Tuesday, December 25, 2012

ความสุขบั้นปลาย

เคยคิดบ้างมั๊ยว่า คนเราหนะ ไม่แก่เกินที่จะฝัน
มีหลายๆคนที่ต้องเก็บความฝันของตัวเองเอาไว้ก่อน เพราะสถานการณ์หลายๆอย่างในชีวิต ที่ทำให้เค๊าต้อง detour ความฝันของตัวเอง

พี่ J ว่า การที่คนเรามีความฝัน มี goal in life มันทำให้ชีวิตเรามีค่า ไม่ใช่แค่เกิดมา แล้วก็ตายไปโดยเปล่าประโยชน์

พี่ J รู้จักผู้หญิง 2 คน คนหนึ่งเป็นเพื่อนที่สนิท ถึงแม้อายุจะห่างไกลกัน เค๊าคนนั้นอายุตอนนี้ก็น่าจะ 51 เป็นคนยาย มีหลายเล็กๆด้วย เค๊าส่งเสียลูกๆเค๊าจนจบมหาวิทยาลัยทุกคน ลูกทั้ง 3 คน ลูกทุกคนมีหน้าที่การงานที่ดี บางคนที่เรียนต่อโท แต่เรียนด้วยเงินของเค๊าเอง เรียนโท มันก็ควรเรียนด้วยตัวเองหนะนะ จะมาขอเงินพ่อแม่มันก็กระไรอยู่ โดยเฉพาะเป็น ฝรั่งออสซี่ ด้วยแล้ว หมดสิทธิ์ ครับ

เอ้า เข้าเรื่องเราต่อ เพื่อนพี่ J ตอนนี้ ก็เหมือนว่าเค๊าได้ทำหน้าที่ของแม่ที่ดีแล้ว ตอนนี้เค๊าก็กำลังจะทำอะไรเพื่อตัวเองบ้าง ทำอะไรที่ตัวเองใฝ่ฝันอยากจะทำบ้าง เห็นเค๊าบอกว่า เค๊าจะเลิกเป็นอาจารย์สอน มาหางานทำก๊อกๆแก๊กๆ แค่ part-time หาเงินพอเลี้ยงตัวเองก็พอ เพราะไม่มีภาระไม่ต้องดูแลลูกๆแล้วหนิ เค๊าก็กะจะลงเรียนอะไร part-time ไปด้วย เรียนในสิ่งที่เค๊าสนใจ ทำในสิ่งที่เค๊าอยากจะทำ คนเราจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ ตามหาฝันตอนอายุ 51 ยังไม่สาย นี่แหละ spirit ของความเป็นคน

เห็นเค๊าบอกว่าเค๊าสนใจเรื่องปรัชญาชีวิต เรื่องศาสนา เราก็ดีใจด้วยที่เค๊ากำลังตามหาฝัน ตามหาความสุขของตัวเอง ทำในสิ่งที่เค๊าอยากจะทำ ทำเพื่อลูกๆ ทำเพื่อครอบครัวมาก็พอแล้ว ถึงเวลาแล้วสินะ ที่เค๊าจะทำอะไรเพื่อตัวเค๊าเองบ้าง

ในขณะเดียวกัน พี่ J ก็รู้จักผู้หญิงฝรั่งคนหนึ่ง เค๊าเป็นแม่ของเพื่อนพี่ J เอง เค๊าเรียนไม่สูง จบแค่ high school ทำงาน office ส่งเสียลูกๆทุกคนจนจบมหาลัย ลูกๆมีงานทำกันหมด อยู่มาวันหนึ่งเค๊าก็บอกลูกๆว่า แม่จะไปเรียนมหาลัยนะ จะไปเรียน Education เพื่อที่จะออกมาเป็นครูสอนเด็กประถม ลูกๆก็สนับสนุนแม่เค๊าเต็มที่ เพราะว่าแม่เค๊าได้ทำหน้าที่ของเค๊าแล้วหนิ นี่ก็เป็นตัวเอย่างอีกตัวอย่างหนึ่ง ที่คนเรา เค๊าทำตามความฝันของตัวเอง ทำในสิ่งที่เค๊าอยากจะทำ ถึงแม้ว่าเค๊าต้องรอกว่าครึ่งชีวิต มันก็ยังไม่สายเกินไป

เราหละ ทำอะไรตามที่เราฝันอยากจะทำหรือเปล่า
ถามใจตัวเองว่า ตอนเนี๊ยะสิ่งที่เราทำหนะ เป็นสิ่งที่เราอยากจะทำมั๊ย เป็นสิ่งที่เราชอบมั๊ย หรือว่าเป็นสิ่งที่เราทำเผื่อหาเลี้ยงชีพ ดูแลครอบครัว ดูแลครอบครัวแล้ว ก็อย่าลืมดูแลตัวเองนะ ชีวิตเรา เราเลือกได้ เราเลือกที่จะตามหาฝันเราได้ ไม่มีใครแก่เกินที่จะฝัน

