Monday, July 30, 2018

วิถีการดำเนินชีวิตที่แตกต่าง


การกลับเมืองไทยของเดือนนี้
เป็นการกลับเมืองไทย และการเดินทางที่แตกต่างจากครั้ง ๆ ก่อน

การเปลี่ยนแปลงและความแตกต่างคือ
-  เราไม่ค่อยได้ดื่มกาแฟแล้ว ไม่เหมือนแต่ก่อน ที่ตื่นขึ้นมาปุ๊บ ก็ต้องดื่มกาแฟเลยทันที
- เราเปลี่ยน lifestyle มาเป็น ดื่มน้ำแทน ดื่ม green tea แทน
- บางเช้า คุณแม่ก็ทำน้ำมะนาวให้ดื่ม แต่ของเราต้องเพิ่มพริกเข้าไปด้วย เรากลับเมืองไทย ไปให้แม่ดูแลจ๊ะ จะอายุเท่าไหร่ เราก็ยังเป็นเด็กเล็กของแม่เสมอ
- เราออกไปทานข้าวนอกบ้านน้อยมาก ช่วงที่อยู่ที่บ้าน เราก็ซื้ออะไรมาทำกินกันที่บ้าน หรือไม่ก็ไปซื้ออาหารมา แล้วมากินกันที่บ้านมากกว่า มากกว่าการไปกินข้าวนอกบ้าน แตกต่างชีวิตการทำงานของเราสมัยก่อน แตกต่างจากชีวิตตอนเป็นวัยรุ่นเหมือนสมัยก่อน ตอนนี้ทุกอย่าง ครอบครัวมาก่อนเสมอ
- เราทานอาหารพวกเนื้อสัตว์น้อยมาก จนที่บ้านก็สังเกตุได้ เพราะที่เมืองไทย ผลไม้อะไรต่าง ๆ มีเยอะมาก เราเลือกผลไม้ plant-based เป็นอาหารเช้า breakfast ทุกวัน ไม่รู้สิ เราคิดว่าร่างกายเราชอบแบบนี้มากกว่า ทานแล้วสบายใจ สบายร่างกายมากกว่า มันสด มัน fresh มันไม่ต้องไปเบียดเบียนชีวิตเพื่อนร่วมโลกด้วยกัน ถึงแม้ว่าเราจะไม่ใช่ vegetarian เต็มตัวก็เถอะ แต่รู้สึกว่าทานแบบนี้แล้ว healthy มาก อาหารเช้าจะเป็นมะละกอ และ แก้วมังกร (dragon fruit) อะไรมาก ที่บ้านจะเตรียมให้ทุกเช้าเลย เมืองไทย ยังไงก็น่าอยู่จ๊ะ...

ชีวิตนี้เป็นของเรา เราต้อง take control of our lives นะครับ
ชอบแบบไหน ก็เลือกเอาแบบนั้น
ชอบแบบไหน ก็ได้แบบนั้น

Life is changing, life will never be the same.

Thursday, July 26, 2018

อย่าปล่อยให้ใครฆ่าวาฬของคุณ



หลาย ๆ ครั้งที่มาเมืองไทย เราก็จะเห็นหนังสือเล่มนี้วางขาย

เราก็ไม่รู้หรอกว่าเป็นหนังสือเกี่ยวกับอะไร
แต่เห็นราคา 265 บาท
คิดว่าไม่แพงมา ก็เลยหยิบติดมือมาด้วย

พอเริ่มอ่านก็รู้เริ่มรู้ว่าเกี่ยวกับอะไร
เราก็เดาเอาว่าคำว่า "วาฬ" ในที่นี้คงหมายถึง "ศักยภาพ" หรือเปล่า
เท่าที่เราอ่าน ๆ ดูช่วงแรก เราก็คิดว่า คำว่า "วาฬ" ก็คงหมายถึง ศักยภาพ, จุดแข็ง หรือจุดเด่นของธุรกิจหรือตัวบุคคล

หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่อ่านง่าย ถ้าจะนั่งอ่านจริง ๆ เราอ่านวันเดียวก็น่าจะจบ

เราอ่านตอนรอขึ้นเครื่องที่สนามบิน
และก็อ่านตอนอยู่บนเครื่อง แค่นี้ก็จบแล้ว แป๊บเดียวเอง

