Sunday, May 20, 2018

Own The Day, Own Your Life


Own The Day, Own Your Life ของ Aubrey Marcus เป็นหนังสืออีกเล่มหนึงที่น่าอ่าน

อ่านง่าย เนื้อหาไม่แน่น อันไหนพอข้ามไปได้ เราก็สามารถข้ามไป อย่างเช่นพวกสูตรการทำอาหารเพื่อสุขภาพอะไรต่าง ๆ ซึ่งเราไม่มีเวลา หรือไม่ชอบที่จะทำอยู่แล้ว พวกนี้เราก็สามารถข้ามไปได้

เรารู้จัก Aubrey Marcus เพราะเราฟัง podcast ของ Tim Ferriss เวลาไป gym หรือช่วงที่เราเดินออกกำลังกาย

และเราก็เห็นหนังสือเล่มนี้วางขายอยู่ทั่วไปตามร้านหนังสือ แต่เราก็เลือกที่จะซื้อมาเป็นแบบ ebook แทน เพราะเราไม่ต้องหอบหิ้วหนังสือเป็นรูปเล่มไปมา

concept หรือเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้คือ

ถ้าเราสามารถทำแต่ละวันให้ดีที่สุด ชีวิตเราก็จะสมบูรณ์แบบในแบบที่เราต้องการ เพราะเราทำอะไรไปแต่ละวัน ถ้าเอารวมกันทุก ๆ วัน นั่นมันก็คือชีวิตทั้งชีวิตของเรา

หนังสือก็เลยชื่อ Own The Day, ก็ประมาณว่า ทำแต่ละวันให้ดีที่สุด 
Own Your Life, ก็ประมาณเรากุมบังเหียนชีวิตเรา อะไรประมาณนี้

Own The Day, ที่แปลว่าทำแต่ละวันให้ดีที่สุด ไม่ได้เป็นแค่คำสวยหรู แต่ Aubrey Marcus เขียนออกมาเป็น step เลยว่า ตั้งแต่ตื่นมาตอนเช้า เราควรทำอะไรบ้าง ไปจนถึงตอนเย็น การมีเซ็กส์ และการนอน

ดังนั้นถ้าใครยังไม่เปิดใจในเรื่องเซ็กส์มากพอ ก็ยังไม่ควรอ่านหนังสือเล่มนี้ แต่ก็อย่าลืมว่าเซ็กส์ไม่ใช่เรื่องลามก แต่เป็นเรื่องของความรัก อารมณ์ และความรู้สึก

Aubrey Marcus พูดถึงเรื่อง:

การตื่นตอนเช้า:
- hydrate ร่างกายเราก่อน ด้วยการดื่มน้ำ ไม่ใช่กาแฟ
- power shower, การอาบน้ำเย็น ๆ ที่หลาย ๆ คนทำกันรวมไปถึง Tony Robbins ด้วย
- การทานอาหารเช้าที่ควรมีโปรตีน ไม่ใช่คาร์โบไฮเดรต เพราะคาร์โบไฮเดรตจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลได้ไว
- อาหารเช้าไม่ใช่อาหารมื้อที่สำคัญที่สุด เพราะร่างกายเรายังมีอาหารที่เก็บเป็น reserve ไว้จากอาหารค่ำของวันก่อน แต่อาหารเที่ยงเป็นอาหารที่สำคัญที่สุด ไม่ใช่แค่ Aubrey Marcus ที่กล่าวถึงเรื่องนี้ Daniel Pink ก็พูดถึงเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน

การเดินทางไปทำงาน:
ก็ฟัง postcast หรือ audiobook
เฮ้ย อันนี้เราทำอยู่แล้ว แต่มันก็เป็นตอกย้ำว่า เรามาถูกทางแล้ว

ช่วงที่ทำงาน:
ก็ควรมีการลุกเดิน หรือเปลี่ยนอิริยบทบ้าง อะไรบ้าง
หรือเลือกทำอะไรที่สำคัญก่อน
ถ้าต้องการสมาธิ ก็เปิดมือถือเป็น fligt mode (เฮ้ย อันนี้เราทำอยู่แล้ว มันก็เป็นตอกย้ำว่า เรามาถูกทางแล้ว ไม่ได้เป็นแค่เราคนเดียว)

อาหารกลางวัน:
ก็ต้องแบบว่าอย่าเอาความสะดวกสบายเป็นหลัก ต้องคิดถึงเรื่องโภชนาการด้วย Aubrey ก็ list พวกอาหารเพื่อสุขภาพนั่น นี่ โน่น มาให้ ซึ่งเราคนไทย เราคิดว่าพวกเราทานอาหารเพื่อสุขภาพมากกว่าพวกฝรั่งอยู่แล้ว

อาหารปลอดสารพิษอะไรก็ว่าไป

เครื่องดื่มก็ green tea อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งตัวเราเองก็เริ่มดื่ม green tea แทนกาแฟอยู่แล้ว ตั้งแต่ Sep 2017