ขอให้ทุกคนมีความสุขในบั้นปลายของชีวิตนะครับ

J

Friday, December 7, 2012

ให้ ไม่ยึดถือ ไม่ยึดติด ละวาง

เคยมองไปรอบๆตัวเรา รอบบ้านเราบ้างมั๊ย
เคยสังเกตุหรือเปล่าว่าทำไมเราถึงมีสิ่งของ นั่น นี่ โน่น มากมาย 
ทุกสิ่งอย่างเป็นของนอกกาย ตายไปก็เอาไปไม่ได้สั่งอย่าง
ของยิ่งเยอะ ปัญหายิ่งมาก ย้ายบ้านที ก็วุ่นวาย
เก็บเอาไว้เราก็ไม่ค่อยได้ใช้แล้ว คนเราเนี๊ยะ ชอบยึดติดกันจริงๆ

2-3 เดือนที่ผ่านมา พี่ J ลอง "ให้" ทุกวันเสาร์ คือ ทุกวันเสาร์เนี๊ยะ พี่ J ก็เริ่มมองๆหาหละ ว่าของอะไรในบ้าน ของอะไรของเราที่ปกติเราก็ค่อยได้ใช้แล้ว แต่ถ้าให้คนอื่น มันคงจะเป็นประโยชน์มากกว่าอยู่กับเรา 

เสื้อผ้าบางตัว ก็เอาไปบริจาคที่ศูนย์รับบริจาคใกล้ๆบ้าน
ของเล่นลูกๆ พี่ J ถามเด็กๆก่อนว่ายังจะเล่นอยู่มั๊ย ถ้าไม่เล่น เราก็เอาไปวางไว้หน้าบ้าน คนเดินผ่านไปมา เค๊าก็เอาไปใช้ต่อเอง
หนังสือที่ชอบเก็บสะสมเหลือเกิน เก็บมานานหลายปี เก็บไว้ก็อยู่แค่บน bookshelf สู้แจกๆคนอื่นให้เค๊าได้อ่านกันมั่งก็ดี ก็มีหนังสืออ่านเล่นภาษาไทยเยอะพอสมควร พี่ J ก็ทยอยส่งไปให้หลานๆ เด็กๆที่เมืองไทยอ่านกัน ถ้าจะถามว่าคุ้มค่าส่งมั๊ย มันก็ไม่คุ้มหรอก แต่มันเป็นความสุขทางใจ ที่รู้ว่าหนังสือเหล่านี้ ของเหล่านี้ ยังมีประโยชน์สำหรับคนอื่น เราเก็บไว้ก็ไม่ได้ใช้แล้วหละ ยิ่งเราให้มาก บ้านเราก็ดูสบายตาไปเยอะ

textbooks บางเล่ม ก็ฝากไปให้อาจารย์ที่มหาลัย เผื่ออาจารย์จะได้ใช้ เป็นประโยชน์ต่อไป

พี่ J ไม่ได้แบบว่าทุ่มเทกับการให้ หรือบริตจาคนะ ไม่ได้แบบว่า ขนของมา ตูม บริจาค อะไรแบบนี้ ไม่ใช่ 

มันเป็น continuous activity ที่ทำไปเรื่อยๆ วันเสาร์ว่างๆ ก็เก็บโน่น เก็บนี่ ให้ไปอาทิตย์ละชิ้น 2 ชิ้น ทำไปเรื่อยๆ คิดว่าคนที่เค๊าได้รับก็คงมีความสุข 

จะทิ้งก็เสียดายของ เก็บเอาไว้ ก็เยอะเกิน
ถือมาก ยึดติดมาก ก็หนัก
ปล่อยวาง ลด ละ เลิก ก็เบา

Saturday, December 1, 2012

อยู่นิ่งๆ ไม่มีอะไรทำ เป็นอย่างนี้นี่เอง

โดยปกติแล้ว พี่ J ต้องมีอะไรทำ นั่น นี่ โน่น ตลอด
โดยเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ ปกติก็ต้องไปทำงานที่ร้านอยู่แล้ว เผอิญว่าช่วงนี้เด็กสอบเสร็จกัน เราก็เลยปล่อยให้เด็กๆทำกัน เราก็เลยได้อยู่บ้านบ้าง อะไรบ้าง ก็ดีไปอีกแบบ เพราะเนี๊ยะ ก็ไม่ได้เข้ามาเขียน blog นานแล้ว

