Saturday, August 1, 2020

สมองเศรษฐี



ขุนเขา อาจจะมีชื่อเสียงในสื่อออนไลน์

แต่เขาก็อายุยังน้อยนะคิดว่าน่าจะประมาณ 26 หรือ 27 เรียนจบทางด้านจิตวิทยาจาก ANU, Canberra.

ก็เป็นเด็กที่จบจากประเทศออสเตรเลียนี่เอง มหาวิทยาลัยเดียวกันกับเราด้วยสิ

เราไม่ได้เป็นแฟนคลับของคุณเขาหรอก
แต่เราก็ซื้อหนังสือของเขามาอ่าน เพราะอยากรู้ว่ามีอะไรบ้าง

ก็โอเคนะ

หนังสือของเขาก็ดีอยู่ในระดับหนึ่ง ไม่ได้ขี้เหร่มาก

หนังสือของขุนเขาส่วนมากจะมีคำว่า “สมอง”
ชื่อหนังสือเป็นอะไรที่น่าสนใจ เพราะมันเกี่ยวกับวิธีคิด
และเราก็ชอบที่เขาบอกว่า “ความมั่งมีสร้างด้วยสมองและสองมือ”

ก็เลยต้องหยิบติดมือมาด้วย

แต่ก็อย่าลืมว่าเค้าก็ยังเป็นเด็ก อายุขนาดนี้จะมีประสบการณ์ชีวิตอะไรมาสอนเรามากก็คงไม่ได้

เนื้อหาส่วนมากก็อ้างอิงมาจากหนังสือเล่มอื่น ซึ่งเราก็เคยอ่านมาแล้วหลายๆเล่ม

แนวคิดหรือจิตวิทยาการใช้ชีวิตเหล่านี้เราก็สามารถหาอ่านได้อยู่แล้วจากหนังสือต่างประเทศทั่วไปที่เราเคยอ่านมา

เนื้อหาที่อยู่ในหนังสือไม่ใช่เรื่องใหม่
แต่การที่เราได้อ่านเป็นภาษาไทยมันก็เป็นการตอกย้ำวิธีคิดด้วย

และราคาก็ไม่แพง
อ่านง่าย

เราคิดว่าหนังสือที่เขียนโดยคนไทย ส่วนมากก็จะออกแนวนี้แหละ

เนื้อหาไม่ค่อยหนักมาก

หนังสือของสำนักพิมพ์ Amarin How To เราคิดว่ายังไงก็เทียบเท่ากับสำนักพิมพ์ OpenBooks ไม่ได้

มันกระดูกคนละเบอร์
ถ้าถามว่า OK ไหม
ก็ OK นะ

มันก็มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ที่มันช่วยตอกย้ำการใช้ชีวิตของเรา

เราคิดว่าการอ่านมันก็ดีหมดแหละ
มันก็ให้ข้อคิดอะไรนั่นนี่โน่นบ้าง

มันอาจจะไม่ใช่หนังสือที่ดีที่สุดในหมวดหมู่ของจิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง

เราก็คิดว่ามันอยู่ในระดับกลางๆ

ซึ่งก็พออ่านได้

ถ้าใครมีเวลาว่างก็ลองหาซื้อมาอ่านดูนะครับ ราคาไม่แพงมาก

ราคา 225 บาท
271 หน้า

Reading is SEXY.
Leaders are Readers.

Sunday, July 26, 2020

คิดแบบยิวทำแบบญี่ปุ่น; เล่ม 1


หนังสือเรื่อง “คิดแบบยิวทําแบบญี่ปุ่น”

เขียนโดย Honda Ken ซึ่งทีแรกเขาก็คิดว่าจะเขียนเล่น ๆ ในช่วงเวลาที่พักหยุดงาน 1 ปีเพื่อที่จะมาดูแลลูก แต่ปรากฏว่าหนังสือของเขาขายดีเทน้ำเทท่า จนตอนนี้เขาเขียนหนังสือออกมามากแล้วกว่า 100 เล่ม

หนังสือเรื่องคิดแบบยิวทําแบบญี่ปุ่น

เป็นหนังสือที่อ่านง่ายเพราะเขาเขียนเป็นเรื่องราวเป็นบทสนทนา กึ่ง ๆ นวนิยาย

มันเป็นบทสนทนาระหว่างตัวเขาเองกับเศรษฐีชาวยิวที่เขาเจอที่ USA ในช่วงที่เขาเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยน

หนังสือนี้ให้ข้อคิดหลายอย่าง

โดยเฉพาะในเรื่องของการบริหารธุรกิจ เพราะว่าคนยิวมีหลักการบริหารและการทำธุรกิจที่ดีมาก หนังสือเล่มนี้จึงถูกย่อยออกมากึ่ง ๆ ของความคิดแบบยิวแล้วก็กึ่ง ๆ ความคิดของคนญี่ปุ่น ซึ่งผสมผสานกันได้ดีมาก

หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่อ่านง่าย
เล่มเล็กๆ

คุ้มค่าแก่การอ่านเป็นอย่างยิ่ง
คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม

ก็อยากให้ทุกคนลองอ่านดู


271 หน้า
ราคา 230 บาท

Reading is SEXY.
Leaders are Readers.