มันเป็นการใช้เวลาให้เกิดประโยชน์

หนังสือเล่มนี้ก็ให้ได้ข้อคิดทางธุรกิจอะไรหลาย ๆ อย่าง 
คนเขียนก็ได้มีการยกตัวอย่างธุรกิจนั้น ธุรกิจนี้มาเป็น case study ซึ่งเราก็คิดว่าดีพอสมควร

ก็เป็นหนังสืออีก 1 เล่มที่เราแนะนำนะครับ

จอห์น เผ่าเพ็ง... เพราะฉะนั้น มันถึงเป็นเช่นฉะนี้

Sunday, July 15, 2018

จากเด็กนักเรียนไทยคนหนึ่งที่ UOW



ก็มีบ้างเป็นบางโอกาสที่เรานั่ง ๆ ทำงานอยู่ มันก็เกิดปรากฎการณ์ flash back ที่ทำให้เราคิดถึงวันเก่า ๆ สมัยตอนเป็นนักเรียน สมัยเรียนหนังสืออยู่ที่ UOW; University of Wollongong

มันก็มีหลาย ๆ เหตุการณ์ตอนที่เป็นเด็ก ๆ นะ ถ้าเรามี time machine เครื่องย้อนเวลา เราคงจะทำอะไรที่มันแตกต่างไปจากตอนนั้น

แต่เสียดาย
ชีวิตจริงคนเราไม่มีเครื่องย้อนเวลา
เรามิอาจย้อนเวลากลับไปแก้ไขสถานการณ์อะไรต่าง ๆ นานาได้

เราก็คงได้แต่ ต้องทำวันนี้และวันข้างหน้าให้ดีที่สุด

จากเด็กนักเรียนไทยคนหนึ่งที่ UOW 

UOW มันชั่งมีความหลังเยอะแยะมากมายซะเหลือเกินนะ
เพื่อนฝูง และคนรักเก่า

ตอนที่เรียน Computer Science ที่ UOW นั่นคือปริญญาใบแรกของเรา

เราเป็นนักเรียนไทยคนเดียวที่เรียน Computer Science ที่ UOW นี่คือทั้งคณะ ไม่ใช่แค่รุ่นเรา และก็จะมีคนไทยเรียนวิศวะอยู่แค่ 6 คนทั้งคณะ และเรียนปีเดียวกันกับเรา 3 คนเท่านั้น อีก 3 คนเป็นรุ่นพี่

รุ่นปีเดียวกับเราที่เรียนวิศวะ 3 คน เรียนจบไปแค่ 1 คน อีก 2 คนต้องเลิกเรียนหรือย้ายไปเรียนคณะอื่นที่มันง่ายกว่า อะไรประมาณนี้

ก็ไม่รู้สิ
เรามีความคิดว่าต้องเรียนเก่งจริง ถึงจะเรียน Computer Science หรือวิศวะได้ อะไรประมาณนี้ มันก็เลยทำให้เราออกแนว เด็กมั่น เด็กหยิ่ง หรือเปล่านะ

เนื่องด้วยเราเป็นคนไทยคนเดียวที่เรียน Computer Science ในช่วงนั้น มันก็เลยทำให้เรากลายเป็นจุดสนใจของหลาย ๆ คน ทุกคนบอกว่าที่ UOW, Computer Science ยากมาก ถ้าเรียนจบถือว่าเก่ง ถ้าไม่จบถือว่าเป็นเรื่องปรกติ นี่คือคำพูดของพี่คนไทยคนหนึงที่เขาอยู่ที่ Wollongong มาก่อนเรา

เราเป็นเด็กเรียน และเป็นคนมีความมั่นใจมาตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว
เรื่องเรียนไม่เคยมีปัญหา

เด็ก ๆ ตอนที่อยู่ที่เมืองไทย เราก็ได้เกรดเฉลี่ย 4.00 หรือไม่ก็ 3.92 อะไรประมาณนั้น 

เราทำมาหมดแล้ว
เราจะอยู่ในแวดวงของเด็กเรียนมาโดยตลอด

คนไทยที่มาเรียน UOW สมัยนั้น 99.99% จะเป็นพวก commerce
คนไทยครึ่งหนึงของมหาลัยจะเป็นเด็ก ABAC เพราะเขามีการ deal กันกับ UOW ว่า เรียนปีแรกที่ ABAC แล้วมาต่อปี 2 และปี 3 ที่นี่ แล้วก็จบและได้ degree จากที่ UOW อะไรประมาณนี้