ออกกำลังกาย:
Aubrey Marcus พูดถึงเรื่องการออกกำลังเยอะมาก เอาเป็นว่าแล้วแต่ใครจะถนัดก็แล้วกัน เราก็เริ่มออกกำลังกายจริง ๆ จัง ๆ มาแล้วเหมือนกัน เราก็ข้าม ๆ ตรง section นี้ไปด้วย

ช่วงที่กลับบ้าน:
ก็ต้องแบบว่าไม่ทำงานเลย 
ตรงจุดนี้เราว่ามันก็เหมาะคนที่ทำงานเป็นลูกจ้างนะ แต่คนที่เป็นเจ้าของธุรกิจ เราว่าไม่จำเป็นนะ โดยเฉพาะคนที่ทำงานแบบมี home office เพราะทุกอย่างมันสามารถ integrate เข้าด้วยกันได้

เรื่องการมีเซ็กส์:
Aubrey Marcus ก็พูดถึงการมีเซ็กส์ว่าควรเป็นอะไรที่ทำกันอย่างสม่ำเสมอ เพื่อชีวิตความรักและความต้องการจะได้สมดุล และแน่นอนการมีเซ็กส์มันก็ต้องมีความสุขทั้งคู่ อย่าเอาแต่จะได้แค่ฝ่ายเดียว :)

การนอน:
ก็ต้องนอนให้หลับสนิท อะไรประมาณนี้ ไม่รู้สิ เรามี concept ของการนอนที่แตกต่าง เราเป็นคนตื่นแต่เช้า นอน 8 ชั่วโมงเหรอ เราคิดว่ามากไปนะ สำหรับคนที่อยากจะประสบความสำเร็จ ถ้าเป็นเด็กกำลังเติบโตหนะ OK แหละ ส่วนตัวแล้วเราคิดว่า 7 ชั่วโมงกำลังพอดี แต่ถ้าได้ 6 ชั่วโมงเนี๊ยะ จะเจ๋งกว่า เพราะเราจะได้มีเวลาทำอะไรเงียบ ๆ ตอนเช้า เพื่อตัวเอง

Anyway... เราก็คิดว่าหนังสือเล่มนี้ เป็นหนังสืออีกเล่มที่น่าอ่านนะครับ
ถ้าซื้อมาเป็นรูปเล่มก็อาจจะแพง แต่ถ้าซื้อเป็นพวก ebook ก็จะถูกหน่อย ถือ จับ เดินทางง่ายด้วย

จอห์น เผ่าเพ็ง... เพราะฉะนั้น มันถึงเป็นเช่นฉะนี้

Friday, May 18, 2018

หนังสือที่อ่านและฟังทั้งหมดของปี 2018


ปี 2018 เราบอกกับตัวเองว่าจะเป็นปีแห่งการอ่าน
ปีแห่งการอ่านหนังสือ หรือการฟัง audiobook


ก็จะลองดูว่าปีนี้ทั้งปี เราจะอ่านหรือฟังหนังสือได้ทั้งหมดกี่เล่ม
จะเปิดโลกทัศย์ได้มากน้อยแค่ไหน

12 เดือนผ่านไป
เราอ่านและฟังได้ 43 เล่มแล้ว, as of 26 December 2018

หนังสือที่เป็นรูปเล่ม
1. Ask GaryVee ของ Gary Vee
2. ขุนเขาเกาสมอง ของ Khun Khao
3. สมองเศรษฐี ของ Khun Khao
4. สมองทองคำ ของ Khun Khao
5. อย่าปล่อยให้ใครฆ่าวาฬของคุณ เขียนโดย รวิศ หาญอุตสาหะ
6. Huawei จากมดสู่มังกร เขียนโดย หยาง เช่า หลง แปลโดย ชาญ ธรประกอบ
7. แล้วความรักก็บอกกับเราว่า เขียนโดย นิ้วกลม
8. ลงทุนแมน 2.0 เขียนโดย ลงทุนแมน
9. 12 กฎทองของคนใช้สมองเป็น (Brain Rules) เขียนโดย John Medina แปลโดย วิโรจน์ ภัทรทีปกร
10. ขายเนื้อให้เหมือนหลุยส์วิตตอง เขียนโดย อีดงช็อล แปลโดย อาสยา อภิชนางกูร
11. คิดแบบภาววิทย์ เขียนโดย ภาววิทย์ กลิ่นประทุม
12. ลุงทุนแบบ เบน เกรแฮม เขียนโดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
13. Homo Finishers สายพันธุ์เข้าเส้นชัย เขียนโดย นิ้วกลม
14. ชีวิตดีอย่างอัศจรรย์ เมื่อตื่นทุกวันตอนตี 5 เขียนโดย Jeff Sanders แปลโดย เสรี อู่ธาราสวัสดิ์
15. Steal Like An Artist; เขียนโดย Austin Kleon