Saturday, July 25, 2020

ถอดรหัสลับ สมองเงินล้าน


หนังสือเล่มนี้ก็จะออกแนว NLP
The Secret
หรือไม่ก็ Think and Grow Rich

ซึ่งผู้อ่านเองก็ต้องใช้วิจารณญาณในการอ่าน
ไม่จำเป็นต้องเชื่อทั้งหมด
ไม่จำเป็นต้องนำเอาไปปฏิบัติทั้งหมด

เราก็ต้องคัดและก็เลือกเอาเฉพาะสิ่งที่เราคิดว่าดีแล้วก็เหมาะสมจากหนังสือที่เราอ่าน นำมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับชีวิตของเราเอง

หนังสือบางเล่ม เนื้อหาอาจจะไม่ถูกจริตกับเรามาก
แต่การอ่าน เราก็สามารถเก็บข้อคิดเล็กๆน้อยๆจากหนังสือพวกนี้ได้
จากตัวอักษรพวกนี้ได้
ดีกว่าที่เราจะเอาเวลาของเราไปนั่งซุบซิบนินทา
ไปนั่งเล่นโซเชียล เล่นมือถือไปวัน ๆ หรือไม่ก็ดูละครไปวัน ๆ

หนังสือเล่มนี้อ่านง่าย

179 บาท
231 หน้า

ส่วนตัวเรา เราก็คิดว่าเนื้อหาพวกนี้เราเคยอ่านมาแล้วจากเล่มอื่น ๆ
บางสิ่งบางอย่างมันก็สามารถนำเอามาประยุกต์ใช้ได้

การอ่านกับเนื้อหาเดิม ๆ ที่เราเคยอ่านมาจากเล่มอื่น ๆ บางทีมันก็เป็นการตอกย้ำเรื่องราวหรือแนวคิดนั้น ๆ

การอ่านจะช่วยให้เรามีใจเปิดกว้างมากขึ้นกับหลาย ๆ สิ่ง หลาย ๆ อย่าง หลาย ๆ เรื่อง

Reading is SEXY.
Leaders are Readers.

Monday, July 13, 2020

Huawei จากมดสู่มังกร


คนไทยส่วนมากอาจจะรู้จัก Huawei ว่าเป็นโทรศัพท์มือถืออีกยี่ห้อหนึ่ง
แต่สำหรับเราแล้ว เนื่องด้วยเราเป็นเด็ก IT
เรารู้จักชื่อนี้มานานแล้ว Huawei

เพราะเราใช้ Pocket Wifi จาก Vodafone
และ Vodafone เองก็ใช้อุปกรณ์จาก Huawei

เราซื้อหนังสือเล่มนี้จากเมืองไทย
เราเห็นหน้าปกหนังสือก็คิดว่าเป็นหนังสือที่น่าสนใจ

เพราะว่าบริษัท Huawei กำลังเจริญเติบโตไปได้สวย มีชื่อเสียงอยู่ในระดับหนึ่ง
เราก็เลยหยิบหนังสือเล่มนี้ติดมือกลับมาอ่านด้วย
เผื่อจะได้เคล็ดลับในการทำงาน เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยอะไรก็ว่าไป

เราอ่านช่วงแรก ๆ รู้สึกติดขัดนิดนึง
เพราะหนังสือจะอ้างอิงถึงการบริหารของเจ้าของบริษัท “เหรินเจิ้งเฟย”
มันเป็นชื่อที่อ่านยาก แล้วก็ออกเสียงยากเสียนี่กระไร

แต่พอเริ่มอ่าน ๆ ไปเราก็เริ่มชิน

แล้วก็ได้เรียนรู้หลักการบริหาร อะไรหลายๆอย่างในสไตล์ของ #เหรินเจิ้งเฟย

Huawei เขาก็เริ่มจากจุดเล็ก ๆ เป็นบริษัทเล็ก ๆ มีออฟฟิศอยู่ที่ห้องแถว คล้าย ๆ กับ Alibaba ของ Jack Ma เลยนะ

แล้วก็ค่อยขยายกิจการไปเรื่อย ๆ จนทุกวันนี้ใหญ่โต

เปลี่ยนโฉมหน้าการคนล้ำหน้าการโทรคมนาคมของโลกเลยทีเดียว

วิธีการคิดและแนวคิดอะไรหลาย ๆ อย่างของเหรินเจิ้งเฟย เป็นอะไรที่น่าศึกษามากเลยครับ

เมื่อเราเล็ก เราก็ต้องตีทัพท้ายเมืองก่อน แล้วค่อย ๆ ขยาย
“ตีศึกล้อมเมือง” มันทำได้จริง

ตามชื่อหนังสือเลย
จากมดสู่มังกร
สุดยอดมาก

เมื่อเป็นมังกรแล้ว ก็ต้องเป็นมังกรที่น่ารัก ไม่ผยองพองขน

หนังสืออ่านง่าย
ควรมีเก็บไว้ในครอบครอง
จ่านจบแล้ว อานอีกรอบ 2 ได้

331 หน้า, หนาบ้างเล็กน้อย แต่ก็ค่อย ๆ อ่านไปได้
ราคา: 315 บาท


Reading is SEXY.