TV เหรอ ก็ไม่มีอะไรน่าดู DVD ก็ดูหมดแล้ว ตอนนี้ก็เลยได้แต่นั่งนิ่งๆ และก็พยายาม imagine ว่า เออ ควรทั่วๆไปที่เค๊าทำงาน จันทร์-ศุกร์ แล้วเสาร์-อาทิตย์ เค๊าทำอะไรกัน เพราะรายการ TV ที่ออสเตรเลีย เป็นอะไรที่น่าเบื่อมาก

จริงๆ พี่ J ก็กะจะอ่านหนังสือนะ แต่เนี๊ยะก็อ่านมาหลายวันแล้ว อยากพักสมองบ้าง

เออ การที่ไม่มีอะไรทำ มันแบบนี้นี่เอง งั้นขอมีอะไรทำเรื่อยๆ แต่ไม่วุ่นวายมาก ก็แล้วกัน

Sunday, September 30, 2012

It's a wonderful weekend

วันนี้วันอาทิตย์ เด็กๆปิดเทอม คุณพ่อไม่มีงานสอน เพราะปิดเทอม 2 weeks เหมือนกัน ช่วงนี้ก็เลยได้ sleep in a little bit คือการนอนตี่นสาย สายในที่นี้ของ P' J คือประมาณ 7 โมงเช้านะ เพราะช่วงนี้ spring ที่ Australia ประมาณ 6 เช้าก็สว่างจ้าแล้ว

วันนี้คุณพ่อก็เลยได้เห็นลูกๆนอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนที่นอน คือตื่นแล้วนะ แต่ไม่ยอมลุกกัน ก็เป็นภาพที่น่าดูไปอีกแบบ ลูกๆก็เริ่มคุยกันไปคุยกันมา แต่ก็ไม่ยอมลุกออกไปทำ breakfast กัน มันก็เป็นอะไรที่ relax ไปอีกแบบหนึ่ง ก็ประมาณว่า lazy Sunday อะไรประมาณนั้น มันก็เป็นอะไรที่ refresh ไปอีกแบบ มันเป็นอะไรที่ไม่เร่งรีบ เพราะมันนี้เราก็ไม่มี plan ที่จะออกไปใหนกัน สรุปก็คือ อยู่ที่บ้าน relax

คุณพ่อก็นั่งทำ assignment ซึ่งก็เกือบเสร็จแล้ว ไม่เร่งรีบ ทุกอย่างเป็นไปอย่าง slow motion อยากให้ทุกวันเป็นแบบนี้ :)


Tuesday, September 25, 2012

ความสุขที่ไม่จำเป็นต้องไปซื้อหา

ความสุขที่ไม่จำเป็นต้องไปซื้อหา คือการเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิต หลายๆอย่าง
เปลี่ยนแปลงนิดเดียว tweak a little bit แต่ผลที่ออกมาคือการมีความสุขโดยที่ไม่ต้องไปซื้อหาให้เสียเงินเสียทอง

P' J เองก็เคยใช้ชีวิตที่โลดโผน ทุ่มเทกับการทำงาน และมัวหลงใหลกับ rat race
แต่ตอนนี้อะไรหลายๆอย่างมันเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น

2-3 ปีก่อน ทุกคนที่อยู่่รอบข้าง P' J จะรู้ว่า มือถือ P' J เนี๊ยะเปิดตลอด 24 ช.ม. ใครมีเรื่องอะไร โทรมาได้ตลอด เสาร์-อาทิตย์ โทรได้ ไม่ว่ากัน ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไป ตั้งแต่ปีที่แล้ว เพราะเราทำงานมาก็เหนื่อย กลับถึงบ้าน เราก็อยู่กับครอบครัว ดังนั้นมือถือจะไม่ค่อยรับ เปิดหนะ เปิดแหละ แต่ไม่ค่อยรับ ก็เพราะว่าเราอยู่กับครอบครัวเราแล้วเนี๊ยะ คนอื่นที่โทรมา ก็เป็นคนนอกทั้งนั้น เวลากับครอบครัวเราสำคัญกว่า

ตกมาปีนี้ ปิดมือถือก่อนเข้านอนตลอดครับ emergency อะไร ไม่สำคัญทั้งนั้น ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ว่าใครจะเกิด จะแก่ จะเจ็บ จะตาย P' J เฉยๆครับ เพราะปล่อยวางมานานแล้ว

2-3 ที่ผ่านมาก็เริ่มทดลองปิดมือถือทุก เสาร์-อาทิตย์ โอ้เป็นความสุขที่ไม่ต้องไปซื้อหาจริงๆ ชีวิตดูไม่วุ่นวายเหมือนแต่ก่อน เวลาที่ได้มาก็อยู่กับครอบครัว ลูกๆ ได้หยอกล้อ ได้ดู TV ด้วยกัน เป็นอะไรที่ happy จริงๆ แตกต่างจากเมื่อก่อน เสาร์-อาทิตย์ นี่นะ คนโน้น ก็โทร คนนี้ ก็โทรมา มีแต่เรื่องไร้สาระ ตอนนี้สลัดไอ้เรื่องไร้สาระพวกนั้นไปได้ อยู่แบบเงียบๆ สบายใจจริงๆ