หนังสือ ebook
1. Tools of Titans เขียนโดย Tim Ferriss
2. Crushing It เขียนโดย Gary Vee
3. As a Man Thinketh เขียนโดย James Allen
4. Authorpreneur เขียนโดย Jess Warren
5. Oprah, A Biography เขียนโดย Kitty Kelly
6. Own The Day, Own Your Life เขียนโดย Aubrey Marcus
7. When; The Scientific Secret of Perfect Timing เขียนโดย Daniel H.Pink
8. Money Master the Game เขียนโดย Tony Robbins
9. Affected; Emotionally Engaging Customers in The Digital Age เขียนโดย Cara Wrigle & Karla Straker
10. The Rise of YouPreneur; เขียนโดย Chris Ducker


หนังสือ audiobook
1. The Thank You Economy ของ Gary Vee
2. The Automatic Millionaire ของ David Bach
3. Zero to One ของ Peter Thiel และ Blake Masters
4. Elon Musk โดย Ashlee Vance
5. Principles; Life and Work ของ Ray Dalio
6. Tiger Woods เขียนโดย Jeff Benedict และ Armen Keteyian 
7. "Open: The Autobiography" ของ Andre Agassi 
8. "Shoe Dog A Memoir by the Creator of Nike" เขียนโดย Phil Knight
9. Purple Cow: Transform Your Business by Being Remarkable" เขียนโดย Seth Godin
10. Steve Jobs; The Exclusive Biography by Walter Isaacson
11. Finding My Virginity by Sir Richard Branson
12. My Story by Julia Gillard
13. Losing My Virginity by Sir Richard Branson
14. To Sell Is Human by Daniel H.Pink
15. The Richest Man In Babylon by George S. Clason
16. Minimalism; Live a Meaningful Live, by Ryan Nicodemus and Joshua Fields Millburn
17. Chicken Soup for the Soul, by Heidi Krupp and Jack Canfield
18. Becoming, by Michelle Obama

จอห์น เผ่าเพ็ง... เพราะฉะนั้น มันถึงเป็นเช่นฉะนี้

Wednesday, May 16, 2018

Learn to say “no” รู้จักที่จะปฏิเสธ


การที่เราได้มีโอกาสทำงานกับคนในหมู่มาก บางทีเราก็ต้องรู้จักที่จะปฏิเสธหรือ say “no” กับอะไรหลาย ๆ สิ่งหลาย ๆ อย่างด้วย ไม่งั้นชีวิตเราก็จะวุ่นวายจนเกินไป

บางทีเราก็ต้องปฏิเสธที่จะต้องทำงานนอกเหนือหน้าที่การทำงานของเราด้วย

ครั้งเดียวมันก็ OK นะ
ครั้งที่ 2 ก็คงไม่เป็นไร
แต่ถ้าบ่อย ๆ เข้า เราก็ถือว่ามันมากไป
มันก็ต้องมีการปฏิเสธกันบ้าง

เราเข้าใจว่าหลาย ๆ คนอาจจะต้องการความช่วยเหลือ ต้องการความสะดวกสบาย แต่เราก็ต้องดูด้วยกว่ามันเกินขีดจำกัดของเราหรือเปล่า

บางทีก็มีความรู้สึกว่า ถ้าเผื่อเราดีมากจนเกินไป เราก็จะโดนคนอื่นเอาเปรียบ

เราก็ต้องคิดด้วยว่าเรากำลังเบียดเบียนตัวเอง
เบียดเบียนคนรอบข้าง
เบียดเบียนคนในครอบครัว
เบียดเบียนคนที่เรารักหรือเปล่า

เพราะอะไรทุกสิ่งอย่างที่เราทำ มันเกี่ยวข้องกับ “เวลา” ทั้งนั้น เวลาเหล่านั้นที่เราไปทำอะไรให้กับคนอื่น (ที่ไม่เกี่ยวกับธุรกิจหน้าที่หรือการงานเท่าไหร่ หรือที่มันนอกเหนือหน้าที่) เราสามารถนำเอาเวลาเหล่านี้มาอยู่กับคนในครอบครัวของเราได้ ใช้เวลาอยู่กับคนที่เรารักได้

บางคนบอกว่า เราต้อง goes extra miles
Ok แหละ เราสามารถ goes extra miles ได้
แต่อย่าให้บ่อยเกิน

อะไรที่เยอะเกินไป
อะไรที่มากเกินไป
มันก็ล้น มันก็ไม่ดีทั้งนั้นแหละ

ดังนั้นบางทีเราก็ต้องรู้จักที่จะปฏิเสธ
เลือกที่จะ say “no” บ้างเป็นครั้งคราวก็ได้
ไม่จำเป็นต้องเป็นพ่อพระไปหมดซะทุกเรื่อง

เราต้องรู้จักเลือกที่จะไม่รับสายโทรศัพท์ในช่วงวันหยุด
เพราะปรกติแล้ว วันหยุดเราก็อยู่กับครอบครัวของเราอยู่แล้ว แล้วดังนั้นเราไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเปิดโทรศัพท์มือถือ

เราต้องรู้จักเลือกที่จะเปิดโทรศัพท์มือถือเป็น flight mode หลังเวลาเลิกทำงาน เพื่อที่ชีวิตจะได้อยู่เงียบ ๆ บ้าง