Sunday, July 12, 2020

The Art of Quiet Influence


เริ่ม 01 Jan 2019 (หรือ 2018 เราจำไม่ได้แล้ว)
มันไม่ใช่ New Year resolution หรอกนะ แต่เราก็แค่อยากเปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น คือลดการทำงานอย่าบ้าคลั่งลง เริ่มแรกด้วยการเลิกใช้ computer laptop ที่สนามบินเป็นอันขาด

เออ มันก็ทำได้นะ
ยังไม่ตาย...

เราเดินทางไปทำงาน นั่น นี่ โน่น และก็กลับเมืองไทยบ่อยมาก
ถ้าเพื่อเป็นสมัยก่อนคือ
Packet WiFi ต้องพร้อม (ไม่ใช่ WiFi ของสนามบิน)
Laptop ต้องพร้อม
แล้วก็นั่งทำงานอยู่นั่นแหละจนกว่าพนักงานจะเรียกขึ้นเครื่อง
ทำงานกันจนแบบวินาทีสุดท้ายเลยทีเดียว

แต่นั่นมันก็สมัยก่อน เมื่อเราเริ่มหันมาอ่านหนังสืออย่างจริง ๆ จัง
แล้วก็บอกกับตัวเองว่า ต่อไปนี้เราจะไม่นั่งทำงานที่สนามบินเวลาเดินทางเป็นอันขาด
จะไม่มีการเปิด laptop
ถ้าเดินทาง domestic, laptop สามารถ check-in กับกระเป๋าเดินทางได้เลย แต่เราก็ชอบถือแยกมากกว่า

ถ้าเดินทาง international กลับเมืองไทย เราไม่เอา laptop ไปด้วยอยู่แล้ว
เพราะเราซื้อ Chromebook ทิ้งเอาไว้ที่เมืองไทย 3 เครื่อง
บ้าน 3 หลังก็ต้องมี Chromebook 3 เครื่อง

ตั้งแต่เลิกทำงานใน laptop
เวลาเดินทาง เราก็บอกกับตัวเองว่า
ทุกครั้งที่เดินทาง เราจะต้องเดินเข้าไปที่ร้านหนังสือ แล้วซื้ออะไรติดมือมา 1 เล่ม
จะเล่มอะไรก็ได้ จะหมวดหมู่ไหนก็ได้ จะราคาเท่าไหร่ก็ได้ เราไม่มี budget ในการซื้อหนังสือ
ซึ่งที่ผานมา มันก็ work มาก ทุกครั้งที่เดินทาง เราก็จะได้หนังสือเล่มใหม่ติดตัวตลอด อ่านบนเครื่อง อ่านอยู่ในโรงแรม อ่านเวลานั่งรอ เราคิดว่าเป็นการใช้และบริหารเวลาที่คุ้มค่ามาก

เวลาเราบิน domestic ไปทำงาน ปรกติเราจะบิน Business Class ของ Qantas อยู่แล้ว บริการอะไรต่าง ๆ ของ Business Class ก็แทบจะไม่ได้ใช่เลย เพราะเราก็นั่งอ่านหนังสือเงียบ ๆ มากกว่า หรือไม่ก็เลือกที่จะนอนพักผ่อน

หนังสือเล่มนี้ The Art of Quiet Influence สะดุดตาเรามากที่สนามบิน Adelaide

เราจำได้ว่าที่สนามบิน Adelaide มันก็มี 2 เล่มที่สะดุดตามเรา เล่มนี้; The Art of Quiet Influence และก็อีกเล่มหนึ่ง; Happy Money ของ Ken Honda ตอนนั้นเราเลือกซื้อ Happy Money ที่สนามบิน Adelaide เพราะหนังสือ The Art of Quiet Influence เราก็พอจะเดา ๆ ได้ว่าเนื้อหามันเป็นแบบไหน เพราะเราก็เคยอ่านหนังสือแนว ๆ นี้มาก่อนหน้านี้แล้ว นี่ข้อดีของการอ่านหนังสือเยอะ