ได้ degree จากเมืองนอกมันก็ดูดีกว่าใช่ป๊ะหละ
ดังนั้นช่วงที่เราเรียนอยู่ที่ UOW คนไทยที่เรียนอยู่ที่นี่ เกินครึ่งจะมาจาก ABAC

จึงไม่แปลกที่ UOW จะเต็มไปด้วยลูกท่าน หลานเธอ
นักเรียนขับ Lexus, BMW และ Mercedes Benz
บางคนใส่ Versace ตั้งแต่หัวจดเท้าไปเรียน เป็นเรื่องปรกติของนักเรียนไทยในยุคนั้น

Anyway, นั่นคือภาพรวมของเด็กนักเรียนไทยที่ UOW ยุคนั้น
แต่ทุกคนก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น

เด็กเรียน
เด็กนักเรียนทุนก็มี

ส่วนเราก็เป็นเด็กสายมั่น มั่นใจมาก เดินไปไหนมาไหนไม่เคยก้มหน้า คอไม่เคยตก หลาย ๆ คนเรียกว่า "หยิ่ง" หรือ "เชิด"

ตัวเราเองหนะ ไม่รู้ตัวหรอก
รู้แต่ว่า "ก็ฉันเป็นของฉันแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร" 
ก็ตอนนั้นเราคิดแบบนั้นของเราจริง ๆ 
ตอนนั้นยังเป็นเด็กโง่อยู่ เด็กโง่ที่คิดว่าโลกหมุนรอบตัวเรา เราเป็นศูนย์กลางของจักรวาล

เนื่องด้วย classmates เราไม่มีคนไทยเลย
ชีวิตเราก็เลยแวดล้อมไปด้วย เพื่อน ๆ ต่างชาติเป็นส่วนใหญ่
แต่กลุ่มเด็กนักเรียนเอเชียก็จะเกาะกลุ่มกันอยู่เฉพาะเด็กเอเชีย และกลุ่มเราก็จะเป็นเด็กเรียนด้วยกันทั้งนั้น ผลการเรียนพวกเราจะอยู่แนว top ๆ กันตลอด

มันก็เป็นสังคมอีกแบบหนึ่ง
สังคมเด็กเรียน
ก็ไม่รู้สิ มันมีความสุขที่พวกเราได้พูดคุยกันเรื่องคอมพิวเตอร์ เรื่องการเขียนโปรแกรม และก็พวกตัวเลข

เด็ก nerd คุยกัน เพื่อนคนอื่น ๆ อาจจะฟังแล้วไม่เข้าใจ
บางทีคนเรามันอยู่กันคลื่นละความถี่ มัน tune กันไม่ได้ มันคุยกันไม่รู้เรื่อง

สมัยที่เราเรียนอยู่ที่ UOW
เราไปไหนมาไหน เราไม่ทักใครก่อน เรามีความรู้สึกว่าเราไม่จำเป็นต้องทัก เพราะตอนนั้นคิดเอาง่าย ๆ ว่า โลกของเราคือโลกของคอมพิวเตอร์ โลกของเด็กสายวิทย์ เธอต้องเด็กสายวิทย์เท่านั้นฉันถึงจะคบ ซึ่งคนไทยเรียนสายวิทย์ที่ UOW มีน้อยมาก ถึงมากที่สุด

และเราก็คิดเอาง่าย ๆ ว่า ฉันมาเรียน ฉันจะตั้งใจเรียน ไม่ได้มาสังสรรค์ ซึ่งผลการเรียนเราก็ออกมาดีจริง ๆ 

คนไทยที่เราสนิทด้วย มีไม่กี่คนสมัยนั้น เขาจะเป็นรุ่นพี่ที่เราสนิทกันตอนที่มาที่นี่ใหม่ ๆ  ซะมากกว่า
เราจะเป็นเด็กที่สุดในกลุ่ม ก็เลยถูกพี่ ๆ เอาใจเป็นตามปรกติ
พี่ ๆ จะเอ็นดู เพราะเราเรียนเก่ง
พี่ ๆ มี assignments อะไรที่เกี่ยวกับ computer ก็ต้องถามเรา ให้เราช่วย