สังคมและก็โลกการสื่อสารในปัจจุบัน มันมีวิธีการในการติดต่อเยอะแยะมากมาย ส่งข้อความมาก็ได้ ส่งอีเมลมาก็ได้ แล้วเราก็จะตอบกลับเมื่อเวลาที่เราพร้อม บางทีแล้วอีกฝ่ายหนึ่งก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องโทรมาหาเราเลยด้วยซ้ำ แต่บางทีมันก็เป็นนิสัยของมนุษย์ เพราะว่ามันสะดวกสำหรับเขา แต่มันอาจจะไม่สะดวกสำหรับเรา

ชีวิตของการไม่รับโทรศัพท์
ชีวิตแบบนี้เราจะ in control ได้มากกว่า
เพราะเราเป็นคนจัดการชีวิตของเราได้
แต่ถ้าเรามัวแต่รับสายโทรศัพท์ทุกสายที่โทรเข้ามา นั่นกำลังแสดงว่า คนอื่น คนที่เขาโทรเข้ามาเขากำลังจัดการชีวิตของเราอยู่ เขาโทรมาในเวลาที่เขาสะดวก แต่สะดวกของเขาอาจจะไม่สะดวกของเรา ดังนั้นหลาย ๆ ครั้งเราก็ต้องรู้จักที่จะปฏิเสธในการรับสาย หรือเลือกปฏิเสธที่จะเปิดโทรศัพท์มือถือในบางเวลาด้วย ไม่งั้นชีวิตเราก็จะวุ่นวายเกิน

โลกสังคมยุคใหม่ เราสามารถติดต่อกันได้ด้วยเทคโนโลยีอย่างเช่น อีเมลหรือการส่งข้อความผ่าน application ต่าง ๆ

ยกเว้นสมาชิกในครอบครัวที่อาจจะใช้เทคโนโลยีไม่เป็นเท่าไหร่ ตรงจุดนี้เราก็ต้องดูแลและก็ stand by เวลาเขาโทรมา

หรือบางทีเราก็ต้องเลือกที่จะปฏิเสธเวลาคนมาขอยืมตังค์ เพราะโดยส่วนมากแล้วเราคิดว่า คนที่เขามีปัญหาเรื่องการเงิน นั่นแสดงว่าเขาบริหารเงินไม่เป็นหรือเปล่า เขาใช้จ่ายมากกว่ารายได้ที่เขามีหรือเปล่า

คนเราไม่จำเป็นต้องร่ำรวยอะไรมากมาย ถ้าเราอยู่กันแบบเรียบง่าย มีพออยู่พอกินพอใช้ จับจ่ายใช้สอยน้อยกว่าเงินที่เราหามาได้ ถ้าเราหามาได้น้อย เราก็ใช้น้อย ก็แค่นั้นเอง ไม่เห็นมีความจำเป็นที่จะต้องไปหยิบยืมเงินอะไรจากใครที่อื่น นอกเสียจากเขาคนนั้นมาหยิบยืมเงินเราเพื่อไปใช้ในการลงทุนหรือการทำธุรกิจ อันนั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่บางคนที่เป็นพวก “รายได้ต่ำ รสนิยมสูง” พวกนี้ก็น่าเป็นห่วง

กับการทำงานสมัยนี้ ที่เราทำงานกันบนโลกออนไลน์ได้ ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วเราชอบการทำงานแบบนี้ การส่งข้อความเข้ามาสอบถามอะไรต่าง ๆ นานา เป็นอะไรที่สะดวก เป็นอะไรที่สามารถทำกันได้ตลอด 24 ชั่วโมง

บางทีเราก็มีความจำเป็นที่จะต้องเลือกที่จะตอบหรือเลือกที่จะไม่ตอบข้อความเหล่านั้นด้วย เพราะถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว วัน ๆ หนึ่งเวลามันจะสูญหายไปกับการตอบข้อความเหล่านี้แน่นอน ดังนั้นจึงสำคัญมากที่เราจะต้องรู้จักการปฏิเสธรายการเลือกด้วยเช่นเดียวกัน

เราไม่จำเป็นต้องคิดว่า มันเป็นหน้าที่ที่เราจะต้องคอยตอบข้อความเหล่านั้น จริง ๆ แล้วเราสามารถเลือกได้ว่าเราจะตอบข้อความเหล่านั้นหรือเปล่า เรามีเวลาหรือเปล่า เราได้ทำงานที่สำคัญต่าง ๆ ของเราเสร็จแล้วหรือเปล่า ก่อนที่จะตอบพวกข้อความเหล่านั้น

บางทีมันก็สำคัญที่เราจะต้อง say “no” แล้วก็บริหารและจัดการเวลาของเราให้เป็นสัดส่วน ไม่งั้นงานที่สำคัญของเราก็จะไม่เสร็จ สุดท้ายแล้วคนที่ซวยที่สุดก็คือตัวเราเองนี่แหละ ดังนั้นเราก็ต้องรู้จักแยกแยะว่าสิ่งไหนสำคัญมาก สิ่งไหนสำคัญน้อย