ก็จนมาเจอหนังสือเล่มนี้อีกทีที่ Sydney ที่ Kinokuniya ก็เลยสอยติดมือมา

เราเคยอ่านหนังสือแนวนี้มาก่อน
ก็ประมาณว่า ถ้าเราต้องการให้ใครเป็นแบบไหน เราไม่จำเป็นต้องไปบอกเขา ว่าให้เขาเป็นยังไง
ให้เราทำตัวแบบนั้น แล้วเขาก็จะค่อย ๆ เห็น ค่อยซืมซับไปเอง อะไรประมาณนี้

หนังสือเล่มนี้อ่านบทแรก ก็คิดอยู่ว่า เอ๊ะ มันจะออกมาในแนวไหน
Jocelyn Davis ก็จะเขียนจากประสบการณ์การทำงานในองค์กร
ซึ่งจะแตกต่างจากเล่มที่เราเคยอ่าน หนังสือพวก quite influence หรือ inner circle influence ที่เราเคยอ่านจะเป็นการพูดถึง quite influence ทั้่ว ๆ ไป แต่ของ Jocelyn Davis จะเน้นการปฏิบัติตัวในสถานที่ทำงาน ในองค์การมากกว่า หลาย ๆ case study จะพูดถึงประสบการณ์ในการทำงานของเขา ที่เขาต้อง dealing กับผู้คนเยอะแยะมากมาย

ก็เป็นหนังสืออีกเล่มที่น่าอ่านนะ

จะเหมาะกับคนที่ภาษาอังกฤษแข็งแรงนิดหนึง
แต่ทุกคนก็อ่านได้แหละ เป็นการฝึกภาษา

ขึ้นมาบทแรก เราก็ชอบเลย
Jocelyn พูดถึงประสบการณ์การทำงานในบริษัท ซึ่งนานมาแล้ว ตอนนั้นเขาทำงานหน้าที่ในตำแหน่งเล็ก ๆ ต่ำต้อยหอยสังข์ เขาต้องเอากระดาษ flipchart สมัยก่อนกับไปทำงานต่อที่บ้าน แทนที่เจ้านายเขาจะบอกเขาว่าต้องการงานภายในวันนั้น วั้นนี้นะ งานเร่งด่วนนะ

เปล่าเลย

เจ้านายเขาบอกว่า “ขอบกระดาษมันคมนิดหนึงนะ ระวังมันจะบาดมือ (papercut)”

เฮ้ย ประโยคง่าย ๆ สั้น ๆ
แต่มันแสดงออกถึงความห่วงใยของผู้นำ
นี่แหละเขาเรียกว่า “คนพูดไม่ได้จำ คนฟังจำไปตลอดชีวิต”

กับคำพูดแบบนี้มันทำให้ Jocelyn รักและทุ่มเทในงานที่เขาทำมาก และก็อยู่บริษัทอีกเป็น 10-20 ปี (จำตัวเลขไม่ได้) และก็อีกหลาย ๆ case study ที่น่าสนใจ

ใครที่ต้องการเติบโตทางด้านความคิดและการกระทำ
นี่เลย เล่มนี้ “The Art of Quiet Influence” by Jocelyn Davis
AUD $32.98

ภาษาอาจจะอ่านยากนิดนึง ออกแนว textbook
แต่คนเรามันก็ต้องออกจาก comfort zone บ้างไม่ใช่เหรอ

ไม่อยากซื้อไม่เป็นไร
ก็ลองหายืมอ่านได้จาก public libary ทุก ๆ ที่

Leaders are Readers, but not all Readers are Leaders.

Saturday, June 27, 2020

Smart Business เจาะกลยุทธ์ Alibaba พลิกโฉมโลก


หนังสือที่เกี่ยวกับ Alibaba เขียนโดยคนข้างในของ Alibaba; Ming Zeng

แปลโดย ชัชวนันท์ สันธิเดช
392 หน้า
ราคา: 350 บาท

หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่พูดถึงการวางระบบ IT ของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Alibaba ว่ามีการนำ AI มาใช้ในการประกอบธุรกิจอย่างไร กับโลกสังคมธุรกิจปัจจุบัน IT มีความสำคัญในการประกอบธุรกิจมาก

เมื่อโลกเปลี่ยนไป

เมื่อ Business transaction 97% มาจากโทรศัพท์มือถือ
เมื่อนิสัยของผู้บริโภค consumer behaviour เปลี่ยนไป
ผู้ประกอบการก็ต้องเปลี่ยนวิธีในการปฏิบัติด้วย

หนังสือเล่มนี้ ไม่ใช่หนังสือที่พูดถึงการบริหารธุรกิจทั่ว ๆ ไป

แต่พูดถึงการประยุกต์นำเอาระบบคอมพิวเตอร์ ระบบ AI มาใช้ในเชิงปฏิบัติ และก็ใช้ได้จริง เพราะ transaction volume ของ Alibaba นั้นเยอะมากตอน 1 วินาที (หลาย million transactions/second) ดังนั้นระบบการคำนวณและการจัดการจะต้องดี