พอเราเริ่มไม่ค่อยรับโทรศัพท์ หรือปิดมือถือช่วง weekend คนก็ไม่ค่อยโทรมาหละ

ทุกวันนี้ก็จะรับสายที่สำคัญๆ และก็สายของคนในครอบครัว เท่านั้น เบอร์แปลกๆหรือ private number หละก็ จะรับก็ต่อเมื่อว่างจริง เพราะบางทีลูกค้าใหม่ๆก็โทรมาก็มี พอว่างเมื่อไหร่ก็ค่อยโทรกลับไปหาพวกเบอร์ miss call เหล่านั้น ตอนนี้ทุกครั้งที่โทรศัพท์ดังก็จะ check เบอร์ก่อนว่าเป็นใคร จะรับหรือไม่รับ

นอกจากจะไม่ค่อยรับโทรศัพท์นอกเวลา (ราชการ) แล้ว พักหลังมาเนี๊ยะ พี่ J ก็ไม่ได้มุงานเหมือนแต่ก่อน งานอะไรที่ปล่อยให้พนักงานหรือเด็กๆทำได้ เราก็ปล่อยไป ก็มีแค่โทรแวะเข้าไปเช๊คที่ร้านมั่ง ก็แค่นั้นเอง ตอนนี้ก็มีเวลาพาลูกๆทำการบ้าน อ่านหนังสือ และก็ดู TV เหมือนคนทั่วๆไปเค๊าหน่อยแล้วหละ

ชีวิตตอนนี้มีอะไรหลายๆอย่าง พอแล้ว ไม่ต้องการอะไรมากมายไปกว่านี้ เพราะเท่าที่มีอยู่ก็เพียงพอ และพอเพียง

ชีวิตตอนนี้ peaceful มากที่สุดครับพี่น้อง woot...woot...

Sunday, September 9, 2012

ความฝัน

หลายคนคงมีความฝันที่แตกต่างกันออกไป ความฝันในที่นี่คือ "ความใฝ่ฝัน" ไม่ใช่ความฝันที่เกิดขึ้นตอยที่เรานอน

ความฝันของบางคนอาจใช้เวลานานในการที่จะเดินไปหาฝัน เดินไปให้ถึงจุดหมาย
ไม่ว่าความฝันนั้นจะใช้เวลานานแค่ใหนในการเดินทาง หรือการค้นเจอ ก็ขออย่ายอมแพ้
หลายๆคน รวมไปถึง P' J ด้วยก็มีความฝัน

เราอาจจะมีอาชีพที่เราอยู่ปัจจุบัน นั่นมันก็เป็นอาชีพ เป็นหน้าที่ ที่ต้องทำ ทำมาหาเลี้งชีพ แต่เราอาจจะมีความฝันที่อยากจะทำก็ได้ คนเราสามารถ วางแผนอะไรหลายๆอย่างในชีวิตได้ ตอนนี้เราก็ทำงานของเราไป ในขณะเดียวกัน เราก็ทำอะไรที่จะทำให้ฝันของเราเป็นจริงไปด้วย เราสามารถทำได้ไปด้วยพร้อมๆกัน ก็เวลาว่างที่เรามีไงหละ เอาเวลาว่างเหล่านั้นมาสานฝันให้เป็นจริง

ยิ่งถ้าเราต้องทำมาหาเลี้ยงชีพไปด้วยนะ เวลาตามหาฝันก็ดูเหมือนน้อย และความฝันก็ดูเหมือนจะยาวไกลไปทุกที แต่ถ้าเรามีจิตใจที่แน่วแน่และมั่นคง อะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้ ชีวิตเรา เรากำหนดเองได้ ขอให้เรามีความฝันที่ชัดเจนก็เป็นพอ

หลายๆคนเดินไปไม่ถึงฝัน เพราะล้มเลิกความตั้งใจ อาจจะเป็นเพราะอุปสรรคหลายๆอย่าง แต่ก็อย่าลืมว่าอุปสรรคนั่นแหละมันจะทำให้เราเป็นคนเข้มแข็ง เป็นคนสู้ชีวิต เห็นคุณค่าของฝันที่ได้มาด้วยความยากลำบาก อะไรที่ได้มาง่ายๆ มันก็ดูเหมือนไม่มีค่า อะไรที่ได้มายากๆสิ มันน่าภูมิใจมากกว่า

