Sunday, July 15, 2018

จากเด็กนักเรียนไทยคนหนึ่งที่ UOW



ก็มีบ้างเป็นบางโอกาสที่เรานั่ง ๆ ทำงานอยู่ มันก็เกิดปรากฎการณ์ flash back ที่ทำให้เราคิดถึงวันเก่า ๆ สมัยตอนเป็นนักเรียน สมัยเรียนหนังสืออยู่ที่ UOW; University of Wollongong

มันก็มีหลาย ๆ เหตุการณ์ตอนที่เป็นเด็ก ๆ นะ ถ้าเรามี time machine เครื่องย้อนเวลา เราคงจะทำอะไรที่มันแตกต่างไปจากตอนนั้น

แต่เสียดาย
ชีวิตจริงคนเราไม่มีเครื่องย้อนเวลา
เรามิอาจย้อนเวลากลับไปแก้ไขสถานการณ์อะไรต่าง ๆ นานาได้

เราก็คงได้แต่ ต้องทำวันนี้และวันข้างหน้าให้ดีที่สุด

จากเด็กนักเรียนไทยคนหนึ่งที่ UOW 

UOW มันชั่งมีความหลังเยอะแยะมากมายซะเหลือเกินนะ
เพื่อนฝูง และคนรักเก่า

ตอนที่เรียน Computer Science ที่ UOW นั่นคือปริญญาใบแรกของเรา

เราเป็นนักเรียนไทยคนเดียวที่เรียน Computer Science ที่ UOW นี่คือทั้งคณะ ไม่ใช่แค่รุ่นเรา และก็จะมีคนไทยเรียนวิศวะอยู่แค่ 6 คนทั้งคณะ และเรียนปีเดียวกันกับเรา 3 คนเท่านั้น อีก 3 คนเป็นรุ่นพี่

รุ่นปีเดียวกับเราที่เรียนวิศวะ 3 คน เรียนจบไปแค่ 1 คน อีก 2 คนต้องเลิกเรียนหรือย้ายไปเรียนคณะอื่นที่มันง่ายกว่า อะไรประมาณนี้

ก็ไม่รู้สิ
เรามีความคิดว่าต้องเรียนเก่งจริง ถึงจะเรียน Computer Science หรือวิศวะได้ อะไรประมาณนี้ มันก็เลยทำให้เราออกแนว เด็กมั่น เด็กหยิ่ง หรือเปล่านะ

เนื่องด้วยเราเป็นคนไทยคนเดียวที่เรียน Computer Science ในช่วงนั้น มันก็เลยทำให้เรากลายเป็นจุดสนใจของหลาย ๆ คน ทุกคนบอกว่าที่ UOW, Computer Science ยากมาก ถ้าเรียนจบถือว่าเก่ง ถ้าไม่จบถือว่าเป็นเรื่องปรกติ นี่คือคำพูดของพี่คนไทยคนหนึงที่เขาอยู่ที่ Wollongong มาก่อนเรา

เราเป็นเด็กเรียน และเป็นคนมีความมั่นใจมาตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว
เรื่องเรียนไม่เคยมีปัญหา

เด็ก ๆ ตอนที่อยู่ที่เมืองไทย เราก็ได้เกรดเฉลี่ย 4.00 หรือไม่ก็ 3.92 อะไรประมาณนั้น 

เราทำมาหมดแล้ว
เราจะอยู่ในแวดวงของเด็กเรียนมาโดยตลอด

คนไทยที่มาเรียน UOW สมัยนั้น 99.99% จะเป็นพวก commerce
คนไทยครึ่งหนึงของมหาลัยจะเป็นเด็ก ABAC เพราะเขามีการ deal กันกับ UOW ว่า เรียนปีแรกที่ ABAC แล้วมาต่อปี 2 และปี 3 ที่นี่ แล้วก็จบและได้ degree จากที่ UOW อะไรประมาณนี้

ได้ degree จากเมืองนอกมันก็ดูดีกว่าใช่ป๊ะหละ
ดังนั้นช่วงที่เราเรียนอยู่ที่ UOW คนไทยที่เรียนอยู่ที่นี่ เกินครึ่งจะมาจาก ABAC

จึงไม่แปลกที่ UOW จะเต็มไปด้วยลูกท่าน หลานเธอ
นักเรียนขับ Lexus, BMW และ Mercedes Benz
บางคนใส่ Versace ตั้งแต่หัวจดเท้าไปเรียน เป็นเรื่องปรกติของนักเรียนไทยในยุคนั้น

Anyway, นั่นคือภาพรวมของเด็กนักเรียนไทยที่ UOW ยุคนั้น
แต่ทุกคนก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น

เด็กเรียน
เด็กนักเรียนทุนก็มี

ส่วนเราก็เป็นเด็กสายมั่น มั่นใจมาก เดินไปไหนมาไหนไม่เคยก้มหน้า คอไม่เคยตก หลาย ๆ คนเรียกว่า "หยิ่ง" หรือ "เชิด"

ตัวเราเองหนะ ไม่รู้ตัวหรอก
รู้แต่ว่า "ก็ฉันเป็นของฉันแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร" 
ก็ตอนนั้นเราคิดแบบนั้นของเราจริง ๆ 
ตอนนั้นยังเป็นเด็กโง่อยู่ เด็กโง่ที่คิดว่าโลกหมุนรอบตัวเรา เราเป็นศูนย์กลางของจักรวาล