หนังสือเล่มนี้ใช้คำศัพท์พวก Technical Word เยอะมาก แต่สำหรับคนที่มีพื้นฐานทางด้าน IT มาบ้างแล้วก็สามารถอ่านหนังสือเล่มนี้ได้อย่างไม่มีปัญหา แต่สำหรับคนที่ไม่มีพื้นฐานทางด้าน IT มาก่อนเราก็คิดว่าหนังสือเล่มนี้ก็คงอ่านยากนิดนึง

หนังสือทุกเล่มมีคุณค่าในตัวของมันเอง
ไม่มากก็น้อย
การอ่านคือการเปิดโลกทัศน์อีกอย่างหนึ่ง
ดีกว่าจะเอาเวลาไปทำอะไรเรื่อยเปื่อยในโลกโซเชียล

Leaders are Readers.
Reading is SEXY.

Thursday, June 25, 2020

Leaders Eat Last; Simon Sinek


Simon Sinek นักเขียนที่สร้างชื่อมาจากหนังสือ "Start With WHY" ซึ่งแต่ก่อนไม่มีใครรู้จักเขาเลย

เขาเปิดบริษัททำพวก marketing strategist ก็ไม่ค่อยรุ่ง
พอมาเขียนหนังสือ "Start With WHY" และไปพูดที่ TED Talk เท่านั้นแหละ ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป

เราก็มีหนังสือของ Simon Sinek แบบทุกเล่ม (FOMO; Fear Of Missing Out) บางเล่มก็มีแบบ audiobook เอาไว้ฟังเวลาขับรถ

หนังสือเล่มนี้เราซื้อมาจากเมืองไทย ที่ร้าน Asia Book ที่สนามบินสุวรรณภูมิ Domestic ดูสิ หนังสือภาษาอังกฤษ ก็ต้องไปซื้อที่เมืองไทย

เปล่าหรอก ช่วงที่รอต่อเครื่องไปต่างจังหวัด เราก็หาซื้อหนังสืออ่านก็แค่นั้นเอง

เห็นแค่ชื่อคนเขียนแค่นั้นแหละ ซื้อเลย
ไม่คิดอะไรมาก

เนื้อหาก็ OK นะ
แต่มีแต่เรื่องหนัก ๆ ทั้งนั้นเลย

ถ้าสรุปง่าย ๆ สั้น ๆ ก็เหมือนตามชื่อหนังสือเป๊ะเลยคือ 
- คนเป็นผู้นำก็ต้องกินอาหารเป็นคนสุดท้าย
- คิดถึงองค์กรก่อน คิดถึงคนอื่นก่อน ก่อนที่คิดถึงตัวเอง
- สรุปก็คือเสียสละนั่นแหละ

เราว่าหนังสือของ Simon Sinek OK เลยแหละ
อ่านยากนิดหนึง ข้อมูลแน่นไปหน่อย
ต้องค่อย ๆ อ่าน ค่อย ๆ ย่อย

คนก็เป็นผู้นำหรือกำลังก้าวจะไปเป็นผู้นำก็ควรอ่านนะ

เราอ่านเสร็จแล้ว
เราก็ส่งต่อให้น้อง "someone" หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์ต่อน้อง "someone" เพราะเราดูหน่วยก้านแล้ว น้องมีความเป็นผู้นำอยู่นะ (อันนี้มองมาจากคนข้างนอกนะ) และก็คิดว่าน้องสามารถอ่านหนังสือภาษาอังกฤษได้ 

น้องก็อ่านแบบข้าม ๆ skip บ้าง skim บ้างก็ได้นะ เพราะเนื้อหามันก็หนักไปนิด...  :) 

Wednesday, June 24, 2020

คิดแบบ ภาววิทย์


"คิดแบบ ภาววิทย์"
เขียนโดยภาววิทย์ กลิ่นประทุม
309 หน้า
ราคา: 245 บาท

หนังสือ BestSeller คือหนังสือที่ยอดขายดี
ไม่ได้แปลว่าเนื้อหาต้องดีหรือถูกจริตเรา

ยอดขายเขาเยอะ
อาจจะเป็นเพราะว่าคนเขียนดังในสื่อ online ก็ได้
เพราะเรารู้จักเขาจากสื่อ online 
เราไม่ได้ติดตามเขาในสื่อ online นะ
ไม่ใช่แนว

แต่เราก็เห็นเพื่อนเราคอยตามอ่านบทความของเขาอยู่
จริตใครจริตมัน

เราไปเมืองไทย เราก็สอยติดมือกลับมาด้วย เพราะเคยเห็นคนนี้ในพวก Stock2Morrow

อ่านแล้วก็เฉย ๆ 
ไม่ได้อินอะไรมาก

มีความรู้สึกว่า "งั้น ๆ แหละ"

เขาก็เอาบทความที่เขาเขียนใน facebook หรือ page ของเขา เอามารวบรวมแล้วก็ตีพิมพ์ เพราะภาษาที่ใช้ก็จะยังเป็นภาษาพูด ไม่ได้ขัดเกลาให้เหมาะสมกับภาษาเขียนเท่าไหร่