ก็นั่นแหละ ก็ขอให้ทุกคนเดินไปหาฝันให้ได้ หาฝันให้เจอ อย่าย่อท้อ อย่ายอมแพ้ ถ้าเรามีจุดหมายที่แน่นอน วันหนึ่งเราก็คงถึงจุดหมาย ไม่ช้าก็เร็ว แต่ถ้ายอมแพ้เนี๊ยะ คือ ยังไงก็ไม่ถึงจุดหมายแน่นอน

Friday, August 31, 2012

โสดอย่างมีคุณค่าหรือว่าจะขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย

hmmmmm เป็นอะไรที่น่าคิด
ชีวิตเรา พออายุย่างเข้าใกล้เลข 3 เหมื่อไหร่ หลายคนก็เริ่มหวั่นไหว กลัวว่าจะหาคู่ไม่ได้ บางคนก็แต่งงานเพราะความรัก ถ้าเป็นจริงเช่นนั้น ก็ขอแสดงความยินดีด้วย

แต่ถ้าแต่งเพราะมันเป็นรถไฟขบวนสุดท้ายหละก็ ก็เป็นอะไรที่น่าสมเภช มันช่างเป็นชีวิตที่ดูไร้ค่าจริงๆ ถ้าเป็นแบบนั้นนะ อยู่เป็นโสด อยู่คนเดียวน่าจะ happy กว่า

การใช้ชีวิตโสดเนี๊ยะ จริงๆเป็นอะไรที่อิสระดีนะ เพราะมีเพื่อนๆที่รู้จักหลายคน เค๊าก็อยู่กันเป็นโสด ใช้ชีวิตแบบ carefree ก็น่าอิจฉาไปอีกแบบ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าชีวิตคู่เป็นสิ่งที่ไม่ดีนะ ชีวิตคู่ก็ดี ถ้ารักกันจริง ก็อย่าให้มันเป็นชีวิตคู่แบบรถไฟขบวนสุดท้ายก็แล้วกัน

ส่วนคนโสดทั้งหลาย ก็แนะนำว่าใช้ชีวิตให้คุ้มกับอิสระเสรีของตัวเองที่มีอยู่ ให้หลายคนเค๊าอิจฉากัน :)

แต่เราไม่อิจฉาใครแน่นอน เพราะทุกวันนี้ สุขล้นเหลือหลายจ้าาาาาาาา

Sunday, June 24, 2012

มันจะอะไรกันนักกันหนา

เนื่องด้วยว่าเราทำธุรกิจร้านอาหารด้วย เราก็ได้มีการสังเกตุเห็นว่า ลูกค้าส่วนมาก 99.99% ที่มาทานอาหารที่ร้าน จะมีมือถือ หรือ tablet กันแทบทุกคน ในขณะที่นั่งรอเพื่อน หรือนั่งรออาหารก็เอาหละ จะส่ง SMS หรือ facebook กันบนมือถือกันจังเลย หรือบางคนก็เล่นเกมส์ ที่น่าสนใจมากก็คือ มีครอบครัว พ่อกับแม่เป็นหมอและหมอฟัน ลูกสาวเรียน Computer Science ก่อนหน้านั้น เค๊าก็เรียน private high school ที่แพงที่สุดในเมืองนี้ พอ family นี้มานั่งปุ๊บ ทั้งสามคนก็จะควักมือถือออกมาจากกระเป๋าทันที โอ้โห เล่นเกมส์ครับพี่น้อง ทั้งพ่อ แม่ และลูก เล่นกัน 3 คนเลย ไอ้เราก็อดที่จะคิดไม่ได้ว่า มันจะอะไรกันนักกันหนาเนี๊ยะ กับการใช้มือถือเนี๊ยะ คนเรามานั่งทานอาหารด้วยกัน มันควรจะเป็นเวลาที่คนในโต๊ะอาหารนั้น spend a quality time ด้วยกัน ก็มานั่งทานข้าวด้วยกันแล้ว ก็น่าจะคุยกัน socialize กันไม่ใช่เหรอ

การที่คนเรามานั่งทานข้าวด้วยกันเนี๊ยะ มันควรจะเป็นเวลาที่แต่ละคนคุยกัน update ซึ่งกันและกันว่า แต่ละคน มีอะไรเกิดขึ้นบ้างในวันนั้น ได้ทำอะไรมามั่ง พวกชอบเล่น facebook ก็เหมือนกัน แทนที่จะ update status ตัวเองใน facebook หนะ update กับคนรอบข้างก่อนดีกว่ามั๊ย

technology เป็นสิ่งที่ดี ถ้ารู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์