ไม่ใช่ say “yes” ไปหมดซะทุกอย่าง แล้วงานไม่เสร็จเป็นชิ้นเป็นอัน แบบนี้ก็ไม่ดี

สุดท้ายแล้วเราก็ต้องดูแลตัวเองก่อน
ก่อนที่จะไปดูแลคนอื่น

เราต้องเมตตาต่อตัวเองด้วย
เราต้องรักตัวเราเองด้วย

เราต้องรักคนรอบข้าง คนในครอบครัวเราด้วยก่อนที่จะไปรักคนอื่น คนแปลกหน้า ที่ส่วนมากแล้วก็จะเป็นแค่ “ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป”

จอห์น เผ่าเพ็ง... เพราะฉะนั้น มันถึงเป็นเช่นฉะนี้

Thursday, May 10, 2018

ชีวิตเมืองรอบนอก


ตื่นมาเช้านี้ ไม่ได้ตื่นที่ Wollongong
เมื่อคืนเรามานอนที่บ้านชายโสด
Apartment ที่เราเพิ่งซื้อไว้ ยังไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไรมากมาย

Unit เราอยู่ชั้นบนสุดของตึก อยู่ชั้น 3

นี่ก็ถือว่าเป็นตึกที่สูงที่สุดของเมืองนี้ เพราะว่าเป็นเมืองรอบนอก

ไม่ใช่ Wollongong

เช้านี้เราก็ตื่นเช้ากว่าปรกตินิดนึง

ตื่นประมาณตี 4; 4am

แล้วทำอะไรเงียบ ๆ ไปเรื่อยเปื่อย

Living room เราเป็นกระจกทั้งหมดเลย
ถ้าเปิดผ้าม่านเราก็จะมองเห็นวิว ข้างนอก
วิวก็ไม่สวยอะไรมากหรอก ก็เป็นแค่บ้านคนทั่ว ๆ ไป ก็แค่นั้นเอง
ถ้าเราเปิดผ้าม่านออก เราก็จะมองเห็นข้างนอก ข้างนอกก็จะมองเห็นเรา

ฝรั่งแถวนี้อาจจะงงก็ได้ว่า
ใอ้คนคนนี้มันจะตื่นเช้ามาทำไรของมันมากมาย

เราชอบเปิดผ้าม่านออกเพราะอยากจะเห็น การดิ้นรนของชีวิตตอนเช้าของมนุษย์

ผู้คนที่เมืองรอบนอกเกินครึ่งเป็นกลุ่มคนที่ใช้แรงงาน

เราสังเกตได้จากการแต่งตัว คือพวกที่แต่งตัวใส่เสื้อสีสะท้อนแสง สีส้ม หรือสีเขียวเหลือง

พวกเขาต้องตื่นกันแต่เช้า

ตี 4 ตี 5 เราก็เห็นขับรถออกจากบ้านกันแล้ว

ขับผ่านที่หน้าตึกเราก็เยอะเหมือนกัน

คนที่ใช้แรงงานเหล่านี้ ส่วนมากแล้วก็อาจจะเป็นช่าง อาจจะเป็นช่างทำบ้านหรือช่างทำถนน อะไรยังไงก็ว่าไป

ช่างเหล่านี้เขาจะเริ่มทำงานกันเช้ามาก บางทีก็ 6 โมงเช้า 6am ก่อนที่แดดจะออกเพราะไม่งั้นก็คงจะร้อน

การที่เราได้นั่งอยู่ข้างบนตึกแล้วมองเห็นภาพจากข้างบนตึก

มันทำให้เราเห็นสัจธรรมของชีวิตว่า

ชีวิตของคนหลาย ๆ คน เขาก็ยังต้องดิ้นรนกันอยู่

ชีวิตของเราถึงแม้ว่าจะไม่ได้สบายอะไรมากมาย ยังคงต้องปากกัดตีนถีบ หาเช้ากินค่ำอยู่

ภาพเหล่านี้มันก็ทำให้เราคิดได้ว่า

ชีวิตเรานั้นดีกว่าพวกเขามากมายแค่ไหนที่เราไม่ต้องไปทำงาน ทำอะไรแบบนั้น

บางคนอาจจะชอบนะ แต่เราเป็นสายเด็กเรียน เราเป็นเด็กสาย academic

เราชอบนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์มากกว่า

วิธีการดำเนินชีวิตของคนในเมืองรอบนอก

จะแตกต่างจากคนสังคมในเมืองใหญ่ อย่างเช่น Wollongong

Wollongong เราคิดว่าเป็นเมืองใหญ่นะครับ เพราะมีตึกสูง มีช็อปปิ้งเซ็นเตอร์ นั่น นี่ โน่น

แต่เมืองที่เรามาซื้อ apartment เอาไว้นั้นจะไม่มีตึกสูงกันเลย

วิถีชีวิตของคนในเมืองรอบนอก

ก็จะเป็นอะไรที่แตกต่าง

ประเทศออสเตรเลียเป็นประเทศที่กว้างใหญ่นะครับ

มีพื้นที่เยอะมาก แต่มีประชากรแค่ 23 ล้านคนอื่นเอง

ดังนั้น เมืองรอบนอก บ้านนอก นั้นมีจริงครับ

อย่ามัวแต่คิดว่าที่เมืองนอกจะต้องมีแต่ตึกสูง ๆ เหมือนที่ Sydney Melbourne หรือ Brisbane