ก็จะยังมีพวก "5555" อะไรแบบนี้

ไม่รู้สิ
โดยส่วนตัวแล้ว เราชอบสไตล์การเขียนที่มันเป็นทางการ เป็นการเป็นงาน เป็นเรื่องเป็นราวมากกว่านี้ ไม่ใช่แบบพวกเขียน status ของตัวเองใน social media

หนังสือเล่มนี้เหรอ
เขาก็พูดถึงหลักการคิดและมุมมองการลงทุนในมุมมองของเขา

เนื่องด้วยเขาทำงานที่ธนาคารกรุงเทพ เขาก็ก็จะพูดถึงสินค้าหรือ product ของธนาคารกรุงเทพด้วย ซึ่งไม่ได้หมายความว่ามันต้องดีหรือเหมาะสมกับทุกคนเสมอไป

คนอ่านก็ต้องใช้วิจารณณาญของตัวเองด้วย
ไม่ต้องไปเชื่อเขาหมดทุกอย่าง

แต่ section หน้า ๆ เขาก็พูดหลักการและวิธีคิดสำหรับคนที่ต้องการประสบความสำเร็จทั่ว ๆ ไป ซึ่งเราก็คิดว่ามันก็มีข้อคิดดีอยู่

แต่ไม่ได้เยอะมาก

ก็ถือซะว่าซื้อมาอ่านเล่น ๆ ได้
ไม่ต้องคาดหวังอะไรมาก

แต่ก็ดีกว่าไม่อ่านอะไรเลย :)

Overall: 3/5
Comment: ก็เฉย ๆ 

Wednesday, June 3, 2020

เงินหรือชีวิต; Your Money or Your Life


เราเห็นหนังสือเล่มนี้ที่ SE-ED หาดใหญ่
hmmm  เล่มหนาดีเหมือนกันนะ
หนังสือเกี่ยวกับอะไร เราไม่รู้หรอก รู้แต่ว่ามาจากสำนักพิมพ์คุณภาพ "OpenBooks" เราก็เลยต้องสอยติดมือมาด้วยสิ

ชื่อหนังสือก็ดูแปลก ๆ ดีนะ "เงินหรือชีวิต"
ไม่ได้อ่านปกหน้า ไม่ได้อ่านปกหลัง แต่หน้าปกมันถูกออกแบบอย่างเรียบง่ายสไตล์สำนักพิมพ์  OpenBooks เราก็เลยซื้อมาอ่าน

625 หน้า หนาจริง ไม่ได้อิงนิยาย
ราคา 595 บาท

เราไม่ได้เกี่ยงเรื่องราคาอยู่แล้ว ขอให้อ่านแล้วได้อรรถสว่างั้นเถอะ

พออ่านคำนำนิดหน่อย ก็ถึงบางอ้อละ
ก็เป็นหนังสือที่เขียนถึงเรื่องการใช้ชีวิตแบบพอเพียง

หนังสือ Your Money or Your Life เป็นหนังสือเก่ามากแล้ว แต่นี่เป็นฉบับปรับปรุง และนำเอามาแปล

เราคิดว่าคนไทยรู้หลักเศรษฐกิจพอเพียงจากพราะบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 อยู่แล้ว

แต่หนังสือเล่มนี้ มันก็มีแนวคิดแบบตะวันตกผสมผสานอยู่
ที่มันหนาก็เพราะเขาจะมีพวก case study ของแต่ละคน แต่ละครอบครัวมาให้อ่าน

หลาย ๆ คนเลิกทำงาน 9am - 5pm เก็บเงินสักก้อน แล้วลาออกจากงาน ไปใช้ชีวิตแบบพอเพียง ทำงานน้อยชั่วโมงลง ไม่เป็นหนี้ มีเวลาให้กับตัวเองมากขึ้น

หลาย ๆ คนก็เป็นจิตอาสาก็มี

และเราก็ชอบวิธีการคำนวณพลังชีวิตของคนเขียน
หลาย ๆ ชอบคิดค่าแรงของตัวเองที่ได้รับตามจำนวนค่าจ้าง
อย่างเช่น chef ได้ $32/hr
จริง ๆ แล้วเขาลืมคิดหรือเปล่าว่า เขาต้องตื่นมาเตรียมตัวกี่โมง ค่าเดินทางกี่ชั่วโมง ถ้าทำงานแล้วเหนื่อย แล้วเขาไปนวดเพื่อผ่อนคลาย รายจ่ายเป็นเท่าไหร่ หรือกลับบ้านมา ต้องมาพักผ่อนหรือ reset ชีวิต 1 hr เขาบวกเวลาเหล่านั้นไปด้วยหรือเปล่า