อย่างที่บอกว่าเราเป็นคนที่มีความมั่นใจมาตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว
เวลาเดินไปไหนมาไหนที่มหาลัย เราไม่เคยเดินก้มหน้าอยู่แล้ว
ก็มันดูไม่สง่านี่นา :)

และปรกติก็ไม่ค่อยทักใครอยู่แล้ว เพราะเพื่อนที่คณะทุกคนเป็นต่างชาติหมดเลย ไม่มีคนไทย

จึงไม่แปลกที่จะโดนข้อหาว่า นักเรียนไทยคนนี้หยิ่ง นักเรียนไทยคนนี้เชิด

แต่เราก็จะมีพี่ ๆ คนไทยในกลุ่ม 2-3 คนก็จะคอยปกป้องเราและพูดว่า "เออ มันเป็นแบบนี้แหละ" ซึ่งเราก็รักพี่คนไทย 2 คนเหมือนเขาเป็นพี่ชาย พี่สาวเราจริง ๆ 

เราก็เช่าบ้านอยู่ด้วยกัน จนเราเรียนจบ
เราอายุน้อยที่สุดในบ้าน เป็นน้องของพี่ ๆ เขา
แต่ถ้าเรื่องการเรียน เราจะทำตัวเป็นพี่ใหญ่ในบ้าน จะคอยบ่นถ้าพี่ ๆ ผลการเรียนไม่ดี พี่ ๆ จะกลัวเรามากถ้าผลการเรียนเขาออกมาไม่ดี พี่ ๆ ก็จะได้ฟังเทศนาจากน้องชายคนนี้เสมอ แทบทุกเทอม

เสียดายนะ ชีวิตจริงไม่มี time machine
ชีวิตจริงไม่มีเครื่องย้อนเวลา

พอเราเติบโตขึ้น
พอเราเริ่มทำงาน
พอเราได้เริ่มศึกษาชีวิต
พอเราได้เริ่มเห็นสัจธรรมของชีวิต

มันทำให้เรารู้ว่า ตัวเราหนะ เล็กนิดเดียวเอง
เราเป็นแค่ฟันเฟืองเล็ก ๆ ของโลกใบนี้
John 2018 แตกต่างจาก John UOW มาก

มันทำให้เรารู้ว่า
ฉันมาไกล มาไกลเหลือเกิน

มันทำให้เรารู้ว่า
คนเราสามารถเติบโตได้ทางความคิด
มันขึ้นอยู่กับการหล่อหลอม

เวลาและสายน้ำไม่อาจไหลย้อนกลับได้
เราก็ต้องเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงนั้น ว่ามันสอนอะไรเราบ้าง
เราจะได้ทำวันนี้และวันข้างหน้าให้ดีที่สุด
ก็เพราะคนเรามันต้องมีการเติบโตและเรียนรู้กันไปเรื่อย ๆ 

คนที่ไม่มีการเรียนรู้ 
คนที่ไม่มีการเติบโต
คือคนที่ตายแล้ว...

จอห์น เผ่าเพ็ง เพราะฉะนั้น มันถึงเป็นเช่นฉะนี้

Sunday, July 1, 2018

Passive Income; ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ที่ Brickx


สำหรับใครที่ต้องการลงทุนในเรื่องของอสังหาริมทรัพย์ แต่เงินทุนไม่เยอะ

เราคิดว่า Brickx.com ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ

Brickx.com ชื่อบริษัทหรือชื่อ website ก็บอกอยู่แล้ว
Brick คืออิฐ

ซึ่งก็คือ ถ้าเราไม่มีเงินก้อนในการซื้อบ้านเพื่อการลงทุน เราก็สามารถซื้ออิฐ ตามจำนวนก้อนที่เราสามารถซื้อได้ แล้วเราก็จะได้เป็นส่วนหนึ่งของเจ้าของบ้านหรือ apartment หลังนั้นตามสัดส่วน

บ้านหรือ apartment หลังไหนมีคนเช่า เราก็จะได้ค่าเช่าตามสัดส่วน
มันอาจจะไม่เยอะมาก แต่เราก็คิดว่า มันเยอะกว่าที่จะฝากเงินกินดอกเบี้ยที่ธนาคาร

เพราะธนาคารที่เราใช้คือ ING Direct ตอนนี้ดอกเบี้ยอยู่ที่ 1.1% ต่อปี ซึ่งถือว่าน้อยมาก