Tuesday, June 19, 2012

สงสารคนหา บ้างหรือเปล่า

อะไรเอ่ย เมื่อเวลาอยากได้ก็โทรมา กริ๊ง กริ๊ง

hmmmmm เงินทองเนี๊ยะ หายคนคงเอาง่ายๆว่า มันหล่นลงมาจากฟ้ามั๊ง
จะมีสักกี่คนที่จะรู้ว่า เงินแต่ละบาทแต่ละสตางค์มันหามายาก มันมาจากการที่ต้องวิ่งไปโน่น วิ่งไปนี่ ขับรถไปโน่น ขับรถไปนี่ ทำงานนั้นเสร็จ ก็มาทำงานนี้ต่อ

ทำงานที่เมืองนอกได้เงินเป็นเป็น ดอลลาห์ คนที่เมืองไทยก็เลยเหมาเอาง่ายๆหละสินะ ทำงานอะไรนิดหน่อยก็ได้ตังค์หละ แต่จะมีสักกี่คนที่เมืองไทยรู้ว่า ค่าครองชีพที่นี่แพง เงินหามาได้ง่าย แต่รายจ่ายก็เยอะ ต้องประหยัดจริงๆถึงจะมีเงินเก็บ

คนใช้ไม่ได้หา คนหาไม่ได้ใช้ เพราะว่าคนที่หามาได้ เค๊ารู้ว่ากว่าจะได้ตังค์มาแต่ละที ต้องทำงานหนักขนาดใหน แต่คนที่ใช้หนะเหรอ ก็ไปเห็นคุณค่าอะไรหละ ถ้าเค๊าไม่ได้หามาด้วยตัวของเขาเอง


อยากจะรู้จังเลยว่า ไอ้คนที่ใช้เนี๊ยะ เค๊าสงสารคนทีหากันหรือเปล่า
อยากจะรู้จริงๆ

หรือว่า บางทีการที่เรา จะไม่สนใจใครเลย ก็น่าจะดีเหมือนกัน หนีออกไปอยู่ตามป่า ตามเขา ก็น่าจะดีเหมือนกัน โลกนี้วุ่นวายหนอ โลกนี้ยุ่งเหยองหนอ

เคยได้ยินเพื่อนบอกว่า "ignorance is a bliss" ท่าทางมันคงจะเป็นอย่างนั้นจริงๆด้วย

Thursday, June 14, 2012

คนเราเนี๊ยะมันแตกต่างกันจริง

วันนี้ไอ้เราก็เร่งรีบเพราะมีสอบ สอบเริ่มตอน 9:20am แต่เราเพิ่งจอดรถเสร็จตอน 9am เมื่อเวลามันจวนตัว เราก็เริ่มสับสนว่า เอ๊ะ เวลาเริ่มสอบทำไมมาเริ่มเอาตอน 9:20am ซึ่งไม่ค่อยจะ make sense เลยนะ หรือว่า มันเริ่มตอน 9am วะ พอคิดได้แค่นั้นแหละ ก็รีบก้าวเดิน กึ่งวิ่งเลยหละ

พอมาถึงตรง shopping mall และก็เจอพวก junky แต่งตัวซกมก ผมเผ้าไม่หวี อ้วนๆ แล้วก็ดันนั่งกิน chip แถมจังแจกให้นก seagull กินด้วยอีกต่างหาก

พอเห็น เราก็หมดอารมณ์เลยครับ ในใจก็คิดว่า ไอ้เรานะ เมื่อคืนแทบไม่ได้นอน ตื่นตี 4 มาอ่านหนังสือ อ่านแบบไม่หยุดเลยจนถึง 8:30am คือแบบว่า 4 ชั่วโมงครึ่งครับพี่น้อง ไอ้เรานะก็พยายามเรียนเพื่อที่จะเพิ่มคุณภาพชีวิต เพิ่มความรู้ ในขณะที่คนบางกลุ่ม ทำตัวเป็นขยะสังคม เป็รเหลือบเป็นไรของสังคม เห็นแล้วเบื่อ เห็นแล้วเซ็ง ทำไมรัฐบาลไม่จัดการอะไรสักอย่างกับคนพวกนี้นะ สงสารคนที่ทำงานหามรุ่งหามค่ำ หาเงินจ่ายภาษีให้กับรัฐบาลมั่งเถอะ

Monday, June 11, 2012

เลขา online

ช่วงนี้งานเยอะมากเลย ไม่ว่าจะงานสอน งานที่ร้าน งานอิมมิเกรชั่น และใหนต้องสอนลูกๆทำการบ้านด้วย

พอดี holiday ที่ผ่านมา ไปเที่ยว New Zealand กันกับครอบครัว แล้วเผอิญได้เจอหนังสือเล่มหนึ่งน่าสนใจดี วางขายที่ bookstore ในสนามบินที่ Sydney ชื่อหนังสือ "The 4-Hour Work Week" ก็คิดในใจว่าเป็นหนังสือที่น่าจะซื้อมาอ่าน แต่ไม่ได้ซื้อเลยตอนนั้น ก็รอกลับจาก holiday แล้วสั่งซื้อ online เพราะถูกกว่า