สรุปแล้วเราอาจจะไม่ได้ทำงาน 9am - 5pm จริง ๆ ก็ได้

มันก็ทำให้เราฉุกคิดนะ
เราคิดว่ามันก็เป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่ดีเลยแหละ
มันอาจจะหนาจริง แต่เราก็อ่านหนังสือพวกนี้มาเยอะแล้ว
เราก็ skip & skim ไปบ้าง
เอาแค่ใจความสำคัญ
เป็นหนังสือที่น่าอ่านก่อนนอนเลยแหละ

แนะนำครับ แนะนำ 
เพราะว่า Reading is SEXY  และก็
Leaders are Readers จ๊ะ

ผู้นำส่วนมากจะเป็นนักอ่าน
แต่ไม่ได้แปลว่านักอ่านจะเป็นผู้นำ :)

การอ่านคือการเปิดโลกทัศน์
DEAR; Drop Everything And Read

เพราะเรานั้นคู่ควร

self-love... 

Wednesday, May 13, 2020

Love Yourself Like Your Life Depends On IT


เรา follow Tim Ferris ใน Twitter
ช่วงต้นปี 2020 เขาก็แนะนำหนังสือเล่มนี้ "Love Yourself Like Your Life Depends On IT"

เราก็เลยไม่รอช้า สั่งซื้อใน Amazon เลยครับ
แต่ก็กว่าจะได้หนังสือมาก็ Apr 2020 เพราะทางสำนักพิมพ์กำลังจะพิมพ์ฉบับปรับปรุง และเป็นปกแข็ง

คนเขียน; Kamal Ravikant
เป็นใครเหรอ 
hmmm.... ไม่เคยรู้จักมาก่อน
แต่เอาเถอะ ถ้า Tim Ferris แนะนำให้อ่าน มันก็น่าลอง ก็เลย dig it in

เออ ก็ OK นะ
อ่านง่าย

concept ก็ประมาณว่าให้รักตัวเองนั่นแหละ
หนังสือเกี่ยวการรักตัวเอง มันเขียนได้ถึง 225 หน้าเลยเหรอ

อ๋อ มันก็มีบันทึกของเขาด้วยหนะจ๊ะ อยู่ด้านหลัง
จริง ๆ แล้ว เนื้อ ๆ ของหนังสือก็จะอยู่ด้านหน้า 2/3 ของหนังสือ

หนังสือเล่มนี้ก็เป็น expanded version จากเวอร์ชั่นแรก

เวอร์ชั่นแรกของเขาเป็น self-publish
คือเขียนเอง พิมพ์เอง นักเลงพอ
แล้วลงขายใน Amazon.com พอหนังสือเริ่มดัง สำนักพิมพ์ก็ติดต่อให้เขาเขียนเพิ่มในเวอร์ชั่นปรับปรุง เพราะเวอร์ชั่นแรกเขาบอกว่ามีประมาณแค่ 8,000 words

8,000 words เนี๊ยะ มันเหมือนเราเขียน essay ตอนเรียนปริญญาโทเลยนะ

หนังสือเล่มนี้ อ่านง่าย
มีอะไรให้ชวนฉุกคิด

หากเราสงสัยอะไรในตัวเองให้เราถามตัวเองว่า

"If I loved myself truly and deeply, will I do this?"

เออ มันก็เป็นประโยค เป็นอะไรที่ powerful นะ

Kamal เป็น CEO ของ angel investor ใน Silicon Valley
หลังจากถูกแฟนบอกเลิก เขาก็ค้นหาความหมายของการชีวิตอยู่

จากคนที่จมดิ่งอยู่ในเหวลึก เพราะโดนคนรักบอกเลิก ทั้ง ๆ ที่คนทั้ง 2 คนรักกันมาก เพราะเขารักอีกฝ่ายหนึ่งมากเกินไปไง จนลืมรักตัวเอง

สุดท้ายแล้ว คนเราถ้าจะทำอะไรนะ แล้วลองถามตัวเองว่า 

"If I loved myself truly and deeply, will I do this?"

มันก็ใช้ได้กับชีวิตจริงนะ

เราก็เลยนำเอามาใช้แล้ว

ก่อนที่หยิบอาหารที่เต็มไปด้วยไขมันเข้าปาก เราก็ถามตัวเองว่า
"If I loved myself truly and deeply, will I do this?"

ในวันที่ยุ่ง ๆ นั่งอยู่หน้า computer ทั้งวัน เราเปลี่ยนชุดเตรียมจะออกไปวิ่งแล้ว บางทีก็ติดพัน นั่งตอบ email ต่อเป็นชั่วโมง จากการที่จะออกไปวิ่ง 3pm เลื่อนไป 4pm ถ้าไม่ลุกออกจากที่นั่ง มันก็ลากยาว

จนเราต้องถามตัวเองว่า
"If I loved myself truly and deeply, will I do this?"