แรก ๆ เราก็อยากทดลอง ลองเพื่อรู้ว่าถ้าเอาเงินมาลงทุนสัก $5,000 ก่อน มันจะเป็นอะไร ยังไง 

เราก็ลองทำ เพื่อการเรียนรู้
เราก็เลือกซื้ออิฐจากบ้านหลังโน้น หลังนี้ คละเคล้ากันไปตามราคาที่เราพอจะซื้อได้ แล้วเราก็ไม่ได้ login เข้าไปดูเลย

เราก็ปล่อยทิ้งไว้ 3-4 เดือน ก็เลย login เข้าไปดู เข้าไป check ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง

ก็ปรากฎว่าเราได้ส่วนแบ่งค่าเช่ามาบ้างเล็กน้อย
ตอนนั้นเราก็เลย โอนเงินเข้ามาเพิ่มเพื่อเป็นการลงทุน เพราะเก็บเอาไว้ในธนาคารมันก็ไม่ค่อยได้ออกดอกออกผลอะไร

ตอนนี้เราก็เปลี่ยน strategy นิดหนึงคือ ไม่โอนเงินจากบัญชีเก็บของเราละ เงินในบัญชีเราก็เก็บเอาไว้ทำอะไรอย่างอื่น

ตอนนี้ก็ทำเป็นแบบว่า เงินรายได้บางส่วนจากการทำงาน เราไม่ได้ให้ลูกค้าโอนตังค์เข้าบัญชีธนาคารของเราละ เราให้ลูกค้าโอนเข้าบัญชีของเราที่ Brickx.com เลย แล้วก็มานั่งดูว่า แต่ละอาทิตย์มีเงินเข้ามาที่บัญชีของเรา Brixkc.com เท่าไหร่ แล้วเราก็ไล่กวาดซื้ออิฐตามบ้านหรือ apartment ที่เราต้องการซื้อ

ตอนนี้ portfoilo ของเราก็มีแล้ว 7 หลัง
มันอาจจะไม่มาก
แต่เราก็คิดว่าเป็นอะไรที่ long-term
เป็น passive income

เพราะพวกอิฐที่ซื้อมา เราก็คงจะไม่ขายออกไปหรอก ก็คงจะเก็บเอาไว้ เอาค่าเช่าบ้านไปเรื่อย ๆ ทุกสิ้นเดือน

Brick.com มีการแบ่งปันผลทุกสิ้นเดือน

เงินลงทุนก็ที่จะต้องเสียให้กับบริษัทก็เฉพาะตอนที่เราซื้อและก็ขายอิฐเท่านั้น แต่ของเรา เราก็คิดว่าจะซื้อแล้วเก็บเอาไว้ คงไม่คิดที่จะขาย (ตอนนี้)

นี่ เราก็คิดว่าจะค่อย ๆ สะสมไปเรื่อย ๆ 
ดูสิ ว่าจะได้ กี่มากน้อยแค่ไหน

แต่ strategy ของเราก็คือ เราไม่แตะเงินเก็บในบัญชีธนาคารเพื่อการนี้ เราจะเอาเฉพาะเงินที่ได้จากลูกค้าที่เราโอนเข้ามาให้เป็นค่าบริการ ค่าปรึกษา ซึ่งแต่ละ case แต่ละคน ก็ไม่เยอะมาก

เราก็คิดว่า ค่อย ๆ ทำไป
เก็บเล็ก ผสมน้อย

ส่วนราคาอิฐ ก็มีขึ้นลง แล้วแต่นักลงทุนแต่ละคนที่จะต้องการซื้อหรือขาย ซึ่งก็เหมือนกับตลาดหุ้น ตลาดหลักทรัพย์ เราเองก็ไม่ได้สนใจเรื่องราคาอิฐที่มันขึ้นลงเท่าไหร่ เราสนใจเรื่องค่าเช่า เรื่องค่าส่วนแบ่งปันผลที่ได้ในแต่ละเดือนมากกว่า ว่าได้เท่าไหร่


7 properties ที่เรามีอยู่




ราคาอิฐ ซึ่งเราจะเห็นว่า $69 ก็สามารถทำงานลงทุนได้
ก็ลองประหยัดค่ากาแฟ ค่า muffin ในแต่ละวัน แล้วเอาเงินตรงส่วนนั้นมาทำอะไรเพื่อการลงทุนดูนะครับ