เนื่องด้วย classmates เราไม่มีคนไทยเลย
ชีวิตเราก็เลยแวดล้อมไปด้วย เพื่อน ๆ ต่างชาติเป็นส่วนใหญ่
แต่กลุ่มเด็กนักเรียนเอเชียก็จะเกาะกลุ่มกันอยู่เฉพาะเด็กเอเชีย และกลุ่มเราก็จะเป็นเด็กเรียนด้วยกันทั้งนั้น ผลการเรียนพวกเราจะอยู่แนว top ๆ กันตลอด

มันก็เป็นสังคมอีกแบบหนึ่ง
สังคมเด็กเรียน
ก็ไม่รู้สิ มันมีความสุขที่พวกเราได้พูดคุยกันเรื่องคอมพิวเตอร์ เรื่องการเขียนโปรแกรม และก็พวกตัวเลข

เด็ก nerd คุยกัน เพื่อนคนอื่น ๆ อาจจะฟังแล้วไม่เข้าใจ
บางทีคนเรามันอยู่กันคลื่นละความถี่ มัน tune กันไม่ได้ มันคุยกันไม่รู้เรื่อง

สมัยที่เราเรียนอยู่ที่ UOW
เราไปไหนมาไหน เราไม่ทักใครก่อน เรามีความรู้สึกว่าเราไม่จำเป็นต้องทัก เพราะตอนนั้นคิดเอาง่าย ๆ ว่า โลกของเราคือโลกของคอมพิวเตอร์ โลกของเด็กสายวิทย์ เธอต้องเด็กสายวิทย์เท่านั้นฉันถึงจะคบ ซึ่งคนไทยเรียนสายวิทย์ที่ UOW มีน้อยมาก ถึงมากที่สุด

และเราก็คิดเอาง่าย ๆ ว่า ฉันมาเรียน ฉันจะตั้งใจเรียน ไม่ได้มาสังสรรค์ ซึ่งผลการเรียนเราก็ออกมาดีจริง ๆ 

คนไทยที่เราสนิทด้วย มีไม่กี่คนสมัยนั้น เขาจะเป็นรุ่นพี่ที่เราสนิทกันตอนที่มาที่นี่ใหม่ ๆ  ซะมากกว่า
เราจะเป็นเด็กที่สุดในกลุ่ม ก็เลยถูกพี่ ๆ เอาใจเป็นตามปรกติ
พี่ ๆ จะเอ็นดู เพราะเราเรียนเก่ง
พี่ ๆ มี assignments อะไรที่เกี่ยวกับ computer ก็ต้องถามเรา ให้เราช่วย

อย่างที่บอกว่าเราเป็นคนที่มีความมั่นใจมาตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว
เวลาเดินไปไหนมาไหนที่มหาลัย เราไม่เคยเดินก้มหน้าอยู่แล้ว
ก็มันดูไม่สง่านี่นา :)

และปรกติก็ไม่ค่อยทักใครอยู่แล้ว เพราะเพื่อนที่คณะทุกคนเป็นต่างชาติหมดเลย ไม่มีคนไทย

จึงไม่แปลกที่จะโดนข้อหาว่า นักเรียนไทยคนนี้หยิ่ง นักเรียนไทยคนนี้เชิด

แต่เราก็จะมีพี่ ๆ คนไทยในกลุ่ม 2-3 คนก็จะคอยปกป้องเราและพูดว่า "เออ มันเป็นแบบนี้แหละ" ซึ่งเราก็รักพี่คนไทย 2 คนเหมือนเขาเป็นพี่ชาย พี่สาวเราจริง ๆ 

เราก็เช่าบ้านอยู่ด้วยกัน จนเราเรียนจบ
เราอายุน้อยที่สุดในบ้าน เป็นน้องของพี่ ๆ เขา
แต่ถ้าเรื่องการเรียน เราจะทำตัวเป็นพี่ใหญ่ในบ้าน จะคอยบ่นถ้าพี่ ๆ ผลการเรียนไม่ดี พี่ ๆ จะกลัวเรามากถ้าผลการเรียนเขาออกมาไม่ดี พี่ ๆ ก็จะได้ฟังเทศนาจากน้องชายคนนี้เสมอ แทบทุกเทอม

เสียดายนะ ชีวิตจริงไม่มี time machine
ชีวิตจริงไม่มีเครื่องย้อนเวลา

พอเราเติบโตขึ้น
พอเราเริ่มทำงาน
พอเราได้เริ่มศึกษาชีวิต
พอเราได้เริ่มเห็นสัจธรรมของชีวิต

มันทำให้เรารู้ว่า ตัวเราหนะ เล็กนิดเดียวเอง
เราเป็นแค่ฟันเฟืองเล็ก ๆ ของโลกใบนี้
John 2018 แตกต่างจาก John UOW มาก

มันทำให้เรารู้ว่า
ฉันมาไกล มาไกลเหลือเกิน

มันทำให้เรารู้ว่า
คนเราสามารถเติบโตได้ทางความคิด
มันขึ้นอยู่กับการหล่อหลอม

เวลาและสายน้ำไม่อาจไหลย้อนกลับได้
เราก็ต้องเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงนั้น ว่ามันสอนอะไรเราบ้าง
เราจะได้ทำวันนี้และวันข้างหน้าให้ดีที่สุด
ก็เพราะคนเรามันต้องมีการเติบโตและเรียนรู้กันไปเรื่อย ๆ 

คนที่ไม่มีการเรียนรู้ 
คนที่ไม่มีการเติบโต
คือคนที่ตายแล้ว...

จอห์น เผ่าเพ็ง เพราะฉะนั้น มันถึงเป็นเช่นฉะนี้

No comments:

Post a Comment