เออ มันใช้ได้จริง ๆ 

Kamal ไม่ใช่นักเขียน
เขาเป็น business person ดังนั้นภาษาของเขาจะเป็นอะไรที่อ่านง่าย
แทบจะไม่ต้องแปลอะไรเลยจ๊ะ

Sunday, May 10, 2020

The Power of NOW


หนังสือ Practicing The Power of Now ของ Eckhart Tolle

huh ใครนะ ไม่เคยได้ยิน
เออ คือ เราไม่รู้จัก ไม่เคยได้ยินชื่อคนนี้จริง ๆ 
แต่ก็หยิบติดมือมาด้วยความบังเอิญ เพราะเราสัญญากับตัวเองว่า ทุก ๆ ครั้งที่เราเดินทางด้วยเครื่องบิน เราจะไม่นั่งทำงานในคอมพิวเตอร์ และถ้าบินไปเมืองไทย เราก็จะไม่ถือคอมพิวเตอร์ไปด้วย เพราะที่บ้านทุก ๆ ที่เราซื้อคอมพิวเตอร์ทิ้งเอาไว้หมดแล้ว (3 ที่ 3 เครื่อง)

เวอร์มั้ย

อาจจะ... 
แต่เราก็ชอบ travel light ไง ไม่ชอบหอบของหรือจัดของวุ่นวาย

มันก็เลยเกิด self promised เอาไว้ว่า ทุกครั้งที่มีการเดินทางด้วยเครื่องบิน เราจะเดินเข้าร้านหนังสือ แล้วต้องหยิบหนังสือเล่มใดเล่มหนึ่งติดมือมาด้วย หนังสือเล่มนั้นจะดีหรือไม่ดีก็ช่าง ต้องซื้อติดมือมาด้วยอย่างน้อย 1 เล่ม เพื่อที่จะอ่านเวลารอขึ้นเครื่อง และเวลาที่อยู่บนเครื่องด้วย

อะไรประมาณนั้น
หรือถ้าบิน domestic ก็เอาไว้อ่านในโรงแรมด้วย

ปีนี้ Jan 2020 เรากลับเมืองไทยเพื่อไปงานของหลวงปู่ชาที่วัดหนองป่าพง เราก็หยิบหนังสือเล่มนี้มาด้วย

ก็เปิดอ่าน ๆ skim & scan มากกว่า ไม่ได้อ่านทุกตัวอักษร
ก็เริ่มอ่านตั้งแต่อยู่ที่สนามบินซิดนีย์ พอไปถึงสุวรรณภูมิก็อ่านจบแล้วจ๊ะ เพราะมันอ่านง่าย โดยเฉพาะคนที่เคยอ่านหนังสือพวกนี้มาก่อน พวก self-help บ้างหละ พวก spiritual บ้างหละ

โดยส่วนตัวแล้ว เรารู้สึกเฉย ๆ กับหนังสือเล่มนี้นะ
แต่ฝรั่งเขาก็อาจจะฮูฮา อะไรกันไปตามปรกติ เพราะเรื่องการใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันเนี๊ยะ พวกเราชาวตะวันออก โดยเฉพาะคนที่นับถือพุทธเนี๊ยะ คือมันเรื่องปรกติเลยจ๊ะ

เราก็เลยแต่ skim & scan อ่านแบบผ่าน ๆ

ใจความสำคัญก็ประมาณว่า "อยู่กับปัจจุบัน" อะไรประมาณนี้

แต่ไหน ๆ ก็อ่านแล้ว ก็อยากจะเอาข้อคิดอะไรดี ๆ มาฝาก ที่จริง ๆ แล้วเราคนไทยส่วนมากก็รู้อยู่แล้วแหละ เราคิดว่านะ :)

Listen to the voice in your head, be there as the witnessing the presence (p.19).

The more you are able to honour and accept the NOW, the more you are free of pain, of suffering and free of the egoic mind (p.30).

The more you are focused on time; the past and future, the more you miss the NOW, the most precious thing there is (p.31).

Stress is caused by being "here" but wanting to be "there", or being in the present but wanting to be in the future. It's a split that tears you apart inside (p.50).

Know the reality of that moment and hold the knowing (p.94).

Somebody says something to you that is rude or designed to hurt. Instead of going into unconscious reaction and negativity, such as attach, defence or withdrawal, you let it pass right through you. Offer no resistance. It is as if there is nobody there to get hurt anymore. That is forgiveness. In this way, you become invulnerable (p.110)

hmmm.. ทำยากนะ นอกเสียจากว่าเราจะเป็นพระอิฐพระปูนไปเลย 

Nothing that was real ever died, only names, forms, and illusions (p.114).

In the state of surrender, you see very clearly what needs to be done, and you take action, doing one thing at a time and focusing on one thing at a time (p.119).

หนังสือเล่มนี้ ปกแข็ง
ราคา $22.99 (AUD)
142 หน้า

อ่านง่าย
คำศัพท์ไม่ยาก ใครอยากจะลองซื้อมาอ่าน เพื่อฝึกภาษาก็ทำได้นะครับ

...love...