$165.97 คือเงินปันผลที่ได้มา จากการลงทุน Nov 2017 - Jun 2018
ตัวเลขอาจจะดูยังน้อย เพราะช่วง Nov 2017 - Apr 2018 เราไม่ได้ทำอะไรเลย ลงทุนไปแค่ $5,000

นี่เราก็เพิ่งมาทำอะไรเป็นจริง ๆ จัง
ทำเป็นระบบ เมื่อประมาณ Apr 2018 มานี่เอง
คิดว่าได้เงินปันผลมา $165.97 ก็ดีแล้ว เพราะเราไม่ได้ทำอะไรหนิ ไม่ต้องไปออกแรงแบกหาม ไม่ต้องไปขายของ ขายอะไร

บางทีเราก็ต้องเลือกที่จะให้เงินทำงานแทนเราด้วย
บางทีเราก็ต้องคิดอะไรใน long-term ด้วย
คิดทำอะไร passive income ด้วย

คนเราทำงาน ก็อย่ามัวแต่ทำงานหามรุ่งหามค่ำนะครับ
เจียดเงินบางส่วนที่เรามี เอามาลงทุนอะไรบ้าง
มีน้อยก็ลงทุนน้อย มีมากก็ลงทุนมาก
ทำไปตามกำลังที่เรามี

เก็บเล็ก ผสมน้อยไปเรื่อย ๆ 
ลด ละ เลิก ซึ่งของฟุ่มเฟือย เราก็จะมีเงินเก็บเอามาลงทุนพวกนี้เอง โดยที่เราไม่ต้องเปลี่ยนแปลง lifestyle ของเราอะไรมาก

ยาขม


ยาขม

ก็อาจจะมีบ้างที่บางทีมนุษย์เราทำอะไรลงไป เพียงเพราะเราอาจจะคิดอะไรแค่ฝ่ายเดียว เพียงเพราะเราคิดอะไรแค่มุมมองเดียว มุมมองของเรา

โดยเฉพาะการทำงานบนโลกออนไลน์ในสมัยนี้
ก็จะมีบ้างที่บางทีเราคิดว่า “นี่เป็นพื้นที่ของเรา” เราอยากทำอะไรก็ได้ในขอบเขตที่เราคิดว่ากำลังพอดี กำลังพอเหมาะ

แต่สิ่งที่เราคิดว่า “กำลังพอดี กำลังพอเหมาะ” สำหรับเรา
มันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ “กำลังพอดี กำลังพอเหมาะ” สำหรับใครบางคนก็ได้

กับการทำงานบนโลกออนไลน์ กับการที่มีผู้คนรู้จักมากขึ้น บางทีมันก็เป็นความรับผิดชอบต่อสังคม ว่าเราจะต้องทำตัวอะไรยังไง แบบไหน

เราจะทำตัวเป็นแบบพวก “ฉันไม่แคร์” มันก็คงไม่ได้

ก็มีบ้างเป็นบางครั้งที่เราได้รับคำแนะนำ ติติง

จริง ๆ แล้วคำแนะนำและคำติติงพวกนี้ มันมีค่ามากกว่าคำชม

เพราะมันจะทำให้เราเติบโตอย่างมีคุณค่า
เพราะเขาคนนั้นที่ส่งคำแนะนำหรือคำติติงมา เขากำลังทำตัวเป็นกระจกส่องเงาให้กับเรา

คำติติงหรือคำแนะนำเหล่านี้
มันจะทำให้เราไม่หลงระเริงกับสิ่งที่เราสร้างขึ้นมา
กับสิ่งที่เราคิดว่ามัน เป็น อยู่ คือ

เพราะบางทีเราก็ลืมที่จะส่องดูตัวเองในกระจก

คำติติงเหล่านี้มันก็เปรียบเสมือนยาขม
บางทียามันก็ต้องแรง มันถึงจะรักษาโรคบางอย่างได้
ที่เหลือก็คงต้องแล้วแต่คนไข้แล้วล่ะ ว่าจะสามารถรับยาขมตัวนี้ได้ไหม