เวลาว่างส่วนมากก็อ่านในห้องน้ำเพราะจะได้ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ อะนะ

อ่านมาถึง chapter ที่เกี่ยวกับการ "outsource your life" ซึ่งก็น่าสนใจดี concept คือ อะไรที่เราสามารถ outsource ได้ และถ้า outsource ได้ในราคาที่ถูกก็น่าที่จะทำ เพราะตอนนี้โลก technology มันไปใหนต่อใหนแล้ว เราสามารถ outsource งานบางอย่าง online ได้ แถมเงินเราเป็นเงิน dollar ซึ่งเป็นสกุลเงินที่แข็งอยู่แล้ว จ้าง outsource จาก India, China, Philippines ได้อย่างถูกเลยแหละ เราก็เลิกเอาประเทศที่เค๊าภาษาอังกฤษแข็งแรงก็แล้วกัน เวลาสั่งงานจะได้ไม่มีปัญหา

พี่ J ก็เลยทดลอง search ใน Internet ดู ก็มีหลายบริษัท มีหลายราคา พี่ J ก็เลยกะทดลองสัก 1 week ปรากฏว่า งานเราเบาไปเยอะเลย งานที่พี่ J outsource ไปก็เป็นงานง่ายๆ ให้เลขา online พวกนี้ทำ powerpoint เตรียมการสอนให้ แทนที่เราจะเสียเวลาเตรียม powerpoint เอง เราก็บอกเลขาว่าทำแบบนี้ แบบนี้นะ งานออกมาดีมากเลย เพราะพี่ J ทดลองจ้างหลายๆคนในเวลาเดียวกัน เราไม่ต้องการคนใหน เราก็ click cancle contract ได้ตลอดเวลา technology นี่เป็นอะไรที่สุดยอดจริงๆ

เราสามารถเช็คได้ตลอดว่าช่วงเวลาที่เลขาเราทำงานให้เราเนี๊ยะ เค๊าทำอะไรมั่ง เพราะทุกอย่างที่หน้าจอเค๊าจะโดน screen capture ส่งเข้า account พี่ J หมดเลย เราก็นั่งดูพวกเขาเหล่านั้นนั่งทำงานกัน

week แรกจ้างมาเกือบ 10 คน แต่ละคนก็เรียนสูงๆ เรียน Uni กันมาทั้งนั้น พวกนี้เค๊าก็แค่มาทำ part-time หาเงินเป็น pocket money เฉยๆ เราสามารถกำหนดได้ว่า week หนึ่งเราจะให้เค๊าทำงานให้เรากี่ชั่วโมง เพราะพวกนี้เค๊าก็รับ job ของคนอื่นด้วย พี่ J ก็จะเช็คและเลือกเอาคนที่มี project ไม่เยอะ หรือไม่มี project เลย เค๊าจะได้ทำงานให้เราเต็มที่

สาเหตุที่ week แรกจ้างมาเยอะ เพราะมีหลายวิชาสอนที่พี่ J ต้องทำ powerpoint เลขาแต่ละคนก็เลยทำแต่ละวิชา แต่ละบทการเรียน ไม่ซ้ำกัน

ตอนนี้ก็ลดลงเหลือแค่ 3 คนแล้ว

แต่ก่อนต้อง spend time หา worksheet หาแบบฝีกหัด ให้ลูกๆทำเพิ่มเติม ตอนนี้ไม่ต้องแล้ว เลขา online จะหามาให้ เราก็บอกเค๊าเป็น weekๆ ไปว่า เราต้องการ topic อะไรให้ลูกเรา ประหยัดเวลาเราไปเยอะเลย เราก็ได้มีเวลาไปทำอย่างอื่น ไปดู DVD ไปนั่งคุยกับกับครอบครัว ชีวิตสบายๆ ไม่เร่งรีบ ไม่เหนื่อย

เลขา online บางคนก็ทำ powerpoint เตรียมการสอนให้เรา
บางคนก็ดูแลเรื่องหาแบบฝีกหัดเพิ่มให้ลูกเรา

ทำไมเราต้องทำชีวิตเราให้มันวุ่นวายด้วยหละ

ใครบอกว่าชีวิตเราออกแบบไม่ได้หละ ชีวิตเราหนะออกแบบได้ outsource ได้


Friday, April 20, 2012

ก็แค่คนธรรมดาคนหนึ่ง

เพิ่งกลับมาจากเมืองไทย งานเยอะมาก ทำงานทุกวัน clear งาน paperwork อะไรหลายอย่างด้วย
โรงเรียนก็จะเปิดในไม่กี่วัน เราก็เป็นหนึ่งใน presenter ที่ต้อง present การนำ technology มาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน; ICT in Education

