอย่าง


วันนี้คนเรารักใคร่ชอบพลอกันได้
พรุ่งนี้ความสัมพันธ์อาจจะเปลี่ยนแปลง


หากเราคิดได้เช่นนี้
หากเรารู้เท่าทัน
ชีวิตเราก็จะไม่เป็นทุกข์ เพราะนี่คือส่วนหนึ่งของสัจธรรมของชีวิต


เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป
ความรัก ความใคร่ ความโกรธ ความโลภ ความหลง ก็เช่นเดียวกัน


ทุกสิ่งอย่างในชีวิตนี้มันช่างไม่มีอะไรแน่นอนเสียนี่กระไร


เราไม่ควรที่จะไปยึดติดกับอะไรมากมาย
รูป รส กลิ่น เสียง ความรู้สึก ลาภยศสรรเสริญ มันเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงเลยจริง ๆ


หากเรามัวยึดติดกับสิ่งเหล่านี้
หากเราไม่รู้เท่าทัน
ชีวิตเราก็จะกลายเป็นทาสของความรู้สึก
กลายเป็นความทุกข์


ความรู้สึกที่ไม่ปลอดภัย
ความรู้สึกที่กังวล
ล้วนแล้วแต่เป็นบ่อเกิดของความทุกข์ทั้งสิ้น


หลายสิ่งอย่างในชีวิตมันคือภาพลวงตา
เมื่อไหร่ที่เราตกเป็นเหยื่อของมัน เมื่อนั้นชีวิตเราก็จะเป็นทุกข์


เมื่อไหร่ที่เรารู้เท่าทัน
เราก็สามารถที่จะก้าวข้ามสิ่งเหล่านี้ไปได้
และเมื่อนั้นเราคงก็จะหลุดพ้นจากความทุกข์เหล่านี้ไปได้


พินิจพิจารณากับทุกสิ่งอย่าง ทุกเหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้นกับชีวิตเรา


ทุกสิ่งอย่างล้วนแล้วแต่มีที่มาและก็ที่ไป
ทุกสิ่งอย่างล้วนแล้วแต่มีเหตุ และมีผลในตัวของมันเอง
หากเราคิดได้เช่นนี้ ชีวิตเราก็จะมีความสุข
หากเราคิดได้เช่นนี้ ชีวิตเราก็จะมีความทุกข์น้อยลง


ฉันใดก็ฉันนั้น

ก็เพราะฉะนั้น มันถึงเป็นเช่นนี้