โดยส่วนตัวแล้ว เรารู้สึกขอบคุณคนที่ส่งยาขมมาให้
มันทำให้เรา “ตื่น” ตื่นจาก buble ที่บางทีเราก็หลงสร้างมันขึ้นมา

buble เหล่นี้มันคือภาพลวงตา
buble เหล่านี้มันไม่มีอะไรแน่นอน
buble เหล่านี้มันอาจจะทำให้เราหลงลืมตัวไปบ้างเป็นบางที

การที่เราได้รับยาขมมันทำให้เรา “รู้ตื่น”
การที่เราได้รับยาขมมันทำให้เรารู้สึกถึงความคิดเห็นของคนอื่น ว่าสิ่งที่เราทำ เราพูด เราคิด หรือการที่เราสื่อสารออกไปนั้น คนอื่นเขาคิดยังไง คนอื่นเขาอาจจะคิดหรือรู้สึกที่แตกต่างไปจากเราก็อาจจะเป็นได้

ชีวิตคนเราถ้าอยากจะประสบความสำเร็จ เราก็ต้องฟังความคิดเห็นของคนอื่นด้วย เราอย่าเอาแต่ความคิดเห็นของตัวเองเป็นใหญ่ เราอย่ามัวแต่หลงระเริงกับคำชม เพราะคำชม บางทีมันก็คือดาบสองคมดี ๆ นี่เอง

หยุดสักนิด
หยุดฟังคำแนะนำ
หยุดฟังติติงบ้าง

เพื่อที่เราจะได้เติบโต ไปอย่างมีคุณภาพ ไม่ว่าจะทั้งในเรื่องของธุรกิจ หน้าที่ การงาน และก็การดำเนินชีวิตทั่ว ๆ ไป

เราต้องขอบคุณ ขอบคุณคนที่ส่งยาขมมาให้

ยาขมเหล่านี้มันเป็นการสร้างภูมิต้านทานของชีวิต
มันจะช่วยเป็นเกราะกำบัง ไม่ให้เราล้มเหลว
มันจะทำให้เราเดินต่อไปข้างหน้าได้อย่างสง่าผ่าเผย
มันจะเป็นการช่วยส่งเสริมคุณภาพของความเป็นคนของเรา

ทุกครั้งที่มีคนติติงอะไรมา บางทีมันก็มีความจำเป็นที่เราจะต้องหยุดคิดว่าสิ่งที่เขาพูดนั้น มันน่าจะมีมูลของความเป็นจริงอยู่หรือเปล่า หากเรามีข้อบกพร่องอะไรจริง ๆ เราก็ต้องนำเอาข้อชี้แนะหรือค ำติติงเหล่านั้น มาปรับปรุงแก้ไข

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องสูญเสียความมั่นใจของเราไป

เพราะสุดท้ายแล้ว ตัวเราเองนี่แหละที่จะต้องคิดว่าสิ่งที่คนอื่นเขาแนะนำเรามา สิ่งที่เขาติติงเรามา มันเป็นความจริงหรือเปล่า เราบกพร่องจริงไหม เราจะควรพัฒนาเพิ่มเติมตรงจุดนี้จริงหรือเปล่า

ถ้าหากใช่ เราก็ควรที่จะนำไปพิจารณา
แต่ถ้าหากเราคิดว่ามันไม่ใช่ ก็ไม่เป็นไร เราก็ปล่อยมันทิ้งไป อย่าเก็บเอามาใส่ใจ ทำให้ตัวเองหงุดหงิด เสียเวลาเปล่า ๆ

เพราะยังไงเสีย เราก็ต้องรักษาความเป็นตัวของตัวเองของเราเอาไว้ด้วย อย่าให้เราสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองของเราไป อย่าให้เราสูญเสียความมั่นใจของเราไปได้

“ยาขม” ทานได้แต่อย่าให้บ่อยนัก
ทุกอย่างต้องอยู่บนพื้นฐานของความพอดี
ไม่มากเกินไป
ไม่น้อยเกินไป

แล้วชีวิตของเราก็จะมีความสุข
เจริญเติบโตในธุรกิจ หน้าที่ และการงานอย่างมั่นคง

วันนี้พวกคุณ ๆ เธอ ๆ ท่าน ๆ ทั้งหลาย

ตื่นจาก “bubble” ของคุณ ๆ เธอ ๆ ท่าน ๆ ทั้งหลายแล้วหรือยังเอ่ย...

...เพราะฉะนั้น... มันถึงเป็นเช่นฉะนี้...