ตอนนี้ก็เลยต้องเตรียมงานว่า วันจันทร์ต้อง present อะไรบ้าง
แต่บอกตามตรงเลยว่า ไม่ค่อยมี motivation อะไรเลยช่วงนี้
ช่วงนี้ อารมณ์นี้ อยากนั่งอยู่เฉยๆ ไม่ต้องทำอะไร
ในใจตอนนี้มันเห็นภาพตัวเองอยู่ที่วัดป่านานาชาติ เพราะเป็นอะไรที่เงียบและสงบ กลับไปเมืองไทยกี่รอบ กี่รอบก็พลาด มีครั้งนี้แหละ ที่ไม่พลาด ตั้งใจมากกับการที่ต้องไปวัดป่านานาชาติในครั้งนี้

ปกติแล้ว พี่ J จะเป็นคนที่ active มาก ทำโน่น ทำนี่ ไม่เคยอยู่ว่าง ก็มีอาทิตย์นี้แหละ หลังจากกลับมาจากเมืองไทย ด้วยความที่ว่าเราได้ไป relax อย่างเต็ม ไม่ได้ทำงาน notebook ก็ไม่ได้เอาไป มันเป็นอะไรที่โล่ง ที่สบาย พอเรากลับมา เราก็เลยยังไม่อยากที่จะทำอะไร

การที่ได้ไปพักผ่อน และ relax เนี๊ยะ มันช่างสบายจริงๆ
พี่ J ก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ใช่ machine ไม่ใช่หุ่นยนต์ มันก็มีบ้าง เป็นบางอารมณ์ ที่เราไม่อยากทำอะไร อยากอยู่นิ่งๆ อยากอยู่กับปัจจุบัน

hmmmm... การที่อยู่นิ่งๆ อยู่กับปัจจุบัน วิถีธรรมเนี๊ยะ ใช้ได้กับชีวิตประจำวันจริงๆ ความสุข ความสงบ เราสามารพสรรหาได้เองตลอด เพราะมันอยู่กับเรานี่เอง ไม่ต้องไปวิ่งหาที่ใหนให้เหนื่อย

Tuesday, April 17, 2012

เดินไปข้างหน้า

กลับมาดู blog ตัวเอง โอ๊ว ไม่ได้เขียน blog นี้ ก็เกือบ 4 เดือนเข้าไปแล้ว โทษทีครับ ช่วงนี้ P' J ยุ่งไปหน่อย ใหนจะสอนหนังสือ ใหนจะธุรกิจ ใหนจะเรียน

เอาเป็นว่า พี่ J จะพยายามเจียดเวลามาเขียนก็แล้วกันนะครับ

พี่ J เพิ่งจะกลับมาจากเมืองไทยได้ไม่นาน ก็ได้ไปสังเกตุเห็นอะไรที่ชวนเก็บเอามาคิด

มีน้าคนหนึ่ง เป็นคนขับรถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง จำได้ว่า พี่ J ตอนอยู่ ป.5 น้าคนนี้เป็นคนขับรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างอยู่ เวลาผ่านไปเกือบ 20 ปี น้าคนนี้เค๊าก็ยังเป็นคนขับรถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง อยู่เหมือนเดิม ในใจลึกๆเราก็คิดขึ้นมาว่า เออ คนเราถ้าไม่มีการพัฒนาตัวเอง ถ้ามัวแต่ย่ำอยู่กับที่ เค๊าคนนั้นก็จะไม่ไปใหนเลย ชีวิตก็ก็จะอยู่ที่เดิม จะกี่ปีผ่านไปเค๊าคนนั้นก็ยังจะย่ำอยู่ที่เดิม

ในขณะที่ใครบางคน อยากเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ เรียนป.ตรีเสร็จ ก็อยากเรียนป.โท ป.โทเสร็จก็อยากเรียนป.เอก มันเป็นอะไรที่มีการก้าวเดินไปข้างหน้า มันเป็นอะไรที่รู้สึกว่า เป็น self-fulfillment อีกอย่างหนึ่ง มันเป็นการพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด

ไม่ได้หมายความว่าเราต้องเป็นคนทะเยอทะยานนะครับ
ไม่ได้หมายความว่าทุกคนต้องเรียนโท เรียนเอก กันหมดทุกคนนะ
ทุกคนมีทางเลือกเป็นของตัวเอง แต่ก็อยากให้เป็นทางเลือกที่ดี มีการพัฒนาตัวเอง ย่างก้าวไปข้างหน้า อย่าย่ำอยู่ที่เดิม

อยากได้ชีวิตแบบใหนก็เลือกเองนะครับ

ก็ได้แต่หวังว่าเราคงจะได้เจอกันที่จุดหมายปลายทางนะครับ