เมืองนอกไม่ได้เป็นแบบนั้นเสมอไป

มันไม่ได้เป็นเหมือนในภาพที่ออกสื่อในทีวีหรือนิตยสารที่เมืองไทยให้คนที่เมืองไทยเขาดูกัน

ได้มาลองใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศและจะรู้ว่า

เมืองรอบนอก บ้านนอก นั้นมีจริงครับ

Sunday, May 6, 2018

หนังสือ ชีวประวัติของ Oprah Winfrey

Oprah Winfrey เป็นผู้หญิงผิวสีที่รวยที่สุดใน US

สมัยที่เราเป็นนักเรียนที่ UOW เราก็เคยดูรายการของเขาเหมือนกัน หลัก ๆ ก็เพื่อฝึกการฟังภาษาอังกฤษของเรา

ปรกติแล้วเราจะไม่ค่อยได้อ่านหนังสือพวกชีวประวัติ พวก biography แบบนี้เท่าไหร่

ถ้าหนังสือพวกชีวประวัติที่เราอ่าน ก็จะเป็นพวกที่เกี่ยวกับชีวประวัตินักธุรกิจ หรือไม่ก็ชีวประวัติผู้ก่อตั้งบริษัทที่เกี่ยวกับ IT อะไรประมาณนี้

การที่เราได้อ่านหนังสือ ebook เล่มนี้ มันก็ทำให้ทำให้เรารู้ว่า "unauthorized biography" มันเป็นอย่างไร เพราะไม่เคยรู้มาก่อนเลยจริง ๆ ว่ามันแตกต่างกันด้วยเหรอ ระหว่าง unauthorized biography กับ authorized biography

ไอ้เราก็คิดว่า biography ก็คือ biography ก็แค่นั้นเอง จบ...

ปรกติแล้วถ้าหนังสือชีวประวัติที่ผู้เขียนเองโดย หรือจ้างคนอื่นเขียนให้ เราก็จะเรียกว่า authorized biography คือประมาณว่าต้องมีการสัมภาษณ์คนที่เป็นเจ้าของชีวประวัติ และคนเขียนก็จะเขียนไปในทิศทางที่เจ้าของชีวประวัติอยากให้เป็น เอาเป็นว่าหนังสือเล่มนั้นได้รับการอนุญาตจากเจ้าของชีวประวัติว่างั้นเถอะ

แน่นอนคนที่เป็นเจ้าของชีวประวัติ เขาก็ต้องการให้หนังสือของเขานำเสนอแต่ในทางที่ดี ในด้านบวกของเขาเท่านั้น

แต่คนเราทุกคนมันก็ต้องมีมุมมืดกันบ้างแหละ

แต่ถ้าเจ้าของชีวประวัติเป็นคนเขียนเอง โอกาสที่เขาจะนำเสนอหรือตีแผ่เรื่องราวชีวิตของเขาทุกมุม มันคงเป็นไปได้ยาก

ส่วน "unauthorized biography" ก็คือการที่นักเขียน คนใดคนหนึ่งลุกขึ้นมาเขียนชีวประวัติของคนดัง คนใดคนหนึ่งโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตหรือความร่วมมือกับคนคนนั้น

อันนี้สิ เป็นอะไรที่น่าสนใจ
เพราะนักเขียนเองก็ต้องทำการศึกษา ค้นคว้าหาข้อมูลเองในการเขียน

เพราะนักเขียนเองก็ต้องมีการรักษาจรรยาบรรณของนักเขียนเอาไว้ด้วย
นี่คือจรรยาบรรณของนักเขียนที่ US นะครับ เพราะหนังสือที่เป็นภาษาอังกฤษที่เราอ่าน ส่วนมากจะมาจาก US ทั้งนั้นเลย

Kitty Kelly เป็นนักเขียนที่เขียนชีวประวัติของคนดังระดับโลกหลายคน เขาเขียนชีวประวัติของ Jackie Oh ด้วย

Jackie Oh คือ the first lady ของอดีตประธานาธิบดี John F Kennedy ของ US

ทันทีที่ Kitty Kelly ออกสื่อว่าเขาจะเขียนหนังสือชีวประวัติของ Oprah Winfrey และตัวของ Kitty Kelly เองก็ได้มีการแจ้งไปทาง Oprah Winfrey ด้วย เพื่อเป็นมารยาททางสังคม

ทันทีที่ Kitty Kelly ออกสื่อว่าเขาจะเขียนหนังสือชีวประวัติของ Oprah, Oprah ก็ออกมาประกาศทันทีว่า เขาจะไม่มีส่วนร่วมอะไรกับหนังสือเล่มนี้ และจะไม่ให้ความร่วมมืออะไรใด ๆ กับ Kitty Kelly เป็นอันขาด

