Monday, December 28, 2015

อดเปรี้ยวไว้กินหวาน


เมื่อเพื่อนสนิทกับครอบครัวเขาที่เป็นชาวพม่าแวะมาที่ Wollongong เราก็เลยออกไปเจอกัน ทานข้าวเที่ยงที่ร้านอาหารไทยใน Wollongong เราก็ได้พูดคุยกับเพื่อนและก็ภรรยาเขา ก็ถามสารทุกข์สุขดิบไปตามประสาเพื่อนเก่า เพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกัน

ภรรยาของแฟนเรียนจบหมอมาจากประเทศพม่า แต่การที่จบหมอมาจากประเทศพม่าไม่ได้หมายความว่าเขาสามารถมาเป็นหมอที่นี่ได้เลย เปล่าเลย เขาต้องผ่านการฝึกอบรมใหม่ และไปประจำอยู่ตามโรงพยาบาลตามเมืองรอบนอกเป็นเวลา 2 ปี ทุรกันดารมาก เมืองหนึ่งที่เขาต้องไปประจำปีแรก อยู่ห่างจากบ้านประมาณ 5-6  ชั่วโมง แต่เขาก็ต้องไป ทิ้งลูก ทิ้งสามีไปอยู่ถิ่นทุรกันดาร เป็นเวลา 1 ปีเต็มๆ เขาจะมาหาลูก มาหาสามีประมาณเดือนละครั้งเอง และเดือนต่อไปสามีกับลูกก็จะเป็นฝ่ายไปหา สลับกันไปมาอย่างนี้เป็นเวลา 1 ปีเต็มๆ

แต่ก็โชคดีที่มีแม่สามีช่วยดูแลลูกตอนนั้น

พอปีที่ 2 เขาก็ได้ย้ายจากโรงพยาบาลจากเมืองทุรกันดาร มาอยู่เมืองรอบนอกเหมือนเดิม แต่ก็ไม่ได้ทุรกันดารเหมือนปีแรกมาก คราวนี้เมืองที่เขาประจำอยู่ อยู่ห่างจากบ้านที่ Sydney ประมาณ 4 ชั่วโมง ซึ่งก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากเหมือนปีแรก แต่เขาก็กลับบ้านทุกอาทิตย์มาหาลูกมาหาสามีไม่ได้ เขาจะกลับมาทุก 2 อาทิตย์ เพราะการเดินทาง 4 ชั่วโมงทุกๆอาทิตย์ ไป-กลับก็ 8 ชั่วโมงแล้ว จะให้เดินทางทุกอาทิตย์ก็คงไม่ไหว และค่าน้ำมันเองก็แพงด้วย

เขากับหมอชาวต่างชาติ ชาวอินเดียที่ฝึกงานอยู่ด้วยกัน ก็เลยแชร์รถกันทุกๆ 2 อาทิตย์เพื่อขับรถกลับเข้า Sydney มาหาครอบครัวทุกๆ 2 อาทิตย์

เราเห็นเพื่อนและภรรยาเขาใช้ชีวิตอยู่แบบนี้ ช่วง 2 ปีแรกที่ภรรยาเขาต้องไปฝึกงานที่โรงบาลตามถิ่นชนบท บอกได้เลยว่าตอนนั้นสงสารและเห็นใจครอบครัวเพื่อนมากเลย เราเองก็ได้แต่ให้กำลังใจ ชีวิตคนเรามันต้องสู้จริงๆถึงจะอยู่รอด มันไม่ได้โรยไปด้วยกลีบกุหลาบเลย

พอครบ 2 ปี ภรรยาเพื่อนก็สามารถย้ายเข้ามาประจำอยู่ตามเมืองใกล้ๆบ้าน และสามารถทำงานที่คลีนิคได้ด้วย แต่ว่าช่วง 10 ปีแรก หมอที่จบจากต่างประเทศมาห้ามทำงานคลีนิคตามเมืองใหญ่ๆ เป็นระยะเวลา 10 ปี เพราะรัฐบาลต้องการให้หมอไปทำงานตามคลีนิคตามหัวเมืองรอบๆนอกมั่ง เพราะหมอตามเมืองใหญ่ๆมีเยอะมากแล้ว หมอตามเมืองรอบนอกยังขาดแคลน

ภรรยาเพื่อนเราก็ขับรถไปไม่ไกลมาก แค่ 40-45 นาที ก็ถือว่าอยู่เขตรอบนอกแล้ว ซึ่งไม่มีปัญหาอะไร เพราะขับรถแค่นี้เอง ที่ออสเตรเลียเราถือว่าเป็นเรื่องปกติ และหมอเองทำงานที่คลีนิครายได้ก็ดีอยู่แล้ว ชีวิตของเพื่อนและภรรยาก็เริ่มดีขึ้น แม่ก็ได้อยู่กับลูกและสามีทุกวัน ไม่ต้องแยกกันอยู่เหมือน 2 ปีแรก

มาวันนี้ 10 ปีผ่านไป ภรรยาเพื่อนเราสามารถทำงานในคลีนิคตามเมืองใหญ่ได้แล้ว ไม่มีข้อกำหนดอะไรอีกต่อไปเหมือนช่วงแรกๆ เราเห็นชีวิตครอบครัวของเพื่อนเราแล้ว เราก็จะยิ้มและชื่นชมชีวิตพวกเขาอยู่ในใจอยู่ลึกๆว่า ชีวิตเขาผ่านอะไรมามั่ง จากช่วง 2 ปีแรกที่ต้องไปฝึกงานตามโรงพยาบาลในถิ่นทุรกันดาร มันเป็นการอดเปรี้ยวไว้กินหวานจริงๆ เพราะบอกได้เลยว่าช่วง 2 ปีแรกของพวกเขาไม่ได้สบายเลย การแยกกันอยู่และก็มีลูกเล็กๆที่ต้องเลี้ยงดู ถ้าไม่อึดจริงก็คงลำบาก

อยากจะบอกทุกคนว่า ชีวิตคนเราไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ อดทนสักนิด อึดกันสักหน่อย อดเปรี้ยวไว้กินหวานกัน ชีวิตมันต้องเดินไปข้างหน้า ชีวิตมันจะต้องดีขึ้น

ชีวิตคนเรามันต้องสู้... ต้องสู้ จึงจะชนะ...

No comments:

Post a Comment