Kitty Kelly ใช้เวลานานถึง 4 ปีในการสัมภาษณ์คนรอบข้างของ Oprah, ศึกษาและค้นคว้า กว่าจะออกมาเป็นหนังสือเล่มนี้ได้ ก็ใช้เวลานานถึง 4 ปี

เราจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหนังสือชีวประวัติเล่มนี้ของ Oprah Winfrey ที่เขียนโดย Kitty Kelly ถึงเป็น Number 1 New York Times Bestseller เพราะหนังสือเล่มนี้ ได้นำเสนอข้อมูลและมุมมองที่เราไม่เคยรู้เกี่ยวกับตัวของ Oprah Winfrey เลย

ถ้าหนังสือเล่มนี้เขียนเองโดย Oprah Winfrey เนื้อหาจะไม่ออกมาเป็นแบบนี้แน่นอน

หนังสือของ Kitty Kelly เป็นอะไรที่เจอะลึกเกี่ยวกับชีวประวัติของ Oprah ตั้งแต่เด็ก เรื่องทุกเรื่องมีที่มาและที่อ้างอิง มันก็เลยทำให้หนังสือน่าอ่าน น่าติดตาม

ทุกคนมีมุมมืดที่เราไม่อยากจะเปิดเผย ที่เราไม่อยากให้ใครมาขุดคุ้ย

แต่การที่ Oprah เป็นคนดัง มันก็เป็นเรื่องปรกติอยู่แล้ว ที่จะต้องโดนขุดขุ้ยแล้วนำข้อมูลมาตีแผ่ เพราะเขาที่สนใจของคนทั่วโลก

ตอนแรกที่เราเห็นหนังสือ ebook เล่มนี้ เราก็ไม่รู้หรอกว่าเนื้อหาจะออกเป็นรูปแบบนี้

เราคิดว่า Kitty Kelly เป็น ghostwriter ให้กับ Oprah Winfrey ด้วยซ้ำ

เราก็คิดว่าจะได้อ่านเรื่องราวว่า Oprah Winfrey ดิ้นรน จากเด็กที่ยากจนมาเป็นผู้หญิงผิวสีที่รวยที่สุดใน US ได้ยังไง

เนื้อหาตรงนี้มันก็มีแหละ แต่มันก็มีอะไรหลาย ๆ อย่างที่หักมุม
จึงไม่เป็นการแปลกที่หนังสือเล่มนี้ขายดีติดอันดับ 1 ของ The New York Time เพราะเราคงจะหาข้อมูลเกี่ยวกับตัวของ Oprah Winfrey ไม่ได้จากที่อื่นแล้ว

หนังสือเล่มนี้มีการกล่าวถึง:

- การเป็นเด็กใจแตกตอนสมัยเรียน high school ของ Oprah Winfrey, การขายตัวสมัยเรียน high school ที่ Oprah เอาผู้ชายแปลกหน้า เข้ามาในบ้านแล้วทำอะไรกันในห้อง (โดยส่วนตัวแล้ว เรารู้สึกเฉย ๆ กับเรื่องแบบนี้นะครับ เพราะเราทุกคนสมัยตอนเป็นเด็กเรียน high school ก็คงจะต้องเคยทำอะไรแปลก ๆ กันอยู่แล้ว)

- การที่เขาเลือกที่จะไม่พูดออกสำเนียงเหมือนคนผิวสีทั่ว ๆ ไป เพราะ Oprah เริ่มทำงานที่สถานีวิทยุเป็น DJ มาตั้งแต่สมัยเรียน high school ซึ่งสมัยนั้นการที่คนผิวสีจะเป็น DJ นั้นยากมาก แล้วยิ่งถ้าเป็นผู้หญิงผิวสีก็จะยิ่งยากเข้าไปใหญ่ โดยส่วนตัวแล้วเรามองเห็น determination ของเขานะ ที่จะทำอะไรที่แตกต่าง ที่ break the stereotype

- การที่เขาเริ่มไต่เต้าจาก DJ ที่สถานีวิทยุ แล้วไปทำ talkshow ตอนเช้าที่สถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นเล็ก ๆ แล้วค่อย ๆ ขยับขยายไปทั่วประเทศ และทั่วโลก

หนังสือเล่มนี้ได้นำเสนอข้อมูลทั้งในเชิงบวกและเชิงลบ
ก็เป็นอะไรที่น่าสนใจ

Kitty Kelly นำเสนอข้อมูลในทางลบเยอะ แต่ก็ไม่ได้นำเสนอตรง ๆ เขาจะปล่อยให้คนอ่านคิดเอาเอง อย่างเช่น:

-  การที่ Oprah เลือกที่จะไม่พูดออกสำเนีงของคนผิวสี

-  การที่ Oprah เลือกที่จะคบเฉพาะคนดังและดาราที่มีชื่อเสียงเท่านั้น ดูเหมือนว่าเขาพยายามที่จะสร้างครอบครัวของเขาขึ้นมาใหม่ และจะไม่ค่อยติดต่อกับครอบครัวจริง ๆ ของเขาเท่าไหร่ นอกจากที่จะส่งเงินไปช่วยเหลือ

- Oprah ใช้เงินซื้อเพื่อน

- Oprah รู้สึกอับอายที่เป็นคนผิวสี ที่เป็นคนผิวสีเป็นโทนเข้ม เขาอยากได้โทนที่ไม่เข้มมาก อยากได้แบบ light brown อะไรประมาณนั้น มีการกล่าวกันว่าโทนสีผิวของ Oprah เปลี่ยนไปจากสมัยก่อน ตอนที่เขาเริ่มเข้าวงการใหม่ ๆ สีผิวของเขาจะเข้มมาก หรือตอนที่เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย แต่อยู่มาอยู่ไป สีผิวของเขาก็จะค่อย ๆ สว่างขึ้น หลาย ๆ คนเชื่อว่า Oprah ได้มีการขัดสีผิว เหมือน Michale Jackson

- ทุกคนที่ทำงานกับบริษัทของ Oprah Winfrey และทุกคนที่ออกรายการของเธอ จะต้องเซ็นสัญญาว่าจะไม่มีการให้สัมภาษณ์หรือให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวของ Oprah ให้กับใคร ๆ ทั้งสิ้น ตลอดชีวิต

หนังสือเล่มนี้ คนอ่านเองก็ต้องใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยนะครับ
เราก็ต้องถามตัวเองด้วยว่า อ่านแล้วได้อะไร
เราได้เรียนรู้อะไรจากหนังสือเล่มนี้บ้าง

ก็เอาเป็นว่า เงินทุกบาททุกสตางค์ (จริง ๆ คือ US$) เขาหามาได้ ด้วยตัวของเขาเองก็แล้วกัน เพราะพ่อแม่ไม่มีอะไรจะให้

การอ่านเป็นสิ่งที่ดีนะครับ
เราขอเป็นอีกเสียงที่อยากจะรณรงค์ในเรื่องของการอ่านนะครับ

หนังสือทุกเล่มมีคุณค่าอยู่ในตัวมัน
ลองจัดสรรเวลาในการอ่านดูนะครับ

Saturday, May 5, 2018

ปี 2018 จะเป็นปีแห่งการอ่าน เป็นปีแห่งการเปิดโลกทัศย์


ปี 2018 เราบอกกับตัวเองว่าจะเป็นปีแห่งการอ่าน
ปีแห่งการอ่านหนังสือ หรือการฟัง audiobook

มันจะเป็นปีแห่งการเปิดโลกทัศย์

หลาย ๆ คนอาจจะคิดว่า เราจะมีเวลาเหรอ เพราะงานที่ทำอยู่ทุกอย่างก็ busy อยู่แล้ว

hmmm...  จะทำให้ดูจ๊ะ

จะลองดูสิว่า สิ้นปีเราจะอ่านหรือฟัง audiobook ได้ทั้งหมดกี่เล่ม

ปีนี้เราบอกกับตัวเองว่า จะไม่มี budget ในการซื้อหนังสือ ไ่ม่ว่าจะเป็นหนังสือเล่ม หนังสือ ebook หรือ audiobook

ปีนี้ และเราก็หวังว่าทุก ๆ ปี จะเป็นปีแห่งการเรียนรู้

เราก็เริ่มกลับมาอ่านหนังสือแบบจริง ๆ จัง ๆ ตอนสิ้นปี 2017

ก็เลยจะตั้ง target เอาไว้ว่าปี 2018 เราจะอ่านได้กี่เล่ม
ได้เรียนรู้อะไรจากหนังสือพวกนี้บ้าง

แต่ก่อนเหตุผลในการไม่อ่านก็เยอะ
- ทำงานก็ busy อยู่แล้ว
- เรียนโท ไปด้วย ก็ busy อยู่แล้ว

ตอนนี้เรียนจบแล้ว ข้ออ้างไม่เยอะแล้ว

เรื่องทำงาน busy เหรอ เราก็คิดว่า ถ้าเรารักตัวเองมากพอ เราต้องจัดเวลาได้

ถ้าเราจะต้องตื่นเช้ากว่าชาวบ้านเขา เราก็ต้องทำได้
ถ้าเราจะต้อง Drop Everything And Read (DEAR) เราก็ต้องสามารถทำได้ทันที ยุ่ง ๆ อะไรอยู่ก็ตาม เราต้องสามารถ drop everthing ได้ ถ้าเรารักตัวเองมากพอ

หลายคนถามว่าเราจัดเวลาได้อย่างไร
จัดได้สิ ถ้าเรารักตัวเองมากพอ
จัดได้สิ ถ้าเรารู้ว่าอะไรสำคัญกับชีวิตเรา
จัดได้สิ ถ้าเราไม่ใช้เวลาหมดไปกับการดู TV ดูข่าว ดูละคร

เขียน blog คือการตอกย้ำความคิดของตัวเอง
เขียน blog คือการบอกให้คนรู้ว่าเราจะทำอะไรแบบนี้นะ มันจะต้องมีคนที่คิดเหมือนเราบ้าง ที่มีอุดมการณ์คล้าย ๆ กัน เราจะได้ take myself accountable for